ตอนที่ 794 ฉื่อไท่หลางเผชิญปัญหา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในพริบตา เวลาในการแข่งขันคัดเลือกรอบที่สองก็เหลืออีกเพียงห้าวันเท่านั้น

ในช่วงที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวติดตามเฝิงต้าเป่าและคณะไปเรื่อย ๆ โดยไม่รีบร้อนที่จะลงมือทำสิ่งใด

เฝิงต้าเป่าก็ทั้งยโสโอหังและเผด็จการอย่างมาก บรรดาจอมยุทธ์ที่พบในระหว่างทางซึ่งไม่เต็มใจยอมจำนนต่อเขาต่างก็ถูกกำจัดและออกจากดินแดนลับไปทีละคน ๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ เฝิงเยี่ยก็วางตัวสงบเสงี่ยมและเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย ต่อให้เขาจะถูกสั่งให้จัดการกับจอมยุทธ์ที่บริสุทธิ์ที่พบในระหว่างทางเหล่านั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือแม้แต่น้อย

เดิมทีเฝิงต้าเป่าก็ยังสงสัยในตัวเฝิงเยี่ยอยู่บ้าง ทว่าเขาก็โล่งใจมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางนอบน้อมและไม่ขัดคำสั่งใด ๆ

“เฝิงเยี่ย ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นคนเลือดเย็นและโอหังเป็นปกติ เห็นทีคงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ !”

โจวหังรุ่ยกล่าวถากถางเฝิงเยี่ยตลอดทางทว่าถูกเมินเฉยอย่างไม่ไยดี

ในฐานะจอมยุทธ์ฝีมือดีของตระกูลโจว เฝิงเยี่ยทำให้เขาเผชิญกับความกดดันเป็นอย่างมากไม่ว่าจะด้านความแข็งแกร่งหรือชื่อเสียงเกียรติยศ โจงหังรุ่ยจึงไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นี้อย่างที่สุดและไม่มีทางพลาดโอกาสเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

เฝิงเยี่ยก็เมินเฉยต่อโจวหังรุ่ยราวกับเป็นเพียงอากาศธาตุและนั่นทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อแผนการที่สำคัญมากกว่าในอนาคต เขาจำต้องอดทนอดกลั้นเป็นการชั่วคราว เขาเชื่อว่าเฝิงต้าเป่าก็อดทนรอที่จะกำจัดเฝิงเยี่ยแทบไม่ไหวเช่นกันและหากโอกาสมาถึง ทั้งสองจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดกับเฝิงเยี่ยอย่างแน่นอน

“นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว เหตุใดเราจึงไม่ได้ข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับฉินอวี้โม่เลยล่ะ ?!”

หลังจากเข้ามาในบริเวณศูนย์กลางของดินแดนลับ เฝิงต้าเป่าก็มีท่าทีกังวลขึ้นเล็กน้อย ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พวกเขาพยายามสืบหาเบาะแสของฉินอวี้โม่อย่างไม่หยุดหย่อนทว่าไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ มา คนที่พวกเขาพานพบที่ผ่านมาก็ล้วนไม่เห็นเงาของฉินอวี้โม่เลยสักนิด และไม่เพียงเฉพาะนางเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็ไม่พบเบาะแสของอีกสามตระกูลใหญ่หรือคณะของฉื่อไท่หลางเช่นกัน

“คงจะได้พบกันในอีกไม่ช้า ตอนนี้เราก็เดินทางมาเกือบทั่วทั้งดินแดนลับแล้ว อีกไม่นานจะได้พบพวกนั้นแน่”

โจวหังรุ่ยกล่าวเพื่อมิให้เฝิงต้าเป่าเป็นกังวล แม้ไม่พบฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พวกเขาก็ได้ผลประโยชน์มามาก เรียกได้ว่าในเวลานี้ศิษย์ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวมารวมตัวแทบทั้งหมดแล้ว รวมถึงมีคนอีกจำนวนหนึ่งในระหว่างทางผ่านที่เลือกจำนนต่อพวกเขา เวลานี้คณะศิษย์ของพวกเขารวมกันเป็นจำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนและมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย เมื่อพบฉินอวี้โม่และสหาย พวกเขาจะสามารถดำเนินแผนการได้ในทันที

“ฉินอวี้โม่ แผนการของตระกูลเฝิงเงียบง่ายมาก พวกเขารู้ว่าเจ้าและอีกสามตระกูลมิใช่คู่ต่อสู้ที่จะกำจัดได้ง่าย ๆ พวกเขาจึงส่งคนเข้าไปแฝงตัวในกลุ่มของสามตระกูลนั้นเพื่อหาโอกาสจุดชนวนความขัดแย้งภายใน จากนั้นพวกเขาก็จะใช้โอสถพิเศษบางอย่างยับยั้งพลังมายาในร่างกายของพวกเจ้าและกำจัดพวกเจ้าเสีย สุดท้ายเมื่อการคัดเลือกสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะขึ้นกลายเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมือง”

การสื่อสารทางกระแสจิตระหว่างฉินอวี้โม่และเฝิงเยี่ยยังคงดำเนินต่อไป และตอนนี้เฝิงเยี่ยส่งกระแสจิตบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับแผนการโดยรวมของตระกูลเฝิง

เนื่องจากเฝิงรุ่ยเฉิงและเฝิงต้าเป่ากีดกันและระแวงเฝิงเยี่ยอย่างมาก ทั้งสองจึงไม่บอกแผนการใด ๆ และเพียงสั่งให้เขาร่วมมืออย่างเต็มที่ สิ่งที่เฝิงเยี่ยทราบมาเป็นการรวบรวมสิ่งที่ได้ยินมาเองเท่านั้นและไม่ทราบรายละเอียดแผนการที่แน่ชัด ทว่าอย่างน้อยที่สุด เขาก็มั่นใจว่าสำหรับการกำจัดฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในครานี้ ตระกูลเฝิงก็เตรียมความพร้อมมาอย่างรอบด้านจริง ๆ

“ยาพิษงั้นรึ…”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ที่ได้ยินเสียงสื่อสารทางกระแสจิตของเฝิงเยี่ย มารยาและหานอวี้เองก็ได้ยินมันเช่นกัน

“หึ ตระกูลเฝิงคิดที่จะใช้ยาพิษกับท่านแม่รึ ? เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ทราบว่าไม่มียาพิษใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายของท่านแม่ได้”

หานอวี้ยักไหล่ขณะกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนหน้านี้ในดินแดนระดับต่ำ มีศัตรูมากมายที่พยายามใช้ยาพิษทุกรูปแบบเพื่อกำจัดฉินอวี้โม่ น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นล้วนล้มเหลวอย่างไม่มีข้อยกเว้น ฉินอวี้โม่มีสภาวะร่างกายที่พิเศษและไม่จำเป็นต้องกังวลต่อยาพิษใด ต่อให้ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวใช้มัน มันก็จะไม่ส่งผลใดต่อนาง

“มันจะไม่ส่งผลอะไรต่อนายหญิงก็จริง ทว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับฉื่อไท่หลางและคนของอีกสามตระกูล แม้คนของทั้งสามตระกูลจะแข็งแกร่งพอสมควร พวกเขาก็ไม่อาจป้องกันจากยาพิษเช่นนี้ได้ หากพลาดท่าถูกเล่นงานจริงๆ เกรงว่าพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่แน่”

มารยาเป็นกังวลเล็กน้อย แผนการของตระกูลเฝิงไม่เพียงแต่เล็งเป้าหมายมาที่ฉินอวี้โม่เท่านั้นทว่ายังรวมถึงอีกสามตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน ครานี้ตระกูลเฝิงก็วางแผนที่จะยึดอำนาจและกลายเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองให้ได้

หากจอมยุทธ์ฝีมือดีของทั้งสามตระกูลถูกกำจัดไป แน่นอนว่าตระกูลเฝิงและตระกูลโจวจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

“นายหญิง เหตุใดเราไม่รีบลงมือสังหารคนพวกนั้นไปเสียตอนนี้เพื่อสะสางปัญหาทั้งหมดไปเสียเลยล่ะ ?”

เสี่ยวเฮยเกาศีรษะด้วยความสับสนเล็กน้อยขณะกล่าวถึงความคิดของตน

“เจ้าดำโง่เง่าเอ๋ย มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”

*ป้อก*

เสี่ยวเยี่ยเคาะศีรษะเสี่ยวเฮยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนพวกนั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน ต่อให้เราลงมือก็อาจจัดการกับพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเฝิงและตระกูลโจวเป็นสองตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี พวกเขาย่อมมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและจะต้องมีไพ่ตายที่คาดไม่ถึงมากมายอย่างแน่นอน หากเราบุ่มบ่ามทำอะไรสิ้นคิดลงไปในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะกำจัดพวกเขาไม่ได้เท่านั้น ทว่ามันอาจกลับกลายเป็นภัยร้ายที่สะท้อนกลับมาหาตัวเราเสียเอง”

เสี่ยวเยี่ยเป็นหนึ่งในอสูรที่อยู่กับฉินอวี้โม่มานานที่สุดเช่นกันซึ่งติดตามมาตั้งแต่ดินแดนหวนหลิงจนถึงดินแดนมหาเทพในตอนนี้ แน่นอนว่าทั้งสติปัญญาและความแข็งแกร่งของมันก็พัฒนากว่าก่อนมาก และสิ่งที่มันกล่าวมาคือสาเหตุที่ฉินอวี้โม่ไม่ตัดสินใจลงมืออย่างแท้จริง

“ใช่แล้วล่ะ เสี่ยวเฮย หลังจากติดตามนายหญิงมานานเช่นนี้ เจ้าก็ยังใจร้อนบุ่มบ่ามไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

อสูรอื่น ๆ ก็กล่าวหยอกเย้าเสี่ยวเฮยเช่นกันทว่าพวกมันก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก เสี่ยวเฮยเป็นอสูรที่ใจร้อนมาเสมอและไม่ชอบใช้หัวคิดนัก ทว่ามันก็ไม่ชอบการวางแผนชั่วร้ายหรือสมคบคิดใด ๆ แน่นอนว่าจะไม่มีทางพบแผนการกลยุทธ์ใด ๆ ในสมองของมันได้เลย

“เฮ้ มิใช่ว่าเป็นเพราะมีพวกเจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าจึงรักษาลักษณะนิสัยเช่นเดิมมาได้ตลอดรึ ?”

เสี่ยวเฮยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและรู้สึกมั่นใจในตัวฉินอวี้โม่และเหล่าสหายอสูร

อสูรอื่น ๆ ก็หัวเราะอย่างสุขใจและบรรยากาศในคฤหาสน์เฟิงหัวเวลานี้ร่าเริงครึกครื้นยิ่งนัก

“ติดตามพวกเขาไปก่อนเถอะ เมื่อได้พบกับฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ เราจะมองหาโอกาสลงมือในตอนนั้น ตอนนี้เรายังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและเฝิงเยี่ยก็อยู่กับคนพวกนั้น ต่อให้พวกเขาจะมีแผนการใด พวกเขาก็คงจะไม่ลงมือในเวลาสั้น ๆ นี้”

ฉินอวี้โม่ตัดสินใจในทันทีและการรักษาสถานการณ์ปัจจุบันให้คงที่ก่อนถือเป็นทางที่ดีที่สุด เฝิงเยี่ยตอบตกลงร่วมมือกับนางแล้วและติดตามไปกับคณะของเฝิงต้าเป่าอย่างแนบเนียนโดยที่พวกเขาไม่สงสัยสิ่งใด หลังจากได้พบเบาะแสของฉื่อไท่หลางและสหาย รวมถึงอีกสามตระกูล เมื่อใดที่เฝิงต้าเป่าเริ่มลงมือ ฉินอวี้โม่จะหาทางทำลายแผนการนั้นและป้องกันไม่ให้พวกเขาทำได้สำเร็จ นอกจากนี้ คนของทั้งสามตระกูลใหญ่ก็มิใช่คนโง่เขลา นางเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน

แผนการของตระกูลเฝิงและตระกูลโจวจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จได้ง่าย ๆ

“นายน้อยขอรับ มีเบาะแสของฉื่อไท่หลาง !”

ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากโลกภายนอก และมันมาจากคนตระกูลเฝิงที่ออกลาดตระเวนโดยรอบจนพบเบาะแสของฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ในที่สุด

หลังจากฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ เข้ามาในดินแดนลับ พวกเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับฉินอวี้โม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้พวกเขาก็เก็บตัวอาศัยอยู่ในบริเวณรอบนอกตามคำแนะนำของฉินอวี้โม่และไม่เดินหน้าลึกเข้าไปในดินแดนมากจนเกินไป

ฉื่อไท่หลางก็โชคดีและได้มีโอกาสรวมกลุ่มกับสหายคนอื่น ๆ ภายในเวลาไม่กี่วัน เว้นเพียงแต่ฉินอวี้โม่และจางเหิง ศิษย์ตระกูลฉื่อทั้งห้าคนก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว แม้เผชิญอุปสรรคพอสมควร พวกเขาทั้งหมดก็ฝ่าฟันไปได้อย่างราบรื่น และเมื่อเผชิญสิ่งใดที่รับมือไม่ได้ พวกเขาก็จะหาทางหลบหนีออกไปก่อนเพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเอง

“นายน้อยขอรับ ไม่ทราบเลยว่าตอนนี้ลูกพี่อวี้โม่และจางเหิงจะไปอยู่ที่ใด…”

ศิษย์ตระกูลฉื่อคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ในช่วงที่ผ่านมานี้ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เบาะแสหรือสัมผัสถึงร่องรอยของฉินอวี้โม่และจางเหิงในบริเวณใกล้เคียงแม้แต่น้อย คาดว่าทั้งสองน่าจะอยู่ไกลออกไปพอสมควร

“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ทว่าคงจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ กับลูกพี่อวี้โม่ ข้าเป็นห่วงก็แต่จางเหิง ข้าหวังว่าเขาจะโชคดีและได้พบคนจากสามตระกูลแทนที่จะเป็นพวกศัตรูของเรา”

ฉื่อไท่หลางมีสีหน้าจริงจังทว่ากล่าวตามความเป็นจริง ด้วยพลังและความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของจางเหิงมากกว่า การไม่พบเบาะแสของสหายเช่นนี้ทำให้เขากังวลใจไม่น้อย

กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของจางเหิงไม่มากเท่าตัวฉื่อไท่หลางในปัจจุบันและในดินแดนลับแห่งนี้ก็มีคนไม่น้อยที่จัดการเขาได้ หากเผชิญหน้ากับคนตระกูลเฝิง เขาจะเผชิญกับความโชคร้ายมากกว่าความโชคดีแน่ ทว่าหากได้พบคนจากอีกสามตระกูล สถานการณ์จะดีกว่ามากนัก ถึงอย่างไรคนเหล่านั้นก็ต้องเห็นแก่หน้าของฉินอวี้โม่และจะไม่ฉวยโอกาสนี้เปิดฉากโจมตีจางเหิงอย่างแน่นอน

“คงจะไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรจางเหิงก็มีป้ายหินวิญญาณอยู่กับตัว หากตกอยู่ในอันตราย เขาจะทำลายมันเพื่อเอาตัวรอดได้แน่ หากเขาออกไปจากการแข่งขัน เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาอีก”

หนึ่งในศิษย์ตระกูลฉื่อกล่าวด้วยความโล่งใจเล็กน้อย

พวกเขาหารือกันก่อนหน้านี้แล้วและทราบตรงกันว่าหากเผชิญปัญหาที่รับมือไม่ได้ พวกเขาจะทำลายป้ายหินวิญญาณโดยไม่ลังเล แม้จางเหิงจะไม่อยู่กับพวกเขา เชื่อว่าเขาจะทำตามแผนการที่วางกันไว้อย่างแน่นอน

“จิ๊จิ๊ ยังมีเวลาห่วงคนอื่นอีกรึ ? ข้าว่าพวกเจ้าห่วงเรื่องตัวเองจะดีกว่า”

น้ำเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งดังขึ้นและคนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากป่าทึบ

หัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจูโหย่วจ้วงผู้ที่มีปัญหาบาดหมางและเป็นอริกันมาตั้งแต่อำเภอซ่างหยวนนั่นเอง จอมยุทธ์มากกว่าสิบคนในฝ่ายของพวกเขาก็เข้าล้อมรอบทุกคนอย่างรวดเร็ว ฉื่อไท่หลางและสหายไม่เคยพบหน้าคนเหล่านี้มาก่อนทว่าพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าพวกตนทีเดียว คาดว่าพวกเขาน่าจะเป็นศิษย์ของตระกูลเฝิงแห่งเมืองเทียนหยวน

“จูโหย่วจ้วง”

ฉื่อไท่หลางผู้ซึ่งนั่งพักอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืนและจ้องตรงไปที่จูโหย่วจ้วงด้วยแววตาเย็นชา

“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าตามหาได้ง่ายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าและฉินอวี้โม่ทำให้ข้าต้องอับอายขายขี้หน้าในอำเภอซ่างหยวนและวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าตระหนักถึงชะตากรรมของผู้ที่ริอาจทำให้ข้าขุ่นเคืองใจ !”

จูโหย่วจ้วงกล่าวอย่างวางท่าและมั่นอกมั่นใจมาก เขาก็โชคดีมากที่ได้พบคนของตระกูลเฝิงหลายคนตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ที่เข้ามาในดินแดนลับ ด้วยคำสั่งจากเฝิงรุ่ยเฉิง แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะช่วยคุ้มกันและเชื่อฟังคำสั่งของเขาเป็นการชั่วคราว ในหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาก็พยายามตามหาฉื่อไท่หลางและพวกมาตลอดโดยที่ต้องการจะกำจัดคนเหล่านี้เพื่อชำระแค้นในอดีตให้ได้

และเป็นเมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล พวกเขาจึงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่และพบว่าเป็นกลุ่มของฉื่อไท่หลางจริง ๆ

เมื่อปราศจากฉินอวี้โม่ จูโหย่วจ้วงก็ไม่เกรงกลัวฉื่อไท่หลางและพวกแม้แต่น้อย เขาสั่งให้คนล้อมรอบอีกฝ่ายทันทีและคิดที่จะจัดการกับคนเหล่านี้โดยที่ไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระ

“จูโหย่วจ้วง เจ้ายังพูดจาใหญ่โตไม่เปลี่ยนแปลง ไม่กลัวหรือว่าแมลงวันจะบินเข้าปากเจ้า !”

ฉื่อไท่หลางไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้คนมากกว่าสิบคนที่จูโหย่วจ้วงพามาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ทว่าคนเหล่านี้ก็มิใช่ศิษย์สายตรงของตระกูลเฝิง หากต้องการกำจัดฉื่อไท่หลางและสหายให้พ้นทาง เกรงว่าคนเหล่านี้ยังไม่มีฝีมือมากพอ

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็ได้สยบอสูรมายาทรงพลังจำนวนมากให้กับพวกเขาซึ่งถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สำคัญ แม้เผชิญหน้ากับคนที่มากกว่า พวกเขาก็อาจจะไม่เสียเปรียบเสมอไป

“เหอะ ฉื่อไท่หลาง ตั้งแต่ได้เดินตามฉินอวี้โม่ต้อย ๆ และได้ฝึกฝนวิชาด้วยกัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร เพียงแค่นายน้อยจากตระกูลเล็ก ๆ ในอำเภอซ่างหยวน ช่างริอาจนักที่กล่าววาจาสามหาวกับข้าเช่นนี้ !”

ด้วยความช่วยเหลือจากตระกูลเฝิง จูโหย่วจ้วงก็มั่นอกมั่นใจขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาทราบถึงแผนการของตระกูลเฝิงเป็นอย่างดี หลังจากการคัดเลือกครานี้ ความอัปยศอดสูทั้งหมดที่เขาเคยเผชิญจะได้รับการชำระอย่างสาสม ! และเมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลจูของพวกเขาจะได้กลายเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลเดียวในอำเภอซ่างหยวน !