ตอนที่ 793 เฝิงเยี่ยทรยศ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เฝิงต้าเป่าเป็นนายน้อยของตระกูลเฝิงและเป็นทายาทสืบสกุลเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลเฝิงอย่างเฝิงรุ่ยเฉิง โดยหลักการแล้วเขาควรจะเป็นผู้สืบทอดและได้ปกครองตระกูลเฝิงเป็นคนต่อไป อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พลังอำนาจและอิทธิพลของเฝิงเยี่ยก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง พรสวรรค์หรือชื่อเสียงเกียรติยศในตระกูลเฝิง เขาก็เหนือกว่าเฝิงต้าเป่าในทุก ๆ ด้าน

หากมิใช่เพราะการที่เฝิงรุ่ยเฉิงจงใจกีดกันและควบคุมเฝิงเยี่ยมาตั้งแต่ต้น เกรงว่าตำแหน่งของเฝิงต้าเป่าคงจะสั่นคลอนไปนานแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงเคียดแค้นและริษยาเฝิงเยี่ยอย่างที่สุด กอปรกับการยุแยงจากโจวหังรุ่ย เฝิงต้าเป่าที่แทบไม่มีปัญญาและสมองคิดก็ย่อมคล้อยตามและหาโอกาสเล่นงานเฝิงเยี่ยให้จงได้

“เฝิงต้าเป่า ข้าไม่คิดที่จะมีเรื่องกับเจ้าและไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลเฝิงเลยสักนิด ข้าเพียงต้องการรับใช้ท่านอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฝิงเท่านั้น เจ้าอย่าทำอะไรล้ำเส้นเกินไป !”

เฝิงเยี่ยยังคงดูเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าสิ่งที่เขากล่าวออกไปเป็นความจริงทุกประการ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ต้องการต่อสู้หรือแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลแม้แต่น้อย ต่อให้เฝิงรุ่ยเฉิงจงใจกีดกันและตัดโอกาสในหลายสิ่งหลายอย่าง เขาก็ยอมรับทุกอย่างโดยไม่เรียกร้องสิ่งใด ในทางกลับกัน เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฝิงก็ดูแลเขาเฉกเช่นคนในครอบครัวและให้การอบรมสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี เฝิงเยี่ยจึงไม่เคยคิดทอดทิ้งหรือทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อตระกูลเฝิงแม้แต่คราเดียว

ทว่าตอนนี้อาจารย์ของเฝิงเยี่ยถูกจับตัวไว้และรากฐานพลังของเขาก็ถูกทำลายไป ซ้ำร้ายชีวิตยังตกอยู่ในอันตราย เฝิงรุ่ยเฉิงจับตัวอาจารย์ที่เฝิงเยี่ยเคารพรักเพื่อข่มขู่ให้เขาทำตามคำสั่งและจัดการฉินอวี้โม่เสีย เขาจึงจำต้องตอบตกลง ทว่าตอนนี้เฝิงต้าเป่ากลับต้องการหยามเกียรติเขาเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่น่าชิงชังยิ่งนัก !

เขาอดที่จะกำหมัดแน่นไม่ได้พร้อมกับหัวใจที่เต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น

“เหอะ อย่าได้คิดเพ้อฝัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นหรอก !”

เฝิงต้าเป่าไม่เชื่อวาจาของเฝิงเยี่ยแม้แต่น้อย เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดที่เพิกเฉยต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเฝิงหากมีโอกาสได้มันมาครอง

“เฝิงต้าเป่า ข้าเพียงไม่อยากสุงสิงกับเจ้า เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”

เมื่อพิจารณาเรื่องที่อาจารย์ของตนอยู่ในกำมือของเฝิงรุ่ยเฉิง แม้หัวใจของเฝิงเยี่ยเต็มไปด้วยความโกรธและความเคียดแค้น เขาก็พยายามข่มมันไว้และกล่าวออกไปอย่างเย็นชา

“เหอะ ก่อนหน้านี้บิดาของข้าสั่งให้เจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้ามาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราทว่าเจ้ากลับปฏิเสธ เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ ใครจะรับประกันได้ว่าเจ้าจะลงมือจัดการกับนางจริง ๆ”

แน่นอนว่าเฝิงต้าเป่าไม่ยอมปล่อยเฝิงเยี่ยไปง่าย ๆ เขาแค่นเสียงในลำคอและกล่าวอย่างวางท่าสูงส่ง

“ถูกต้อง การที่เจ้าไม่ฟังคำสั่งในตอนนี้ เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ เจ้าก็คงจะไม่ฟังคำสั่งเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสืบทราบมาว่ากลุ่มของเจ้าเป็นกลุ่มคนที่ออกไปเฝ้าหน้าประตูเมืองในตอนฉินอวี้โม่และคณะเดินทางเข้ามา ทว่าพวกนั้นกลับเข้ามาลอยหน้าลอยตาในเมืองได้โดยที่คนของตระกูลเฝิงไม่รู้ข่าวด้วยซ้ำ เจ้าและฉินอวี้โม่นั่นอาจจะรวมหัวกันไปแล้วก็เป็นได้ !”

โจวหังรุ่ยกล่าวเสริมและยังยุแยงต่อไป แม้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจร่วมมือกัน เขาก็รังเกียจตระกูลเฝิงอยู่เป็นทุนเดิม สำหรับความขัดแย้งภายในของคนตระกูลเฝิงเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็จะไม่พลาดโอกาสที่จะราดน้ำมันลงสู่กองไฟ

“หุบปากไปเสีย ! โจวหังรุ่ย เจ้าเกี่ยวอะไรด้วยมิทราบ !”

เฝิงเยี่ยตวัดสายตามองโจวหังรุ่ยตาเขม็งและเหวี่ยงฝ่ามือวายุออกไปทันที

โจวหังรุ่ยก็โชคดีป้องกันได้ทันเวลาทว่าพลังจากฝ่ามือดังกล่าวก็ทำให้เขาถอยหลังไปกว่าสิบก้าวก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของเฝิงเยี่ยเหนือชั้นกว่าตัวเขามาก

“เฝิงเยี่ย เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อีกหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ซึ่งสังเกตการณ์อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนและในเวลานี้นางก็มีแผนการอยู่ในใจแล้ว นางจึงตัดสินใจสื่อสารตรงไปหาเฝิงเยี่ยผ่านทางกระแสจิต

“ฉินอวี้โม่รึ ?”

เฝิงเยี่ยชะงักไปเล็กน้อยทันที คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้

เขาทราบดีว่าพลังของตนจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของบรรดาผู้เข้าร่วมการคัดเลือกทั้งหมดในรอบที่สองนี้ ทว่าแม้แผ่พลังวิญญาณออกไป เขาก็ไม่พบร่องรอยของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของผู้ใดในระยะรัศมีกว่าหนึ่งร้อยลี้ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม การที่ฉินอวี้โม่สามารถส่งกระแสจิตมาหาตนได้ นั่นหมายความว่านางคงจะอยู่ในระยะที่ใกล้กับเขาพอสมควร น่าสงสัยนักว่านางซ่อนอยู่ที่ใดและเหตุใดข้าจึงไม่พบแม้แต่ร่องรอยเช่นนี้ ?

“เฝิงเยี่ย เจ้าน่าจะรู้จักนิสัยคนของตระกูลเฝิงดี ตอนนี้อาจารย์ของเจ้าอยู่ในกำมือของเฝิงรุ่ยเฉิงแล้ว ต่อให้เจ้าช่วยตระกูลเฝิงและกำจัดข้าได้สำเร็จ พวกเขาก็คงไม่ปล่อยอาจารย์ของเจ้าไปหรอก ยิ่งไปกว่านั้น…ด้วยนิสัยของเจ้า หากเฝิงต้าเป่าพยายามยั่วยุเจ้าหลายคราก็คงจะมิใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าหากถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไม่ไว้หน้าซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่นนี้ เจ้าไม่มีทางอดทนได้แน่ เจ้ามาร่วมมือกับข้าจะดีกว่าและข้าจะหาทางช่วยอาจารย์ของเจ้า”

ฉินอวี้โม่ชื่นชมความสามารถของเฝิงเยี่ยมากพอสมควร หากอีกฝ่ายตอบตกลง นางก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกับเขาเพื่อจัดการกับตระกูลเฝิง ถึงอย่างไรแล้วศัตรูของศัตรูก็ถือเป็นมิตร หลังจากเหตุการณ์นี้ เฝิงเยี่ยไม่มีทางที่จะภักดีและยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเฝิงอีกต่อไป ตราบใดที่นางมีวิธีช่วยเหลืออาจารย์ของเขาได้ เชื่อว่าเฝิงเยี่ยก็ยินดีที่จะทรยศตระกูลเฝิงอย่างแน่นอน

“ตระกูลเฝิงทรงพลังเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าตามหาไปทั่วแต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของท่านอาจารย์แม้แต่น้อย หากข้ายอมร่วมมือกับเจ้า…เจ้าจะช่วยอาจารย์ของข้าได้อย่างไร ?”

เฝิงเยี่ยไม่ตอบตกลงในทันทีทว่าเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยมากที่สุด ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ยิ่งเขาได้ยินเรื่องราวของฉินอวี้โม่มากเพียงใด เขาก็ยิ่งเข้าใจถึงความทรงพลังของนางมากเพียงนั้น มิใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะได้รับความดีความชอบจากผู้มีอิทธิพลมากมายและยังสามารถรับมือกับตระกูลโจวได้ด้วยตัวเอง

เพียงแต่ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี และไม่ว่าฉินอวี้โม่จะเก่งกาจเพียงใด นางก็ไม่มีรากฐานที่มั่นคงในเมืองเทียนหยวนด้วยซ้ำ ต่อให้นางนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปแจ้งกับอีกสามตระกูลหรือเจ้าเมือง เฝิงรุ่ยเฉิงก็สามารถปฏิเสธหน้าด้าน ๆ ได้ ซึ่งพวกเขาก็จะไม่สามารถบีบเค้นอะไรเฝิงรุ่ยเฉิงได้อีกและไม่สามารถหาทางช่วยอาจารย์ของเขาได้

“ในเมื่อข้ากล้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็ย่อมมั่นใจ เจ้าเพียงไตร่ตรองดูเถอะว่าจะร่วมมือกับข้ารึไม่ ข้าเพียงคนเดียวก็มากพอที่จะช่วยอาจารย์ของเจ้าได้ ถึงอย่างไรนั่นก็แค่ตระกูลเฟิงเท่านั้น ข้าไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเท่าใดนัก”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม่อาจฟังดูทะนงตน ทว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้นางก็ใช้เหล็กนิลหมื่นปีเพื่อปรับปรุงคุณภาพของคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและจะเข้าไปในจวนตระกูลเฝิงได้โดยที่ไม่มีผู้ใดค้นพบ อีกทั้งนางยังมีอสูรมายาจำนวนมาก ดังนั้นการสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับตระกูลเฝิงและการช่วยชีวิตอาจารย์ของเฝิงเยี่ยจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากนัก

“เฝิงเยี่ย หากเจ้าไม่ฟังคำสั่งของนายน้อยผู้นี้ อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไปก็แล้วกัน สำหรับการจัดการกับเจ้าฉินอวี้โม่นั่น ต่อให้ไม่มีเจ้า มันก็ไม่กระทบต่อแผนการแม้แต่น้อย !”

เมื่อเห็นเฝิงเยี่ยนิ่งเงียบและไม่กล่าวสิ่งใด เฝิงต้าเป่าก็กล่าวด้วยน้ำเสียงโอหังซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด

เขาไม่เคยพบกับฉินอวี้โม่มาก่อนและได้ยินเพียงข่าวลือที่หนาหูเกี่ยวกับนางเท่านั้น สำหรับเฝิงต้าเป่า เขาเชื่อว่าสตรีผู้ที่มีพลังไม่ถึงขอบเขตราชาเซียนนั้นมิใช่ผู้ที่เขาต้องกังวลแม้แต่น้อย บิดาของเขาก็เหมือนจะหวาดหวั่นต่อสตรีผู้นั้นมากเกินไป อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ใดเพื่อจัดการกับฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ

สีหน้าของโจวหังรุ่ยก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยทว่ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

เขาเคยประจันหน้ากับฉินอวี้โม่มาก่อนและทราบดีว่านางเก่งกาจเพียงใด หากนางเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย ๆ พวกเขาก็คงไม่ต้องเสียเวลาเตรียมความพร้อมมากมายเช่นนี้ เฉพาะอสูรมายาคู่กายของฉินอวี้โม่เพียงตัวเดียวก็เหนือชั้นกว่าที่พวกเขาหลายคนจะสู้ได้ กอปรกับฝีมือที่ยากเกินคาดเดาของฉินอวี้โม่ ต่อให้เฝิงเยี่ยลงมือเองรวมกับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้ามากมาย พวกเขาก็รับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ ข้าจะร่วมมือกับเจ้า”

ในที่สุดเฝิงเยี่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ฉินอวี้โม่กล่าวถูกทุกประการ หากไม่ร่วมมือกับนาง เขาก็อาจช่วยอาจารย์ของตนเองไว้ไม่ได้ การร่วมมือกับนางย่อมดีกว่าและทำให้โอกาสการประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยที่อวดเบ่งอำนาจของเฝิงต้าเป่า เฝิงเยี่ยก็ไม่มั่นใจเลยว่าตนจะอดทนได้อีกนานเพียงใด

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เสแสร้งญาติดีกับพวกเขาไปก่อน ไม่ว่าพวกเขาจะวางแผนจัดการกับข้าอย่างไร เราจะหาวิธีตอบโต้อย่างสาสม !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เฝิงเยี่ยเป็นคนชาญฉลาดและนางก็เชื่อมาตั้งแต่แรกว่าเขาจะตกลงร่วมมือกับนาง

เฝิงเยี่ยขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจะสุงสิงกับเฝิงต้าเป่า ต่อให้เป็นการทำเพื่อแผนการในอนาคตก็ตาม

“เฝิงเยี่ย การควบคุมอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้จอมยุทธ์แข็งแกร่งมากขึ้นได้ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์มาก ทว่าเจ้ายังหัวแข็งเกินไป ครานี้จะถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเจ้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ เฝิงเยี่ยมีลักษณะนิสัยที่แข็งกระด้างเกินไป เขาเป็นคนประเภทที่ยอมหักไม่ยอมงอและจะไม่ยอมเสแสร้ง หากเขายืดหยุ่นได้มากขึ้น มันจะเป็นผลดีสำหรับการฝึกยุทธ์ของเขาในอนาคต

“เข้าใจแล้ว”

เฝิงเยี่ยพยักศีรษะและเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่

เขาหันกลับไปมองเฝิงต้าเป่าและพยักศีรษะพร้อมกล่าวเบา ๆ “เอาล่ะ ข้าจะไปกับพวกเจ้า”

แม้สีหน้ายังคงบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงมาก

“ฮ่า ๆ ๆ นึกว่าจะแน่กว่านี้เสียอีก สุดท้ายก็ยังต้องยอมจำนนต่อข้าผู้นี้ !”

เฝิงต้าเป่าไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงสีหน้ามั่นอกมั่นใจ เขาเชื่อว่าเฝิงเยี่ยหวั่นเกรงต่อคำข่มขู่ของตน

เฝิงเยี่ยไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความและเพียงเดินเข้าไปในกลุ่มคนตระกูลเฝิงอย่างเงียบ ๆ โดยประจำในตำแหน่งท้ายสุด

เขาได้ลองแผ่พลังวิญญาณออกไปอีกครา ทว่าก็ยังไม่พบร่องรอยของฉินอวี้โม่เช่นเดิม เขาจึงมั่นใจว่าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกร่วมมือกับนาง ด้วยความสามารถในการซ่อนตัวที่เหนือชั้นเช่นนี้ นางจะเข้าไปในจวนตระกูลเฝิงได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว

“ไปกันเถอะ ข้าอยากจะตามหาฉินอวี้โม่ให้พบโดยเร็วและดูว่านางจะมีฝีมือสักเพียงใด !”

เฝิงต้าเป่าไม่กวนใจเฝิงเยี่ยอีกต่อไปและโบกมือเบา ๆ ก่อนนำทางทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง…

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และมารยาก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์หลังนี้ติดตามเฝิงต้าเป่าและคณะไปเรื่อยๆ ในเวลานี้หานอวี้ก็กลับมาจากการสืบข่าวแล้วเช่นกัน

“ท่านแม่ เราจะเชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยได้หรือ ?”

หานอวี้สบตากับฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความไม่มั่นใจว่าเฝิงเยี่ยจะทำตามคำสัญญาหรือไม่ การที่เขายอมตกลงง่าย ๆ เพื่อร่วมมือกับฉินอวี้โม่ในการจัดการกับตระกูลเฝิงเช่นนี้อาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้

“เขาเป็นคนฉลาดและรู้จักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง อีกอย่าง…ไม่มีใครรู้จักตระกูลเฝิงดีไปกว่าเฝิงเยี่ย เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่กังวลสิ่งใด”

ฉินอวี้โม่ไม่กังวลแม้แต่น้อย เฝิงเยี่ยมิใช่คนเขลาเบาปัญญาและทราบว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือสิ่งใด ด้วยลักษณะนิสัยของทั้งเฝิงรุ่ยเฉิงและเฝิงต้าเป่า เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก มีเพียงการร่วมมือกับฉินอวี้โม่เท่านั้นที่จะทำให้เขามีประกายความหวังขึ้นมา…

“ข้าก็คิดว่าเฝิงเยี่ยเป็นบุรุษที่เชื่อถือได้ ในเมื่อตระกูลเฝิงและพวกของโจวเฉียนร่วมมือกันเพื่อจัดการกับนายหญิง เราก็ควรใช้โอกาสนี้ในการทำให้ทั้งสองฝ่ายเผชิญกับความเสียหายที่ร้ายแรง !”

มารยากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น นายหญิงของมันให้โอกาสทั้งสองตระกูลแล้ว ทว่าคนเหล่านั้นโง่เขลาเกินกว่าจะเห็นค่าของมัน เพราะเหตุนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปรานีอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลเฝิงที่ช่วยหนุนหลังจูโหย่วจ้วงและสั่งให้คนหมายหัวฉินอวี้โม่มาตลอด อีกทั้งพวกเขาก็ยังต้องการกำจัดนางในการคัดเลือกรอบที่สองนี้ให้ได้ เรียกได้ว่าการกระทำของพวกเขาเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง !

“ข้าก็วางแผนไว้เช่นนั้น เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าผู้นำตระกูลโจวรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่…”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าโจวปิ่งฮุยน่าจะไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ หากคิดจะจัดการกับนางจริง ผู้นำตระกูลโจวก็คงไม่แบกหน้ามาขอโทษนางด้วยตัวเองตั้งแต่แรก หากพิจารณาจากเรื่องนี้ นางก็คาดเดาได้ว่าโจวเฉียนและโจวหังรุ่ยน่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับโดยไม่บอกกล่าวให้โจวปิ่งฮุยได้ทราบ…

ฉินอวี้โม่และเหล่าอสูรภายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ติดตามเฝิงต้าเป่าไปตลอดทางและเวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เฝิงต้าเป่าและคนอื่น ๆ ก็รวมกลุ่มกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าพวกเขามีวิธีการพิเศษบางอย่างที่ช่วยให้ตามหากันได้

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ อีกทั้งผู้คนของตระกูลใหญ่ทั้งสามก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน