ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 150 ทรมานตนเพื่อให้เห็นใจงั้นรึ (2)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

และมีวันหนึ่ง ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้มา ทุกคนเลยเริ่มสงสัย จึงมีการสืบเสาะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

 

 

ไม่เกินสามชั่วยาม ก็มีคนสืบมาได้จริงๆ บอกว่าเขาคุกเข่าเป็นเวลานานเกินไป จนเข่ารับไม่ไหว หากยังคุกเข่าต่อไป เกรงว่าขาของเขาคงต้องพิการจริงๆ แล้วล่ะ  

 

 

ทุกคนในจวนอ๋องฉีได้ยินดังนั้น ก็ถอนหายใจไปตามๆ กัน ตีก็แล้ว ด่าก็แล้ว ก็ไล่เจ้าท่าป๋าที่ติดหนึบคนนี้ไปไม่ได้สักที ตอนนี้ดีหน่อย เพื่ออนาคตขาทั้งสองข้างของเขา เขาคงไม่มาคุกเข่าแล้วล่ะ 

 

 

ในจวนท่าป๋าหั่นหลิน  

 

 

ไทเฮาทนไม่ไหวแล้ว โน้มน้าวเขาน้ำตานองหน้า “ลูก ผู้หญิงบนโลกนี้มีมากมาย ถึงเย่ว์เอ๋อร์จะดีเช่นไร นางก็ไม่มีใจให้เจ้าแล้ว เจ้าล้มเลิกเสียเถอะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเม้มปาก มองไปที่เข่าที่ช้ำเขียวของตน แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เสด็จแม่ ไม่มีเย่ว์เอ๋อร์ ข้าแตกต่างอะไรจากศพหรือขอรับ” 

 

 

“แต่ แต่ว่า หากเจ้าทำแบบนี้ต่อไป เกรงว่าต่อไปเจ้าจะต้องเป็นคนพิการน่ะสิ เจ้าเคยคิดถึงหัวอกคนเป็นแม่บ้างหรือไม่” 

 

 

ในห้องเงียบสงัดลง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้น แล้วพยายามพูดออกมาว่า “หากข้าจะต้องเป็นแบบนั้นล่ะก็ ลูกจะล้มเลิกทุกอย่าง แล้วพาเสด็จแม่ไปที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเรา แล้วตัดขาดจากโลกใบนี้” 

 

 

ไทเฮาร้องไห้ออกมาไม่ขาดสาย แล้วพูดว่า “เรื่องตอนนั้น แม่ก็มีส่วนผิด วันพรุ่งนี้แม่จะบากหน้าไปขอร้องเย่ว์เอ๋อร์ หากนางไม่ตอบรับ ข้าจะคุกเข่าขอร้อง ขอร้องจนกว่านางจะตอบรับ” 

 

 

“เสด็จแม่!” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินห้ามนาง “ข้าทำเอง ตอนนั้นเป็นข้าเองที่ฆ่าลูกของเรา แล้วตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่าง อย่างนั้นก็ต้องเป็นข้าเองที่จะขอร้องนางกลับมา” 

 

 

ไทเฮาไร้ซึ่งหนทาง ได้เพียงแต่ถอยให้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ฟังหมอให้ดี ดูแลรักษาตนให้ดี รอให้เข่าหายก่อนแล้วค่อยไป” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า “เสด็จแม่วางใจเถิด ข้ายังต้องขอให้เย่ว์เอ๋อร์ยกโทษให้ข้าอยู่ จะไม่เป็นอะไรไปตอนนี้แน่นอนขอรับ” 

 

 

ไทเฮาวางใจ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากตื่นนอนวันที่สอง กลับไม่เห็นท่าป๋าหั่นหลินแล้ว พอได้ถามบ่าวรับใช้ในเรือน ก็รู้ว่าเขาตื่นแต่เช้า กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็ออกไปแล้ว 

 

 

คุกเข่ามาหลายวัน เข่าก็ช้ำหนัก พอขยับนิดหน่อย ก็เจ็บจนใจจะขาด แต่ก่อนเดินทางไปที่จวนอ๋องฉีใช้เวลาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น แต่ครั้งนี้ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยาม ท่าป๋าหั่นหลินเดินมาถึงหน้าจวนด้วยสภาพเหงื่อท่วม ยืนขึ้น แล้วมองไปที่เรือนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ 

 

 

คิดว่าเขายอมถอยไปง่ายๆ เช่นนี้ เพราะเข่าใครใครก็รัก แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เขาก็มาอีกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น ก็คิ้วขมวดตึง นางรู้ศาสตร์การแพทย์ ย่อมรู้ดีว่าการคุกเข่านานๆ จะทำให้เข่าของคนเราบาดเจ็บ ท่าป๋าหั่นหลินกำลังใช้ตัวเองเข้าแลก เพื่อร้องขอความเห็นใจงั้นหรือ แล้วไม่สนใจหัวเข่าของตัวเองเลยงั้นรึ 

 

 

เมื่อนางรู้ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ย่อมรู้ หวงฝู่สือเมิ่งแอบถอนหายใจเล็กน้อย แล้วพูดกับเยียลี่ว์อาเป่าว่า “ในเมื่อเขารักน้องเล็กขนาดนี้ แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้นในตอนแรกเล่า” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่านั่งอยู่ข้างๆ นาง เอาเด็กและนางมาซบตรงที่อก แล้วพูดว่า “เป็นฮ่องเต้ เห็นว่าร่ำรวยสูงศักดิ์ มีค่าไปเสียหมด แต่จริงๆ แล้วมันเป็นภาวะที่น่าอึดอัด ที่เขาทำลงไปตอนนั้น บางทีอาจจะมีเหตุผลบางอย่างก็ได้” 

 

 

“เจ้าจะบอกว่า ที่เขาทำไปตอนนั้น ไม่ได้เจตนา แต่เป็นเพราะโดนบังคับงั้นหรือ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าชะงักไป ยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกแบบนั้นเสียหน่อย เจ้าอย่าเดาไปเลย ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นการตัดสินใจของท่านปู่ท่านย่ากับท่านพ่อท่านแม่ พวกเราน่ะ เลี้ยงลูกน้อยของเราไปดีกว่า” 

 

 

พูดจบ ก็ยื่นมือออกมาเล่นกับเด็กน้อย  

 

 

เด็กน้อยก็ดิ้น แล้วหัวเราะออกมา  

 

 

แต่หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินข่าว ก็ไม่ได้ออกจากห้องมาสองวัน แล้วก็ไม่ได้มาหาเยียลี่ว์หมิงที่นางชอบมาเล่นด้วยตลอด 

 

 

นายประตูเห็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที คนๆ นี้ฉลาดนัก ยืนห่างจากจวนไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป สิบจ้างพอดี จะตีก็ไม่ได้ จะไล่ก็ไม่ได้ เลยทำให้เขาปวดหัวมาก  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้คุกเข่า แต่ยืนนิ่งๆ แล้วมองไปที่ประตูจวน  

 

 

เป็นวันที่ร้อนระอุ พอมาถึงเวลากลางวัน แสงแดดแยงตาเสียจนไม่อยากลืมตาขึ้น นายประตูทนกับความร้อนไม่ไหว จนหันหลังกลับไปที่ป้อมตรงประตู พอได้กินน้ำไปสองแก้ว ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย  

 

 

ตัวของท่าป๋าหั่นหลินท่วมไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากก็แห้งจนขาวซีด แต่เขาทำเหมือนไม่รู้สึกถึงความร้อนระอุนั้น ยืนนิ่งอยู่กับที่  

 

 

ไม่ต้องพูดถึงนายประตู คนที่เดินผ่านไปมาก็นับถือใจเขาเลย อากาศเช่นนี้ แม้แช่ตัวอยู่ในน้ำเย็นยังรู้สึกร้อน แต่เขากลับยืนนิ่งท่ามกลางแดดที่ร้อนจัดขนาดนี้ ไม่ขยับเลยสักนิด  

 

 

หลายวันผ่านไป  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มเปลี่ยนไปจามเดิมมาก ไทเฮาเห็นเช่นนั้น ก็เจ็บปวดใจ และก็รู้ว่าโน้มน้าวไปก็ไม่ได้ผล ได้แต่สั่งให้คนนำน้ำอุ่นมา พอเขากลับมา ก็ให้เขาดื่มเยอะๆ เท่านั้น  

 

 

ห้าวันผ่านไป ท่าป๋าหั่นหลินหมดสภาพเสียจนนายประตูทนดูไม่ได้ จึงแอบมองซ้ายมองขวา แล้วนำน้ำเย็นไปให้เขาชามหนึ่ง วิ่งไปตรงหน้าเขา “เจ้านี่น้า รีบดื่มเข้า หากเป็นแบบนี้ต่อไป จะทนไม่ไหว…” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ท่าป๋าหั่นหลินก็โซเซเป็นลมล้มหงายท้องไป 

 

 

นายประตูตกใจ จนชามน้ำเย็นในมือหล่นลงกับพื้น แล้วจึงรีบยื่นมือออกมาพยุงเขา “นี่ นี่เจ้า…” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหน้าแดง หลับตา ไม่มีเสียงตอบรับ แสดงว่าเป็นลมแดดอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

นายประตูเห็นดังนั้น จึงกัดฟันลากเขาไปที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วเข้าไปเอาน้ำที่ป้อมประตู แล้วเอาพัดเก่าๆ ออกมา ตอนแรกก็จะเอาน้ำให้เขาดื่ม แต่เปิดปากเขาไม่ได้ เลยใช้มือ เอาน้ำพรมใส่หน้าเขา หลังจากนั้นก็พัดให้เขา แล้วมองซ้ายมองขวา เพราะจะมีรถม้ามารับเขากลับไปทุกวัน แต่เหตุใดวันนี้จึงไม่มีเล่า  

 

 

เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ รถม้าคันนั้นก็โผล่ขึ้นมาในสายตาของเขา นายประตูดีใจมาก กวักมือเรียก “มานี่เร็วเข้า เจ้านายของพวกเจ้าอยู่นี่” 

 

 

คนรถรีบขับรถเข้ามา เห็นท่าป๋าหั่นหลินสลบอยู่ ก็เคยชินเสียแล้ว ลงมาแบกเขาขึ้นรถไป พูดขอบคุณนายประตู แล้วกลับจวนไป 

 

 

นายประตูโล่งอก หยิบชามและพัดกลับป้อมประตูไป แล้วพ่อบ้านก็เดินออกมาจากด้านใน มองไปที่เขาแล้วบอกว่า “นับแต่เดือนหน้า จะเพิ่มเงินเดือนให้เจ้าสองร้อยตำลึง” 

 

 

นายประตูชะงักไป  

 

 

แล้วพ่อบ้านก็กลับเข้าไปด้านใน ทิ้งให้นายประตูยืนงงอยู่ตรงประตู  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินสลบไปอีกครั้ง ไทเฮาก็ไปเรียกหมอมาอย่างปกติ เพราะคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงฟื้นเหมือนที่ผ่านมา แต่พอหมอได้ตรวจแล้ว ยาก็กินแล้ว หนึ่งวัน สองวัน สามวัน ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่ฟื้นสักที แถมยังตัวร้อนขึ้นอีกด้วย ร้อนจนแทบไหม้  

 

 

ไทเฮาตกใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้คนไปเรียกหมอมาอีกครั้ง  

 

 

หลังจากหมอได้ตรวจอย่างละเอียดแล้ว ก็ส่ายหัวถอนหายใจออกมาว่า “หลายวันมานี้ใช้ร่างกายหนักจนเกินไป สภาพตอนนี้ ข้าก็ไม่อาจสามารถรักษาได้ พวกเจ้าไปเชิญหมอที่เก่งกว่าข้ามาเถอะ” 

 

 

ไทเฮาฟังจบ ก็โซเซ คิดอะไรไม่ออก แล้วรีบไปดักหน้าท่านหมอเอาไว้ ขอร้องว่า “ท่านหมอ ขอร้องล่ะ ช่วยลูกของข้าด้วยเถอะ ใช้เงินเท่าไหร่ก็ยอมทั้งนั้น” 

 

 

หมอส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ว่าวิชาแพทย์ของข้านั้นไม่ถึง เลยช่วยไม่ได้ เจ้ารีบไปเชิญคนอื่นมาเถอะ ถ้าช้าไปกว่านี้ เกรงว่าคุณชายท่านนี้คงจะเป็นอันตราย” 

 

 

พูดจบ ก็แบกกระเป๋ายาเดินอ้อมไทเฮาออกไปทันที 

 

 

ไทเฮาได้สติ ก็รีบสั่งให้บ่าวไปเชิญหมอท่านอื่นมา 

 

 

ไม่ว่าจะหมอกี่คน หลังจากตรวจเสร็จ ก็ส่ายหัวเช่นเดียวกัน หมายความว่าตนเองนั้นก็จนปัญญา  

 

 

พอเห็นว่าหมอไปอีกแล้ว ไทเฮาจึงหนักใจ มองไปที่ท่าป๋าหั่นหลินที่สลบอยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้มีหมอท่านไหนอีก เชิญมาให้หมด ขอแค่รักษานายน้อยได้ ข้าจะให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง” 

 

 

บ่าวรับใช้ทั้งหลายก็ดีใจ มองหน้ากันไปมา แล้วมีคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า “ฮูหยินขอรับ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ที่มีชื่อเสียงก็จะมีแต่ร้านยาเต๋อเหริน หมอในนั้นล้วนแต่เป็นหมออันดับต้นๆ ของรัฐทั้งนั้น… …” 

 

 

“รีบไปเชิญมาเร็วเข้า!”  

 

 

เมื่อบ่าวได้รับคำสั่ง ก็รีบวิ่งออกไปทันที  

 

 

บ่าวรับใช้ทั้งหลาย ต่างก็เพิ่งมาซื้อที่นี่ทั้งนั้น หมอที่ร้านยาเต๋อเหรินเลยไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ได้คิดมาก ตามพวกเขามาที่จวน ถึงได้รู้ว่าคือท่าป๋าหั่นหลิน มีใจคิดว่าไม่อยากรักษาให้ แต่ก็คิดถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ถึงเขาจะเป็นคนใจร้ายไส้ระกำอย่างไร ถึงคราวต้องรักษาก็ต้องรักษา จึงนั่งลง 

 

 

หลังจากจับชีพจรเสร็จ ก็ตกใจ ยืนขึ้น แล้วพูดเหมือนกับหมอที่เคยมาตรวจแล้วว่า ตนไม่สามารถรักษาโรคเช่นนี้ได้  

 

 

ไทเฮารู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก  

 

 

หลังจากหมอคนนี้กลับร้านยาเต๋อเหรินไป คิดไปคิดมา จึงไปรายงานกับเหวินซื่อ  

 

 

“ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินซื่อถามหลังจากฟังจบ  

 

 

หมอก็ตอบตามตรง “ไม่ค่อยดีนัก ร่างกายถูกใช้งานอย่างหนัก ข้าก็ไม่รู้จะรักษาเช่นไร” 

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า โบกมือให้หมอคนนั้นออกไป ตนเองนั่งอยู่ชั้นสอง ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วยืนขึ้น ขึ้นหลังม้าแล้วไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนอ๋อง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าเขามีเรื่องใหญ่อะไร เลยสั่งให้คนพาเขาไปที่ห้องรับแขก  

 

 

เหวินซื่อเดินเข้าไปในห้องรับแขก ก็พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเลยว่า “เรื่องนี้ข้าคิดอยู่นาน อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าควรบอกเจ้าเสียหน่อย” 

 

 

“เรื่องอันใด” 

 

 

“เอ่อ ท่าป๋าหั่นหลินนั่นเหมือนจะไม่ไหวแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว มองไปที่เขา  

 

 

“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้ ข้าเองก็ได้ยินมาจากหมอในร้านยาเต๋อเหรินอีกทีหนึ่ง บอกว่าร่างกายเสียหายหนัก แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดมากมาย แต่ข้ารู้สึกว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องมาบอกเจ้าเสียหน่อย อย่าไรเสียก่อนหน้านี้ก็ทั้งต่อยตี ทั้งคุกเข่า เลยทำให้ร่างกายของเขาเป็นเช่นนี้ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของจวนอ๋องฉีเอาได้ อีกทั้งเขายังเป็นถึงฮ่องเต้ ให้เขาตายไปเช่นนี้ ฝ่าบาทคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” 

 

 

“แล้วเจ้าเห็นว่าทำเช่นไรดีเล่า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่พอใจ  

 

 

เหวินซื่อยืนขึ้น “ข้าแค่มาบอกเจ้าเท่านั้น ส่วนเรื่องจะทำเช่นไรต่อไป ข้าไม่สนใจ อย่างไรเสีย เมื่อหมอที่ร้านยาเต๋อเหรินไร้ทางรักษา ก็ไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้แล้วล่ะ”