บทที่ 764 สั่งสอนศรีภรรยา + ตอนที่ 765 ใครหน้าไหนก็ไม่ควรก้มหัวให้ก่อน

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 764 สั่งสอนศรีภรรยา + ตอนที่ 765 ใครหน้าไหนก็ไม่ควรก้มหัวให้ก่อน โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 764 สั่งสอนศรีภรรยา

มื้อเย็นยังนับว่ามีความสามัคคีกันดี  ร้องไห้ก็สูญเสียพลังงานไปเยอะ ไหนจะมื้อเที่ยงก็ไม่ได้นั่งทานดีๆ เหมยเหมยหิวจนจะแย่ ทานผัดหมูสามชั้นเสฉวนติดต่อกันไปหลายชิ้น  ยัดเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม

จ้าวเสวียหลินมองอย่างขำขัน คีบเนื้อส่งให้เธออยู่หลายชิ้น “ค่อยๆกินสิ ระวังติดคอ!”

เหมยเหมยคาบเนื้อไว้ในปาก พลางเหลือบมองคุณปู่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างระแวง  จึงพูดออกมาเสียงเบา “ต่อไปนี้คงไม่ได้ลิ้มลองรสฝีมือของลุงหยวนแล้ว หนูต้องกินให้เยอะๆหน่อย”

สยงมู่มู่เองก็คีบเนื้อกินไปหลายชิ้น เคี้ยวตุ้ยๆคำโต “ผมเองก็ต้องกินให้เยอะหน่อย ลุงหยวน พรุ่งนี้พวกเราก็จะไม่ได้เจอกับลุงแล้ว พรุ่งนี้เช้าผมขอให้ลุงทำอาหารให้อีกได้ไหม?”

เชฟหยวนกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ฟังคำพูดพวกนี้สิ ช่างทำให้คนฟังปวดใจนัก !

“มู่มู่อยากกินอะไรล่ะ?” เชฟหยวนถามขึ้นพลางกลั้นขำไว้

สยงมู่มู่ดวงตาเป็นประกาย และรีบพูดขึ้น “ผมอยากกินขนมพายเนื้อ ข้าวต้มข้าวดำ เกี๊ยวเนื้อ เสี่ยวทังเปา แล้วก็…”

ยังไม่ทันที่เขาจะบอกสิ่งที่อยากกินจนเสร็จ ใบหน้าดำถมึงทึงราวกับก้นหม้อของคุณปู่จ้องเขม็งและกระแอมเสียงอย่างดัง สายตาพิฆาตดั่งคมมีดลอยส่งมา สยงมู่มู่สะดุ้งตกใจกลัวจนหัวหด จึงเปลี่ยนคำพูด ”ลุงหยวน แค่ซาลาเปา ปลาท่องโก๋ก็พอแล้วครับ ผมไม่เลือกกิน”

คุณปู่ทำหน้าขึงขัง กดอารมณ์โมโหเอาไว้ไม่กล้าระเบิดออก จำต้องทนทานข้าวต่อไปอย่างอึดอัด

แน่นอนว่าความอยากอาหารไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด อาหารอันโอชะที่ถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะใหญ่ถูกจัดการหมดไปจนราบเป็นหน้ากลอง โดยเฉพาะเหมยเหมย ที่ใช้พลังงานไปกับความโมโหและความเศร้าโศก จึงทานข้าวไปถึงสองชาม แน่นท้องจนจุกอยู่ตรงลำคอ

หลังทานข้าวเสร็จเหมยเหมยก็ไม่ได้ดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าเหมือนก่อน  แต่กลับเดินขึ้นบ้านไปด้วยท่าทีที่น่าสงสาร และไม่ลงมาอีกเลย ด้านจ้าวเสวียหลินและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าอยู่ในห้องรับแขกต่อ ทุกคนแยกย้ายราวกับนกป่า เพียงชั่วพริบตาห้องรับแขกก็กลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง

คุณปู่เกิดอาการจิตใจว้าวุ่นใจ และเบื่อที่จะต้องทนอยู่ในห้องรับแขกต่อไป จึงเรียกคุณย่าที่มีท่าทีไม่ต่างกันกลับห้องนอน เขาจำต้องคุยกับยายแก่นี่ให้รู้เรื่อง

คุณย่ายอมตอบตกลง  แต่สายตาคู่นี้กลับนิ่งเฉย ในช่วงวัยหนุ่มก็เป็นเช่นนี้ พอแก่มากขึ้นก็ยิ่งเลอะเลือน

“ต่อไปนี้ห้ามให้หวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกนั่นเข้าบ้าน ยินไหม?” คุณปู่พูดเสียงเข้ม ราวกับเป็นคำพูดที่กำลังออกคำสั่ง ในตอนนั้นคุณย่าเป็นลูกน้องใต้บัญชาของเขา  คุณปู่จึงยิ่งเคยชินกับการใช้น้ำเสียงเช่นนี้

คุณย่าไม่ค่อยยินดีนัก เชิดคอขึ้นและโต้แย้งกลับไปว่า  “มีสิทธิ์อะไร? คุณเองก็ไร้สาระกับพวกเด็กๆ ไปอีกคน  มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้พวกเขาเข้าบ้าน ?”

“อะไรคือไม่มีเหตุผล? ผมพูดกับคุณตั้งนานแล้ว อย่าไปสนิทสนมคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกัน  คุณก็ทำหูทวนลมอยู่เรื่อย จากที่ผมเห็นพวกเหมยเหมยก็ไม่ได้พูดผิดอะไร  ญาติพี่น้องที่สนิทหรือไม่สนิมก็แยกแยะไม่เป็น ปล่อยให้หลานในไส้ถูกคนนอกรังแก แล้วยังจะช่วยพูดแก้ตัวให้คนนอกอีก ไม่แปลกที่เหมยเหมยจะรู้สึกผิดหวังแบบนั้น!”

คุณปู่พูดแรง ไม่คิดจะไว้หน้าคุณย่าเลยสักนิด

คุณย่ารู้สึกน้อยใจ พูดแก้ตัวให้กับตัวเอง “ฉันเห็นแก่เจ้าใหญ่ต่างหาก ตอนนั้นที่เจ้าใหญ่จากไป บอกให้ฉันช่วยดูแลอวี้เหลียนแทนเขา ฉันรับปากเจ้าใหญ่ไว้แล้ว ทำไมฉันจะทำให้ไม่ได้!”

นึกย้อนกลับไปตอนที่ลูกชายคนโตล่วงลับนั้น จู่ ๆ คุณย่าก็น้ำตาไหลมาเป็นทาง ลูกชายคนโตเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกผิดมากที่สุด ตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยได้รับความสุขเลย ไม่ง่ายนักที่จะเลี้ยงให้โตมาได้ แม้แต่เป็นพ่อคนก็ยังทำได้ไม่ถึงไหนก็จากไปแล้ว เพียงแค่นึกถึงหัวใจของเธอก็เหมือนถูกมีดกรีดแทงเข้าไป

คุณปู่เองก็ไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไหร่ เพียงแต่เขานั้นมีสติมากกว่าหน่อย จึงพูดสั่งสอนไปว่า “ครอบครัวของเราเมตตาต่อหวงอวี้เหลียนมามากพอแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่ต้องรู้สึกผิดต่อเธอ ถ้าคุณยังอยากจะอยู่กับหลานสาวตัวน้อยอย่างสันติ ก็จำคำพูดของผมไว้ อยู่ให้ห่างหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกนั้นเสีย มิเช่นนั้นคุณอย่ามานึกเสียใจทีหลังแล้วกัน!”

คุณปู่พูดเสริมอีกครั้ง “คุณเองก็ลองคิดดูให้ดี หากว่าหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกนั่นดีจริง ทำไมเด็กๆ ในตระกูลเราทุกคนถึงไม่ชอบสองแม่ลูกนั่นล่ะ? หรือคุณคิดว่าพวกเด็ก ๆ แค่ก่อเรื่องวุ่นวายอย่างไร้เหตุผลงั้นเหรอ? คุณลองกลับไปคิดให้ดีๆ เถอะ!”

ท่าทีของคุณย่าดูผ่อนคลายลง เธอเม้มริมฝีปากแน่น  ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

……………………………………..

ตอนที่ 765 ใครหน้าไหนก็ไม่ควรก้มหัวให้ก่อน

 วันถัดมาแน่นอนว่าเหมยเหมยไม่ได้กลับไปเมืองจินจริงๆ เพราะถูกคุณปู่บังคับไว้ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าพูดถึงมันแม้แต่คำเดียว ถือว่าเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

เพียงแต่บรรยากาศภายในบ้านอึดอัดยิ่งกว่าเดิม  เหมยเหมยเองก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ดูสนิทสนมกับคุณย่า แต่ตอนนี้เธอดูเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ ทำตัวราวกับตัวเองเป็นแขก ซึ่งนั่นทำให้ในใจของคุณย่ารู้สึกไม่ดีนัก

แต่เธอก็ไม่อาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ เป็นเพราะยังจับผิดความเลวของเจ้าเด็กนี่ไม่เจอ ทั้งมีมารยาทและทำตัวเคารพนอบน้อมต่อเธอ แล้วจะให้เธอพูดอะไรได้อีก!

แต่เธอไม่ต้องการความเหินห่างและท่าทีที่ดูเกรงอกเกรงใจของหลานสาว !

เธอชื่นชอบให้หลานสาวเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ชอบออดอ้อน หยอกล้อ ดูสดใสร่างเริง และน่ารักน่าชัง แต่ตอนนี้กลับยิ่งทำให้คุณย่าอึดอัดกว่าเป็นไหนๆ  ใจก็นึกอยากพูดคุยกับหลานสาวบ้าง แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายก้มหัวให้ก่อน ตอนนี้เธออึดอัดใจจะตายอยู่แล้ว

เหมยเหมยเองก็ไม่ยอมก้มหัวให้ก่อนเช่นกัน สงครามครั้งนี้ต้องสู้จนเห็นผลลัพธ์เสียก่อน  ไม่เช่นนั้นเธอเองคงเสียเวลาอาละวาดไปโดยเปล่าประโยชน์!

ช่วงเช้าเชฟหยวนทำเกี๊ยวเนื้อและขนมพายเนื้อให้เขาจริงๆ แถมยังมีโจ๊กข้าวดำด้วย  สยงมู่มู่ดีใจยิ้มแป้น  รีบยัดมื้อเช้าลงไป อาการป่วยก็ทุเลาลงไปมาก แลดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวามากขึ้น

คุณปู่ชอบใจโทรทัศน์จอสีนี้มาก จอภาพคมชัด สีสดเสมือนจริง น่าดูเสียยิ่งกว่าโทรทัศน์จอขาวดำมาก แม้แต่ชมข่าวผ่านเครือข่ายกระจายเสียงยังได้อรรถรสยิ่งกว่า

“เหมยเหมยชื้อโทรทัศน์จอสีมาจากไหนรึ? ทำไมได้ของมารวดเร็วขนาดนี้?” คุณปู่ยิ้มจนตาหยีพลางถามขึ้น

สยงมู่มู่แย่งพูด “เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนซื้อ เหยียนหมิงซุ่นทำกิจการร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน คนอื่นไม่มีของ แต่ที่ร้านเขาต้องมีของอยู่แล้ว”

คุณปู่พลันรู้สึกสนใจเขาขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะเปิดกิจการด้วยตัวเอง ท่าจะเก่งเกินเด็กไปแล้ว

“ข้าจำได้ว่ามันอยากเป็นทหารไม่ใช่รึ? ทำไมถึงหันมาทำธุรกิจเสียได้ล่ะ?”

เหมยเหมยอธิบาย “พี่หมิงซุ่นเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เพราะคุณยายของเขาต้องกินยาทุกวัน และจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ตอนนี้ธุรกิจต่างๆ ของเขามีคุณลุงเป็นคนดูแลจัดการให้ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้พี่หมิงซุ่นก็จะไปเป็นทหารแล้วค่ะ”

คุณปู่พึงพอใจอยู่ไม่น้อย เจ้าเด็กนี่ถือว่าไม่เลวจริงๆ เป็นทหารนั้นลำบากกว่าทำธุรกิจมาก แต่เขายังคงไม่ลืมปณิธานแรกที่มี ช่างเป็นเด็กดีนัก

“คุณปู่ อีกสักพักหนูจะออกไปหาพี่หมิงซุ่น ช่วงบ่ายไม่กลับมาทานข้าวที่บ้านนะคะ” เหมยเหมยขออนุญาต

คุณปู่กระตุกคิ้ว ในหัวสมองพลางนึกขึ้นอย่างสงสัย เหยียนหมิงซุ่นอยู่ที่เมืองจินไม่ใช่หรือ?

“พี่หมิงซุ่นเอาโทรทัศน์จอสีมาส่งให้ด้วยตัวเอง เขาเลยแวะมาเที่ยวด้วย พักอยู่ที่เกสต์เฮ้าส์ หนูจะต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเสียหน่อย” เหมยเหมยอธิบาย

จ้าวเสวียหลินขมวดคิ้วแน่น เจ้าเด็กบ้านี่ตามติดแจไม่ปล่อยเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะตามมาจนถึงเมืองหลวงได้

คุณปู่ให้ความสนใจต่อเหยียนหมิงซุ่นเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินว่าเขาเอาโทรทัศน์จอสีมาส่งด้วยตัวเอง ในใจก็ยิ่งปลื้มปริ่ม ยิ้มพลางพูดขึ้น “ทำไมเหมยเหมยไม่เรียกให้เขามานั่งเล่นที่บ้านล่ะ?”

“พี่หมิงซุ่นบอกว่าแบบนั้นดูไม่มีมารยาท บอกให้หนูมาขอความคิดเห็นจากคุณปู่และคุณย่าก่อน ถ้าพวกคุณยินยอม เขาถึงจะกล้าเข้ามาเยี่ยมค่ะ”

คุณปู่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา  ยิ่งพอใจในตัวเหยียนหมิงซุ่นมากขึ้นไปอีก จากนั้นเกริ่นว่า “เหมยเหมยไปบอกเขาด้วยนะ เย็นนี้ให้เขามาทานข้าวที่บ้านเรา ปู่ต้องแสดงความขอบคุณต่อหน้าเขาเสียหน่อย เอ่อใช่ แล้วโทรทัศน์สีเครื่องนี้หลานให้เงินเขาไปหรือยัง?”

“ให้แล้วค่ะ คุณปู่วางใจเถอะ!”

เหมยเหมยกินโจ๊กชามสุดท้ายเสร็จ จึงใช้ตะเกียบคีบขนมพายเนื้อไม่กี่ชิ้น รวมทั้งเกี๊ยวเนื้อใส่ไว้ในถุงและออกจากบ้านไป เธอหันมาโบกมือให้กับคุณปู่ “คุณปู่ไปก่อนนะคะ”

น้ำเสียงของเธอไพเราะราวกับเสียงนกกระจาบ คุณปู่ได้ฟังแล้วดูผ่อนคลายและปล่อยวาง แต่คุณย่ากลับหน้าตาบูดบึ้งด้วยความโกรธ

ยัยเด็กใจร้ายจะพูดร่ำลากับเธอสักคำก็ไม่มี!

คำพูดเมื่อคืนวานของคุณปู่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของเธอ คุณย่านอนขบคิดมาชั่วข้ามคืนกัดฟันแน่น เธอตัดสินใจว่าหลังจากทานข้าวเสร็จจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย

………………………………………………..