ทั้งสองคนได้ยินดังนั้นก็โกรธ เดินออกไปด้านนอกพร้อมกันโดยทันที
ท่าป๋าหั่นหลินลากสังขารที่ยังไม่หายดีของตนมาที่หน้าประตู เห็นทั้งสองคนเดินออกมา ก็เม้มปากไม่พูดอะไร
หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยมองหน้ากัน แต่ก็ไม่พูดอะไร ทำท่าทางว่าท่าป๋าหั่นหลินต้องตายสถานเดียว ทั้งสองคนวิทยายุทธล้ำเลิศ อีกทั้งยังมีกำลังภายใน แถมในใจยังมีความโกรธแค้น เวลาลงมือกับเขาคงไม่มีความเกรงใจหรอก
ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่ได้โต้กลับอีกตามเคย
การโจมตีในครั้งนี้ หากที่หน้าอกไม่ได้ขยับขึ้นลง ท่าป๋าหั่นหลินก็คงไม่ต่างจากคนตาย
ทั้งสองคนหยุด หวงฝู่รุ่ยนั่งชันเข่าลงไปตรงหน้าเขา แล้วพูดด้วยความโกรธแค้น “ท่าป๋าหั่นหลิน ตอนนั้นที่เจ้าคิดหาทางต่างๆ เพื่อมาสู่ขอพี่รองของข้า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ามันเลวทรามยิ่งกว่าสุนัข ขนาดลูกของตัวเองยังลงมือได้ลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไปให้พ้นๆ อย่ามาให้พวกข้าเห็นหน้าอีก มิเช่นนั้นล่ะก็ ได้โดนแบบนี้อีกแน่”
พูดจบ ก็หันกลับเข้าจวนไป
หวงฝู่เฮ่าตามอยู่ด้านหลัง
มีบาดแผลเดิมอยู่ที่ตัวแท้ๆ แล้ววันนี้ทั้งสองคนก็ไม่ได้รามือ ตอนที่ทั้งสองคนหันหลังกลับไป ท่าป๋าหั่นหลินเองก็สลบไปด้วยเช่นกัน
หวงฝู่รุ่ยตะโกนพูดขึ้นมาว่า “ลากมันไปไกลๆ อย่าไว้ที่หน้าประตู โสโครก”
นายประตูรีบตอบรับ กำลังจะเอาท่าป๋าหั่นหลินโยนไปไกลสุดถนนก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา หยุดลง แล้วก็มีคนรถกับบ่าวรับใช้คนหนึ่งลงมา ค่อยๆ ยกเขาขึ้นรถม้ากลับจวนไป
แม้จะเห็นมาแล้วหนึ่งครั้ง ตอนที่เห็นสภาพที่น่าอนาถของท่าป๋าหั่นหลิน ไทเฮาก็ยังคงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจเป็นที่สุด
แล้วท่านหมอท่านนั้นก็มาอีกครั้ง เห็นเขาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ก็ตกใจกว่าเดิม ทำแผลเสร็จเรียบร้อย ออกยารักษาภายในให้ แล้วโน้มน้าวไทเฮาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพื่อชีวิตของคุณชายท่านนี้ พวกเจ้ารีบย้ายออกจากเมืองหลวงแห่งนี้เถอะ หากโดนคนทำร้ายแบบนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายของเขาจะรับไม่ไหวเอา”
หมอไม่รู้สถานะของพวกเขา นึกว่าพวกเขาเป็นคนโดนตามฆ่า เลยพูดโน้มน้าวไปด้วยความหวังดี
ไม่ต้องให้เขาพูดหรอก ไทเฮาเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่มาเมืองหลวงแห่งนี้ เป็นความต้องการของท่าป๋าหั่นหลิน แม้วันนี้จะอาศัยโอกาสตอนที่เขาสลบ ย้ายออกไป พอเขาร่างกายแข็งแรงมากพอ เขาก็จะกลับมาอีกครั้ง จึงถอนหายใจออกมาเฮือกยาว ขอบพระคุณหมอเสร็จ ก็ออกคำสั่งให้บ่าวออกไปส่งเขา
หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยรู้ตัวว่าตนเองนั้นลงมือหนักเกินไป ท่าป๋าหั่นหลินต้องนอนติดเตียงไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนแน่ ดังนั้น นับแต่ตอนนั้น เลยไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนอย่างสบายใจ
จวนอ๋องฉีทำเหมือนปกติ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างใดอย่างนั้น
แต่ความที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนในเมืองหลวงเริ่มพูดถึงกัน และคาดเดาไปต่างๆ นาๆ และเป็นธรรมดาที่จะถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น เขาจึงส่งคนไปสืบ ถึงรู้ว่าเป็นท่าป๋าหั่นหลินนั่นเอง ในขณะที่รู้สึกสนุกนั้น ก็เป็นห่วงว่าจวนอ๋องจะทำเขาตาย เขาผู้เป็นฮ่องเต้นั้นจะให้คำตอบกับประชาชนทั่วไปลำบาก
เดินวนเวียนไปมาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรหลายรอบ คิดไปคิดมา สุดท้ายตัดสินใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ ใครใช้ให้ท่าป๋าหั่นหลินทำเขาผิดหวังกันล่ะ ดูแลเย่ว์เอ๋อร์ไม่ดี มันก็สมควรแล้วที่เขากับจวนอ๋องฉีจะตัดขาดกัน
แต่คนในเมืองหลวงกับสงสัยกันไปใหญ่ ทำเป็นเดินผ่านจวนอ๋องฉีกัน เพื่อที่จะดูอะไรน่าสนุก
ถนนหน้าจวนอ๋องฉีนั้น อยู่ดีๆ คนก็เยอะขึ้นมา
แต่ก่อนนายประตูว่างจะตาย ตื่นแต่เช้ามาปัดกวาดเช็ดถูหน้าประตูจนสะอาด ไม่ได้มีเรื่องอะไรทำ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการอาบแดดตรงหน้าประตู แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะเกินไป เขาต้องตั้งสติตลอดเวลา มองทุกคน จะให้คนเหล่านั้นมาสร้างความเดือดร้อนให้จวนอ๋องฉีไม่ได้
สิบวันผ่านไป ก็ไม่มีใครมาโดนทุบตีอีก ทุกคนเลยล้มเลิกความคิดนั้นไป คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยน้อยลง
ครั้งนี้ท่าป๋าหั่นหลินเอง ก็นอนติดเตียงไปครึ่งเดือนเต็ม ถึงจะค่อยๆ ลงจากเตียงได้แล้ว
ไทเฮาอ้าปากอยากโน้มน้าวให้เขาล้มเลิก แล้วกลับรัฐอิงกัน แต่ก็ไม่เคยได้พูดออกมา ผู้อื่นไม่รู้ แต่นางรู้ดี ถึงความรักที่ลูกของนางมีให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ เป็นความรักที่มากเกินกว่าจะบรรยาย หากขออภัยจากเย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้ เกรงว่าเขาคงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วล่ะ
เจ็บปวดใจไป ก็ต้องดูแลไป หวังเพียงแต่ว่าเขาจะดีขึ้นในเร็ววัน แต่ก็กลัวว่าเขาจะโดนตีกลับมาอีก ท่ามกลางความรู้สึกย้อนแย้งเช่นนี้ ไม่กี่วัน ท่าป๋าหั่นหลินก็ดีขึ้นมาก
วันนี้ หลังจากกินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ไทเฮาก็รู้ว่าเขาจะไปจวนอ๋อง จึงถอนหายใจออกมา แต่ไม่พูดอะไร แต่หลังจากที่เขาออกไปได้หนึ่งก้านธูป ก็ออกคำสั่งให้คนรถและบ่าวรับใช้รูปร่างกำยำขับรถม้าตามเขาไปที่จวนอ๋อง หลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินโดนตีจนสลบไปนั้น ค่อยลากเขากลับมา
ท่าป๋าหั่นหลินไปที่จวนอ๋องฉีตามเดิม ในขณะที่อยู่ห่างจากจวนอ๋องได้ประมาณสิบจั้ง ก็ถูกคนเห็นเข้า ทันใดนั้นเอง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เยอะขึ้นในทันที มาเป็นสิบเป็นร้อยคน ไม่นานก็รู้กันไปทั้งเมือง อย่างว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย ไม่ว่าหญิงชายผมหงอกผมดำ ต่างก็เข้ามารุมที่หน้าประตูจวนอ๋อง เพื่อดูอะไรน่าสนุก ขนาดพวกขุนนางชั้นสูงยังสั่งให้คนมาสืบเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นายประตูเห็นท่าป๋าหั่นหลินเดินมาแต่ไกล ก็รีบเข้าไปรายงาน เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ก็หรี่ตา ออกคำสั่งกับชิงหลวน “ออกคำสั่งไปที่องครักษ์ประจำจวน หากกล้าเข้าใกล้จวนอ๋องฉีแม้แต่น้อย ให้ตีมันออกไปไกลๆ”
องครักษ์รับคำสั่ง แล้วหยิบอาวุธเดินออกมา ยืนเรียงกันอยู่หน้าประตู
ท่าป๋าหั่นหลินหยุด แล้วมองไปที่ประตู ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย พอเห็นว่าจะโดนจัดการอย่างไรแล้ว เขาก็ล้มลงคุกเข่าหันหน้าไปทางจวน
ตึ่ง!
ทุกคนพูดกันไปเป็นตุเป็นตะ โดยชี้ไปที่ทางจวนอ๋อง
องครักษ์ก็งงไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร
ท่าป๋าหั่นหลินยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ยืนขึ้น ตอนที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอก หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้ามา บอกว่า “ท่านแม่ เขามีฐานะอย่างไร ท่านไม่ควรออกหน้า เดี๋ยวข้าไปเจอเขาเองเจ้าค่ะ ตอนนั้นต้นเหตุเป็นเพราะข้า ข้าจะเป็นคนจบมันเองเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองจ้องไปที่นางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินออกจากจวนมา แล้วค่อยๆ เดินไปหาท่าป๋าหั่นหลิน
พอเห็นนางเดินออกมา ท่าป๋าหั่นหลินตาเป็นประกาย แล้วมองนางตาไม่กะพริบและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนตรงหน้าเขา แล้วออกคำสั่ง “ท่าป๋าหั่นหลิน ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้! เจ้าทำเช่นนี้ จะให้จวนอ๋องฉีของพวกเราถูกกล่าวหาว่าไร้คุณธรรมอย่างนั้นรึ”
“เย่ว์เอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า!”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่ขยับ เงยหน้ามองนางแล้วพูดออกมาด้วยความคิดถึง
“หุบปาก เจ้าไม่คู่ควรเรียกชื่อของข้า!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์โกรธเป็นอย่างมาก พูดขัดเขาขึ้นว่า “วันนี้ที่ข้าออกมา เพื่อที่จะบอกเจ้าต่อหน้าทุกคนว่า เจ้ากับข้าหย่ากันไปแล้ว ชีวิตนี้ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก เจ้าอย่ามาใช้วิธีเช่นนี้เพื่อให้ข้าสับสน ข้าจะบอกให้ ต่อให้ข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวไปจนแก่ ข้าก็ไม่เชื่อคำพูดของเจ้า หากเจ้าไม่อยากให้ข้าเกลียดเจ้าไปมากกว่านี้ ก็รีบกลับไปซะ อย่าเอาจวนของข้าและครอบครัวของข้ามาแปดเปื้อนกับคำติฉินนินทาของผู้คน”
พูดจบ ก็หันหลัง เดินกลับเข้าจวนไปอย่างไม่แยแส
มองนางเดินกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว ท่าป๋าหั่นหลินเจ็บจนต้องเอามือขึ้นมาทาบอก
ที่แท้คนๆ นี้ก็คือท่าป๋าหั่นหลิน ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงนั่นเอง ผู้คนที่มาดูก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีกครั้ง เสียงเล่าลือเหล่านั้นดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมือง
คำพูดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ไปถึงหูของท่านอ๋องฉีกับพระชายาและเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบร้อยแล้ว หลังจากทั้งสามคนฟังจบ ก็นิ่งไม่พูดจา
ท่าป๋าหั่นหลินคุกเข่าลงครั้งนี้ คุกเข่าทั้งวัน จนกระทั่งหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยกลับมา เขาก็ยังคงคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
ทั้งสองคนก็โมโหขึ้นมาทันที โยนกระเป๋าหนังสือทิ้งให้กับองครักษ์ กำลังจะลงมือ พ่อบ้านก็รีบออกมา ห้ามทั้งสองคนเอาไว้ “ซื่อจื่อเฟยให้พวกท่านกลับเรือน ไม่ต้องสนใจเขา”
ทั้งสองจึงหยุด แล้วเดินกลับเข้าไปในจวนด้วยท่าทางหงุดหงิด
หนึ่งวันผ่านไป คนที่เข้ามาดูไม่รู้ผลัดหน้ากันไปเท่าไร ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ไม่กินอะไร จนกระทั่งตอนกลางคืน จวนอ๋องฉีปิดประตูไปแล้ว เขาถึงโซเซ อยากจะลุกขึ้น แต่ก็ไม่ไหว เพราะคุกเข่านานเกินไป จนทำให้ชาไปทั้งตัว จนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
คนรถและบ่าวรับใช้เห็นดังนั้น ก็รีบเข้ามาพยุงเขาขึ้นรถกลับจวนไป
เมื่อเห็นว่าวันนี้เขาไม่บาดเจ็บ ไทเฮาจึงโล่งอก พอจะพูดอะไรเสียหน่อย ท่าป๋าหั่นหลินก็ยิ้มออกมา “เสด็จแม่ วันนี้ลูกเจอเย่ว์เอ๋อร์ด้วยขอรับ”
ไทเฮาชะงักไป แล้วตามมาด้วยเสียงดีใจ “เย่ว์เอ๋อร์ยอมพบเจ้าแล้วงั้นรึ”
พอคิดถึงคำพูดที่หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดไว้ สีหน้าดีใจของท่าป๋าหั่นหลินก็หายไป แต่ว่า ไม่นานก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “เย่ว์เอ๋อร์ยังโกรธข้าอยู่ แต่เสด็จแม่วางใจเถอะ ข้าจะต้องขอให้นางอภัยข้าให้ได้”
ฮ่องเต้รัฐอิงมาคุกเข่าอยู่หน้าจวนอ๋องฉี ข่าวนี้ไม่นานก็ลือกันไปทั่ว เป็นราชนิกูล โตมาในวังหลวงที่โหดร้าย โดยมากล้วนเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก นับแต่โบราณกาล ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนมาคุกเข่าให้ผู้หญิงเพียงคนเดียว ท่าป๋าหั่นหลินเป็นคนแรก ในชั่วพริบตาเดียว หวงฝู่เย่าเย่ว์กลายเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในใต้หล้า โดยเฉพาะเป็นคู่ที่พูดถึงของพวกนางสนมทั้งหลายในวังหลวง บอกว่านางมีบุญวาสนาแต่ไม่รู้จักเจียม ผู้ชายหลายเมียเป็นเรื่องปกติ อีกทั้ง ท่าป๋าหั่นหลินเป็นถึงฮ่องเต้ จะมีเมียมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร ส่วนการกระทำของท่าป๋าหั่นหลินนั้น ฮ่องเต้รัฐอื่นๆ ได้ยินเข้าก็กลายเป็นเรื่องตลก ไร้สาระ เพื่อผู้หญิงคนเดียว ถึงกับต้องคุกเข่าลง ช่างขายหน้าเสียจริงๆ
แต่ไม่ว่าผู้คนจะพูดกันไปเช่นไร นับตั้งแต่วันนั้น ท่าป๋าหั่นหลินก็ไปคุกเข่าหน้าจวนอ๋องฉีทุกวัน ฝนตกแดดออกเช่นไร ก็ไม่เคยขาด นั่งอยู่ตรงนั้นทุกวันจนล่วงเลยไปเดือนกว่า
ตอนแรกผู้คนต่างก็ให้ความสนใจ ส่วนตอนหลังเห็นว่าจวนอ๋องฉีก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ส่วนท่าป๋าหั่นหลินเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ เลยเลิกสนใจกันไป ส่วนหลังจากนั้น ผู้คนกลับคุ้นชินกับการที่ท่าป๋าหั่นหลินมานั่งคุกเข่าเสียแล้ว ไม่เห็นเขาสิแปลก