ตอนที่ 792 ความขัดแย้งภายในของตระกูลเฝิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ตูมมม !

ในจุดที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก้อนพลังมายาสามก้อนกระแทกลงบนพื้นว่างเปล่าจนเกิดเสียงดังสนั่นและกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา

ผู้ที่โจมตีนางก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจอมยุทธ์สามคนที่ถูกล้อมรอบโดยฝูงค้างคาวทมิฬและเป็นผู้ที่นางได้ช่วยเหลือไว้นั่นเอง

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”

เมื่อฉินอวี้โม่หลบหลีกไปได้อย่างรวดเร็ว จอมยุทธ์ทั้งสามก็ตกตะลึงและมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

เมื่อครู่พวกเขาทั้งหมดเห็นว่าฉินอวี้โม่อยู่ตรงหน้าและตัดสินใจลงมืออย่างรวดเร็ว พวกเขาเชื่อว่าหากโจมตีนางในตอนที่นางยังคงติดพันอยู่กับฝูงค้างคาว ต่อให้นางจะมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด ฉินอวี้โม่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะหลบหลีกไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ไป

“เจ้าพวกเนรคุณทั้งสาม นายหญิงใจดีช่วยพวกเจ้าแท้ ๆ ทว่าพวกเจ้ากลับคิดฆ่านางเช่นนี้ ช่างบัดซบจริง ๆ !”

มารยากล่าวด้วยสีหน้าที่โมโหและคิดไม่ถึงเช่นกันว่าทั้งสามคนที่นายหญิงเข้ามาช่วยไว้จะคิดสังหารฉินอวี้โม่เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่แสดงความขอบคุณเท่านั้น ทว่าพวกเขายังคิดลอบโจมตีนางอย่างไม่ลังเล

“เหอะ ฉินอวี้โม่ เจ้าผิดเองที่ไปท้าทายผู้คนมากมาย มีใครบางคนเสนอผลประโยชน์ให้กับพวกข้า ตราบใดที่ฆ่าเจ้าได้สำเร็จ เราจะได้แก่นหินวิญญาณมูลค่ากว่าสิบล้าน พวกข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ แก่นหินวิญญาณมากมายเช่นนั้นจะทำให้เราร่ำรวยและไม่ต้องกังวลสิ่งใดไปจนถึงชาติหน้า”

หนึ่งในนั้นแค่นเสียงเย็นชาก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้กับจอมยุทธ์อีกสองคน จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็หยิบป้ายหินวิญญาณออกมาและเตรียมทำลายมัน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ได้คิดจะช่วยพวกเจ้าหรอก เพียงแต่ทำไปเพราะอยากถามว่าพบเห็นสหายของข้าบ้างรึไม่ก็เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้ามีความคิดชั่วช้ากันเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน เดิมทีนางเพียงต้องการถามว่าทั้งสามเห็นฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ บ้างหรือไม่ เพราะเหตุนั้นนางจึงได้เคลื่อนไหวออกไป สำหรับการถูกทั้งสามโจมตีเช่นนี้ แม้ว่าจะคาดไม่ถึง แต่นางก็ไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก

ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าคนของตระกูลเฝิงและโจวเฉียนไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะกำจัดตนแน่ แก่นหินวิญญาณนับสิบล้านอย่างนั้นรึ ? ดูเหมือนว่าข้าจะถูกตีมูลค่าสูงทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อจอมยุทธ์ทั้งสามคิดสังหารนาง ฉินอวี้โม่ก็ย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ นางยอมรับว่านางก็มิใช่คนดีนักและคงไม่แสดงความเมตตาต่อผู้ที่คิดสังหารตน

ทันทีที่ทั้งสามหยิบป้ายหินวิญญาณออกมา พวกเขาก็ตัวแข็งทื่อและขยับเขยื้อนไม่ได้อีก

จากนั้น เพียงการโบกมือเบาๆ ป้ายหินวิญญาณของคนทั้งสามก็มาอยู่ในมือของฉินอวี้โม่ทันที

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ข้าเพียงจะเก็บป้ายพวกนี้ไว้ ข้าจำได้ว่าป้ายแต่ละแผ่นจะเชื่อมโยงเข้ากับพลังของพวกเจ้าแต่ละคน ต่อให้พวกเจ้าจะฉกชิงป้ายของคนอื่นไป พวกเจ้าก็ไม่มีทางออกไปจากดินแดนลับนี้ได้ เพราะฉะนั้น…ขอให้โชคดีล่ะ หากพวกเจ้ารอดออกไปได้ พวกเจ้าก็ถือว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อย”

หากปราศจากป้ายหินวิญญาณซึ่งเป็นตัวช่วยในการออกจากดินแดนลับ จอมยุทธ์ก็ทำได้เพียงรอจนกว่าจะครบกำหนดสิบห้าวัน เมื่อถึงตอนนั้น จ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ จะเข้ามาตามหาและส่งทุกคนกลับออกไป อย่างไรก็ตาม จากการคาดเดาของฉินอวี้โม่ เมื่อจ้าวเหลียงติดต่อทุกคน เขาจะต้องติดต่อผ่านทางป้ายหินวิญญาณของแต่ละคน การที่จอมยุทธ์ทั้งสามเสียแผ่นป้ายของตนเองไป มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาเท่านั้นว่าจะออกไปได้หรือไม่

สีหน้าของทั้งสามในตอนนี้แสดงถึงความหวาดผวาอย่างที่สุดและอ้าปากค้างทว่าไร้คำพูดออกมา ความรู้สึกผิดและเสียดายปรากฏในหัวใจของพวกเขาแล้ว เหตุใดพวกข้าจึงคิดยั่วยุคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เพื่อแก่นหินวิญญาณเพียงสิบล้านก้อนกัน ? แม้ตระกูลเฝิง โจวเฉียนและคนอื่น ๆ จะทรงพลัง แต่ฉินอวี้โม่ผู้นี้กลับน่าสะพรึงกลัวกว่ามาก…

ฉินอวี้โม่ไม่แยแสคนทั้งสามอีกต่อไปขณะที่นางและอสูรมายาทั้งสองเดินทางต่อไปในทิศทางหนึ่ง

ทันทีที่พวกนางจากไป พลังที่พันธนาการร่างของพวกเขาไว้ก็ถูกคลายออกและสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครา

“พี่ใหญ่…เราจะทำอย่างไรต่อไป ?”

ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในสามคนเริ่มโวยวายและอยู่ไม่ติด หากพวกเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมากกว่านี้ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดได้หรือไม่

“เฮ้อ ข้าผิดเองที่โลภมากจนเกินไป”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พวกเขาทั้งสามเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ที่พยายามอย่างสุดความสามารถและโชคดีพอที่จะได้ผ่านเข้าสู่รอบที่สองของการคัดเลือก ตอนนี้พวกเขาสูญเสียป้ายหินวิญญาณที่ถือว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดไปจากที่นี่ได้หรือไม่ก็ต้องอาศัยโชคชะตาเท่านั้น…

“นายหญิง เหตุใดจึงปล่อยสามคนนั้นไปง่าย ๆ ล่ะ ?”

มารยาฉงนสงสัยไม่น้อย ด้วยนิสัยปกติของนายหญิง นางคงจะล้างแค้นคนทั้งสามโดยการปลิดชีวิตพวกเขาไปโดยตรง

“สาเหตุที่ข้าช่วยพวกเขาตั้งแต่แรกก็เพราะอยากจะสอบถามหาข่าวคราวเท่านั้น การที่พวกเขาโจมตีข้านั่นก็เป็นเพราะความโลภบังตา อีกอย่าง…พวกเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่ข้าจะรู้สึกชื่นใจกับการได้สังหารพวกเขา การยึดเอาป้ายหินวิญญาณของพวกเขามาก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแล้ว นี่เป็นบทลงโทษที่สาสมที่สุดแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ถึงแม้นางจะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้ ทั้งสามก็ไม่มีทางที่จะอยู่ในดินแดนลับต่อไปได้อย่างมีความสุข ดินแดนลับแห่งนี้ไม่เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้ ไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าทั้งสามจะรอดไปจนถึงวันสุดท้ายได้หรือไม่

“ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง…”

หานอวี้ถูจมูกเบา ๆ พลางกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่มันได้พบกับฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ มันก็รู้สึกถูกชะตากับคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง

“ไม่ต้องห่วง ต่อให้จะเผชิญกับอันตราย ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดได้แน่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบเบา ๆ นางได้กำชับกับคนเหล่านั้นไว้แล้วว่าหากตกอยู่ในอันตราย พวกเขาไม่ควรฝืนดึงดันและให้ทำลายป้ายหินวิญญาณเพื่อออกไปทันที ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ เองก็เข้าใจดีว่าหากเผชิญวิกฤตที่รับมือไม่ได้ พวกเขาจะต้องออกไปจากดินแดนลับให้ได้โดยเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ภายในเมืองเทียนหยวนก็ยังมีทั้งเจ้าเมืองจ้าวเหลียงและผู้นำสามตระกูลที่จะช่วยปกป้องดูแลพวกเขาและจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น เวลาอีกสามวันก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ

ตลอดสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับจอมยุทธ์ผู้เข้าร่วมคัดเลือกในรอบที่สองเพียงประปราย

ทว่าคนเหล่านั้นก็ไม่มีความคิดมุ่งร้ายใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่และไม่คิดโจมตีนาง ฉินอวี้โม่ก็เพียงถามข่าวคราวของฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ จากคนเหล่านั้น ทว่าได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครพบพวกเขาเลย นอกเหนือจากนี้ หนึ่งในจอมยุทธ์เหล่านั้นก็ต้องการขอเดินทางไปกับฉินอวี้โม่ด้วย ทว่านางก็ปฏิเสธไปโดยตรง

ภายในช่วงห้าวันนับตั้งแต่เข้ามาในดินแดนลับ ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้อยู่ในบริเวณรอบนอกอีกต่อไปทว่าเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางของดินแดนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดินแดนลับแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าหนาทึบเป็นส่วนใหญ่ นางจึงท่องไปทั่วป่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ไม่พบอสูรมายาที่ทรงพลัง นางก็ได้พบสมุนไพรหายากจำนวนไม่น้อยและเก็บพวกมันไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวของตน

วันนี้ฉินอวี้โม่และมารยาก็กำลังพักผ่อนอยู่ใกล้ลำธารใสตรงใจกลางป่าในขณะที่หานอวี้ท่องไปรอบ ๆ เพื่อสืบหาเบาะแสข่าวคราวอื่น ๆ

ในขณะที่ฉินอวี้โม่หลับตาลงเพื่อที่จะบ่มเพาะพลังสักระยะ จู่ ๆ เสียงของหานอวี้ก็ดังขึ้น

“ท่านแม่ มานี่เร็วเข้า ข้าพบเรื่องน่าสนุก ๆ”

เสียงของหานอวี้เจือด้วยความตื่นเต้นอย่างชัดเจนราวกับพบเรื่องที่น่าสนุก

ฉินอวี้โม่จึงลืมตาอย่างช้า ๆ และหันไปสบตากับมารยาก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของหานอวี้

เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็ปรากฏตัวตรงหน้าพื้นที่โล่งในป่าหนาทึบและได้ยินเสียงที่ดังสนั่นมาจากระยะที่ห่างออกไป ฉินอวี้โม่และมารยาก็ตรงเข้าในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนขับเคลื่อนไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางพื้นที่โล่ง กลุ่มคนหลายสิบคนยืนประจันหน้ากับใครคนหนึ่งและหลายคนในนั้นเป็นคนที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

ฝ่ายกลุ่มหลายสิบคนนั้น หัวหน้ากลุ่มคือบุรุษหนุ่มที่ดูมีอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี ทว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลฝีหนองและมีรูปร่างอ้วนท้วน ในเวลานี้เขาก็กำลังขี่อยู่บนพยัคฆ์หงส์ทองซึ่งควรจะดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้สิ่งที่เห็นดูน่าขันไม่น้อย

เขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฝิงต้าเป่า—บุตรชายแท้ ๆ ของเฝิงรุ่ยเฉิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเฝิง

ผู้ที่เผชิญหน้ากับเขาก็คือเฝิงเยี่ย—จอมยุทธ์ฝีมือดีอันดับหนึ่งของตระกูลเฝิงและเป็นผู้ที่เคยประจันหน้ากับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ ทว่านางก็รู้สึกถูกชะตากับเขามากทีเดียว

ด้านหลังเฝิงต้าเป่าเต็มไปด้วยศิษย์ตระกูลเฝิงมากกว่าสิบคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สองนี้เช่นกัน ส่วนที่เหลือคือจอมยุทธ์อิสระและส่วนหนึ่งมาจากตระกูลโจว โจวหังรุ่ยที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้และถูกบังคับให้ต้องขอโทษนางก็อยู่รวมในกลุ่มนั้นเช่นกัน

“เฝิงเยี่ย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?”

เวลานี้เฝิงต้าเป่าจ้องหน้าเฝิงเยี่ยอย่างโกรธเกรี้ยวและมีใบหน้าที่บิดเบี้ยว

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร ข้าเพียงไม่อยากอยู่ร่วมกับพวกเจ้าก็เท่านั้น”

เฝิงเยี่ยกล่าวตอบเบา ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา เขาแสดงออกอย่างชัดเจนและไม่คิดปิดบังว่ารังเกียจเฝิงต้าเป่าและพวกมากเพียงใด

ก่อนหน้านี้เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ทว่าจู่ ๆ ก็มาพบเฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ในฐานะบุตรชายของเฝิงรุ่ยเฉิงและผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเฝิง เฝิงต้าเป่าจึงไม่ชอบหน้าเฝิงเยี่ยที่มีพลังเหนือกว่าตนอย่างที่สุดและพยายามกดข่มเฝิงเยี่ยอยู่เสมอ ในเวลานี้เขาก็ชวนเฝิงเยี่ยมารวมกลุ่มกันและให้เชื่อฟังคำสั่งของตน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเฝิงเยี่ยปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้

ก่อนหน้านี้เฝิงต้าเป่าได้รับพยัคฆ์หงส์ทองมาและมันยิ่งเสริมความมั่นอกมั่นใจของเขามากยิ่งขึ้น แม้พลังของเขาเทียบเฝิงเยี่ยไม่ได้ ตอนนี้เขาก็รู้สึกมั่นใจว่าตนจะไม่ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย หากเฝิงเยี่ยไม่เชื่อฟังคำสั่ง แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงสั่งคณะผู้ติดตามทั้งหมดเข้าขวางทางเฝิงเยี่ยไว้และจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนให้กับเขาอย่างสาสม

“เจ้าลืมคำสั่งของบิดาของข้าไปแล้วรึ? เขาสั่งให้เจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้าและร่วมมือกันกำจัดฉินอวี้โม่ ทว่าตอนนี้เจ้ากลับไม่ทำตามคำสั่งของข้าและอยากจะสนใจแต่เรื่องของตัวเองอย่างนั้นหรือ ? เจ้าไม่ห่วงชีวิตอาจารย์ของเจ้าเลยรึไง ?!”

น้ำเสียงของเฝิงต้าเป่าแสดงความข่มขู่อย่างชัดเจนและจ้องหน้าเฝิงเยี่ยตาเขม็ง หากมิใช่เพราะต้องจัดการกับฉินอวี้โม่ก่อน เขาก็คงจะสังหารเฝิงเยี่ยเพื่อระบายความเกลียดชังในใจไปแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฝิงเยี่ยผู้นี้แสดงจุดยืนที่เหนือกว่าเขามาตลอดและมันก็เกินทนเต็มที !

“เฝิงต้าเป่า ไม่ต้องข่มขู่ข้าหรอก ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะจัดการฉินอวี้โม่ ข้าก็จะไม่ผิดคำพูดแน่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้พบกับนาง ข้าเพียงไม่อยากสุงสิงกับพวกเจ้าก็เท่านั้น!”

เฝิงเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาและจิตสังหารฉายชัดในแววตา

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลเฝิงก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่อาจซ่อนความโกรธแค้นในหัวใจได้เลย

ก่อนหน้านี้เฝิงรุ่ยเฉิงสั่งให้เขาหาโอกาสสังหารฉินอวี้โม่ในการคัดเลือกครานี้ ทว่าทั้งเฝิงเยี่ยและผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลเฝิงซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาไม่เห็นด้วย

ผู้อาวุโสของตระกูลเฝิงไม่ต้องการทำให้ฉินอวี้โม่ขุ่นเคืองใจ และหวังว่าตระกูลเฝิงจะหาทางประนีประนอมและไกล่เกลี่ยกับฉินอวี้โม่ได้ ทว่าเฝิงรุ่ยเฉิงกลับปฏิเสธและไม่ยอมเชื่อฟังแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม เฝิงรุ่ยเฉิงกลับพยายามหาทางควบคุมผู้อาวุโสผู้นั้นและทำลายรากฐานพลังของเขาเพื่อข่มขู่เฝิงเยี่ย หากเฝิงเยี่ยไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง เขาจะสังหารผู้อาวุโสผู้นั้นในทันที

เฝิงเยี่ยก็รู้สึกโกรธแค้นในหัวใจเป็นอย่างมาก ทว่าไม่อาจทำอะไรได้เลย ผู้อาวุโสใหญ่เป็นทั้งอาจารย์และเป็นเหมือนบิดาของเขา แน่นอนว่าเฝิงเยี่ยไม่มีทางปล่อยให้คนผู้นั้นเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน เวลานี้เขาจึงทำได้เพียงยอมทำตามคำสั่งของเฝิงรุ่ยเฉิงและร่วมมือกันเพื่อจัดการกับฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตาม การสั่งให้เขาติดตามเฝิงต้าเป่าและคณะรวมถึงยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของคนผู้นี้ เฝิงเยี่ยไม่มีทางยินยอมได้

“สหายเฝิง ดูเหมือนว่าเจ้าที่เป็นถึงนายน้อยของตระกูลเฝิงจะไม่มีอำนาจควบคุมศิษย์ในตระกูลเท่าใดนัก ! ฮ่า ๆ ๆ”

โจวหังรุ่ยก็เพียงรับชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นนี้และหัวเราะลั่นออกมาขณะกล่าวยุยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างเฝิงต้าเป่าและเฝิงเยี่ยแตกหักยิ่งกว่าเดิม

“เฝิงเยี่ย เจ้าคิดจะขัดคำสั่งนายน้อยอย่างข้างั้นรึ !”

เฝิงต้าเป่าเดือดดาลอย่างที่สุดและจ้องหน้าเฝิงเยี่ยอย่างเกรี้ยวโกรธโดยที่จิตสังหารรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม