บทที่ 177 ความเชื่อใจ
ในหมู่สมบัติศักดิ์สิทธิ์นิกายแห่งพระแม่ ชิ้นที่ซูเฉินไม่อาจเข้าใจได้ทันทีคือแมลงในอำพัน
หลังดูบันทึกเผ่าปักษาทั้งหมดแล้ว ซูเฉินก็เข้าใจสักที
แมลงวิบัติ !
เห็นได้ชัดว่าแมลงตัวนี้เป็นแมลงที่น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ มีพลังสูงขึ้นทวีคูณและงอกร่างใหม่ได้ไร้จำกัด มีกรงเล็บและเขี้ยวแหลมคม หิวตลอดเวลา หากมากันเป็นฝูงปิดฟ้าจนมืด บินผ่านไปที่ใดก็สามารถทำลายสิ้น
แกร่งมากเข้าก็สู้เทพอสูรบรรพกาลได้เลย
แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเริ่มไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกแมลงจึงถูกกดดันเฉกเช่นเดียวกับเทพอสูรบรรพกาล
แต่แทนจะเลือกจำศีลเช่นเทพอสูรบรรพกาล มันกลับเลือกที่จะถดถอยวิวัฒนาการของมันเพื่อปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้
แต่แมลงวิบัตินั้นเป็นพวกรวมฝูง พึ่งพาจำนวน ไม่คิดใช้แรงตนตัวเดียวเพื่ออยู่รอด
สำหรับพวกมัน สิ่งแวดล้อมที่เสื่อมลงไม่ได้หมายถึงความตาย ก็แค่ต้องปรับตัวนิดหน่อย พลังลดลง เอาจำนวนเข้าสู้ก็ได้แล้ว
ดังนั้นแมลงวิบัติจึงถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องมาตลอดประวัติศาสตร์ แม้พลังต้นกำเนิดจะลดน้อยลง แต่พวกมันก็ยังทำอะไรตามใจชอบได้อยู่
สิ่งที่จำกัดพลังมันไม่ใช่สิ่งแวดล้อม แต่เป็นความหิวกระหายไม่หยุดหย่อนต่างหาก
ตอนนี้แมลงวิบัติส่วนมากหิวตายกันไปหมด เหลือเพียงไม่กี่ตัว แต่หากมีอาหารพอก็กลับคืนสู่จุดแกร่งสุดได้ไม่ยาก
ความล่มจมของพวกมันส่งผลมาจากอาณาจักรอาร์คาน่า
พวกเขาได้ขึ้นสู่อำนาจยามแมลงวิบัติอ่อนแอถึงที่สุด ฉวยจังหวะสังหารพวกมันจำนวนมาก นับแต่นั้นมา จำนวนพวกแมลงก็ถูกจับตาดูอยู่ตลอด หากมากเกินคุม ชาวอาร์คาน่าก็จะเข้ามาตัดจำนวน ทำให้อย่างไรก็ยังอยู่ในการควบคุมได้
บางทีอาจเป็นความสำเร็จนี้ที่ทำให้อาณาจักรอาร์คาน่ารู้สึกผยองจนกล้าท้าทายเทพอสูรบรรพกาล สุดท้ายก็นำมาซึ่งความล่มจมทั้งอาณาจักร
แมลงวิบัติเดิมทีถูกอัดรวมกันอยู่ในพื้นที่จำกัด เหลือเพียงไม่กี่ตัว ซูเฉินไม่คิดว่านิกายแห่งพระแม่จะถือครองตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้อยู่
จากบันทึกเผ่าปักษา แมลงนี้ถูกส่งต่อมาจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ นักบวชแห่งนิกายคนหนึ่งพบโดยบังเอิญ จึงเก็บไว้อย่างดีและส่งกลับคืนเผ่าปักษา
นักบวชผู้นั้นเดิมคิดว่าแมลงอาจกลายเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเผ่าปักษาได้
หากเผ่าปักษาวันหนึ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากลัว ในทางทฤษฎีแล้วก็ควรจะสามารถชุบชีวิตแมลงและใช้พวกมันเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ แต่เพราะไม่อาจคุมมันได้ ปล่อยมันออกไปก็เท่ากับปล่อยปีศาจออกสู่โลกภายนอก นับเป็นหนทางสุดท้าย อย่าใช้โดยง่ายจะดีกว่า
แต่หลังจับสถานการณ์ได้ ซูเฉินก็เริ่มตื่นเต้น
เผ่าปักษาคุมไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าซูเฉินจะคุมไม่ได้
เพราะเรื่องนี้ซูเฉินก็เชี่ยวชาญที่สุดอยู่แล้ว
แม้งานวิจัยหลักซูเฉินจะยังเป็นวิชาไร้สายเลือด แต่ก็ยังเป็นวิชาที่แปรเปลี่ยนในระดับชีวภาพ ส่งผลให้ซูเฉินเข้าใจการพัฒนาหรือปรับปรุงสิ่งมีชีวิตผ่านงานวิจัยทั้งหลาย
งานวิจัยด้านอื่น เช่น ค่ายกล ยันต์พลัง และเครื่องมือ หุ่นเชิดต่าง ๆ เองก็น่าสนใจเช่นกัน แต่เขามีความเข้าใจเรื่องสิ่งมีชีวิตสูงที่สุด กระทั่งการปรุงยาแปลงธาตุทั้งหลายเขาก็ได้มาจากพื้นฐานเรื่องนี้
อย่างไรหากเป็นด้านสิ่งมีชีวิต เขาก็นับว่าเชี่ยวชาญ ทำให้งานง่ายขึ้นมาก
แน่นอนว่าการแปลงชีพนั้นมีหลากหลายแขนง ซูเฉินนั้นมุ่งศึกษาเรื่องระบบการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ เรื่องร่างกายแมลงจึงไม่รู้มากเท่าไหร่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้มาจากการแอบเข้าหอคอยแห่งความโกลาหล ทำให้ซูเฉินหาทางคุมปรสิตตะกละได้แล้ว
ครั้งก่อนปรสิตตะกละหิวตายไปเพราะถูกกักขัง แต่ประสบการณ์และวิชาที่ซูเฉินสั่งสมมาระหว่างเลี้ยงดูพวกมันยังอยู่
ดังนั้นซูเฉินจึงนับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับศาสตร์แขนงนี้อยู่บ้าง
หากดำเนินตามทางต่อ ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาวิชาคุมแมลงที่สามารถใช้กันทั่วไปขึ้นมาได้
นอกจากแมลงวิบัติแล้ว หอตำราเผ่าปักษายังมีข้อมูลเรื่องดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตอยู่มากมาย
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินรู้เพียงว่าดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตเป็นของสำคัญในการควบคุมเมืองล่องนภา แต่ไม่รู้รายละเอียด หลังค้นบันทึกอ่านดู ไม่นานก็รู้ว่าทำไมเผ่าปักษาถึงกระหายอยากได้ของสองสิ่งนี้มานานนม
พวกมันล้ำค่าต่อปักษาอย่างหาที่เปรียบมิได้
ไม่ว่าสมบัติใด หายากเพียงไหน ก็เสี่ยงจะถูกชิงเอาไปทั้งสิ้น โดยเฉพาะกรณีสมบัติทั้ง 2 ของนิกายแห่งพระแม่ พวกเขาซ่อนเอาไว้อย่างดี แต่หากสังเกตหน่อยก็ยังไม่รอดพ้นสายตา
เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะว่าสมบัติถูกซ่อนไว้อย่างไรล่ะ
หากซ่อนของไว้แล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีปราการป้องกันแกร่งอยู่จริง ทั้งยังเหมือนกวักมือเรียกให้มาหาด้วยซ้ำ มีทหารกลุ่มใหญ่เฝ้ารักษาอยู่ทุกเวลานับว่าเสียเปล่าโดยแท้
แต่หากมันถูกนำมาใช้อยู่เรื่อย ๆ ก็จะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
คนที่คุ้มกันสมบัติจะตื่นตัวอยู่ตลอด และเพราะของล้ำค่ามาก จึงมักจะแบ่งกะคนเฝ้าให้มีคนดูอยู่ทั้งวัน
สมบัติส่วนใหญ่ที่ซูเฉินชิงมาล้วนอยู่ในสภาพถูกซ่อนและเก็บเอาไว้ นี่ล่ะคือจุดที่ทำให้เขาชิงมันได้สำเร็จ
ดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตถูกนำออกมาใช้ตลอด สองเผ่าที่ครองพวกมันอยู่เจริญรุดหน้าขึ้นก็เพราะพวกมัน อาจสำคัญเท่ากับอารามพลังต้นกำเนิดของคนเถื่อนก็ว่าได้
จะชิงของเช่นนี้ ซูเฉินย่อมทำลับ ๆ ไม่ได้ มีแต่ต้องแย่งเอามาโดยเปิดเผยเท่านั้น
แต่ความยากลำบากในการยึดสมบัติล้ำค่าทั้งสองจากสองเผ่านั้นแตกต่างกันลิบลับ
ไม่แปลกที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะตั้งความหวังไว้กับซูเฉิน
คนเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้คงมีเพียงซูเฉินเท่านั้น
หลังอ่านไปได้พอสมควร ซูเฉินก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เปิดใช้สมองผลึกแก้วของตนจนขีดสุด
หากใช้เวลาทั้งกลางวันแล้ว สมองคำนวณได้มากเช่นนี้ยังหาแผนไม่ได้ก็คงนับว่าไร้ประโยชน์แล้ว
ไม่นานซูเฉินปะติดปะต่อแผนคร่าว ๆ ออกมา
เย็นวันนั้น ซูเฉินก็มาปรากฏตัวต่อหน้าหยงเยี่ยหลิวกวงอีกครั้ง
หยงเยี่ยหลิวกวงตกตะลึงยามจ้องมองแผนของซูเฉิน “นี่น่ะหรือแผนของเจ้า ? หลอกข้าเล่นหรือ ?”
“ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ นี่คือแผนที่ได้มาหลังจากข้าครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนแล้ว” ซูเฉินตอบตามตรง
หยงเยี่ยหลิวกวงใคร่ครวญข้อเสนออย่างถี่ถ้วน
ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “แผนน่าขำ งี่เง่า ไร้เหตุผลนัก… แต่ขอยอมรับว่าหลังจากความล้มเหลวนับไม่ถ้วนของเผ่าปักษาแล้วดูเหมือนแผนนี้จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ ซูเฉิน เจ้าบอกข้าสิ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะทำได้ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ในตอนนี้ข้าประเมินดูแล้ว มีโอกาสสำเร็จเพียงหนึ่งในร้อย”
“หนึ่งในร้อยหรือ ?” หยงเยี่ยหลิวกวงไม่โกรธเกรี้ยว แต่กลับพยักหน้า “ก็ดีมากแล้ว มีหวังขึ้นอีกสักนิดย่อมดีกว่าสิ้นหวัง อีกทั้งหนึ่งส่วนนั่นยังแค่ในตอนนี้กระมัง ? ต่อไปคงเพิ่มโอกาสได้อีก”
ซูเฉินพยักหน้า “เริ่มต้นมักยากที่สุดเสมอ แต่หากค่อย ๆ ย่างก้าวไป สุดท้ายก็จะสำเร็จแน่ ตอนนี้โอกาสสำเร็จต่ำ ไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะต่ำอยู่ตลอด ที่ข้ากังวลคือความอดทนของท่าน ข้าเก่งกล้าแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้สำเร็จทันได้หรอก”
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “ข้าเข้าใจหลักการดี ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ รีบไปมีแต่จะเสีย ข้าเต็มใจให้เวลาเจ้า แต่เจ้าก็ต้องมีเหตุผลให้ข้าเชื่อด้วย เจ้ามีอะไรทำให้ข้าเชื่อว่าเจ้าตั้งใจจะช่วยข้าหาสมบัติทั้งสองชิ้นมาจริง ๆ ไม่ได้เป็นแค่ลมปาก ? แค่เพราะจูเซียนเหยาหรือ ? เท่านั้นไม่พอหรอก !”
มันไม่พอจริง ๆ
ตามทฤษฎีแล้ว ซูเฉินมีวิธีจัดการเรื่องจูเซียนเหยาที่ง่ายกว่านี้อยู่ เขาเลื่อนภารกิจออกไปอย่างไร้กำหนดเลยก็ยังได้ หากไม่ต่อต้านเผ่าปักษาอย่างเปิดเผยหรือทิ้งภารกิจไป จูเซียนเหยาก็ไม่ตาย ก็แค่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับกู่ชิงลั่ว ถูกกักตัวอยู่ในแดนปักษา แต่มั่นใจได้ว่าไม่ตาย ไม่แน่ว่าซูเฉินยังมาเยี่ยมได้เป็นระยะด้วยซ้ำ
และเมื่อจูเซียนเหยาแก่ตายไป เรื่องทั้งหมดก็จบได้ไม่ยากเย็น
ซูเฉินจัดการกับคำขอที่สามของหยงเยี่ยหลิวกวงได้ง่ายเช่นนี้
ดังนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงจึงรอได้ แต่จะรอไปตลอดย่อมไม่ได้
เขาอยากให้ซูเฉินแสดงความจริงใจสักหน่อย
ซูเฉินตอบ “ก็ง่าย ๆ หากข้าสำเร็จ ท่านต้องมอบพิมพ์เขียวแกนพลังงานแห่งซาร์คให้ข้า”
หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินแล้วถึงกับใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
จริง ๆ แล้วเผ่าปักษานั้นมีพิมพ์เขียวของแกนพลังงานแห่งซาร์ค แต่เพราะสร้างขึ้นมายาก ทั้งของที่ใช้ยังหายากหาเย็น แม้จะมีพิมพ์เขียว แต่จะสร้างใหม่ให้เสร็จคงได้แต่ฝัน ได้แต่สร้างแบบย่อขึ้นมาแทน ตอนนี้จุดลอยเกือบทั้งหมดก็ได้พลังงานมาจากแกนพลังงานแห่งซาร์คจิ๋วเหล่านี้อีกที
“เจ้าอยากได้พิมพ์เขียวแกนพลังงานแห่งซาร์คหรือ ? จะสร้างเมืองล่องนภาขึ้นมาอีกหรือไง ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “เผ่าปักษายังทำไม่ได้ ข้าจะทำได้หรือ ? แต่ถึงสร้างเมืองล่องนภาไม่ได้ ก็สร้างจุดลอยได้ ช่วยให้เมืองล่องนภาเคลื่อนได้อีกครั้ง ซึ่งก็มอบประโยชน์ไร้ขีดจำกัดให้มนุษย์เช่นกัน นับว่าได้ประโยชน์ทั้งคู่ สมควรเป็นหลักฐานความจริงใจของข้าได้แล้ว”
หยงเยี่ยหลิวกวงครุ่นคิดเล็กน้อย “ปักษาเช่นข้าย่อมเสียเปรียบในแง่นั้น หากยอมรับ มนุษย์ก็จะแกร่งขึ้นมาก”
“เป็นเพียงของที่ไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว ใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนเป็นความแกร่งได้ อีกทั้งทางเดียวที่จะมั่นใจในความจริงใจของข้าก็มีแต่ทางนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะร่วมมือกันในฐานะอะไรกัน ?” ซูเฉินโต้ “พิมพ์เขียวแกนพลังงานแห่งซาร์คอยู่ในกำมือพวกท่านมาหมื่น ๆ ปีโดยไร้ประโยชน์ใด อยู่ในมือมนุษย์ก็อาจไม่ต่าง”
“หากอยู่ในมือเจ้าก็พูดยาก” หยงเยี่ยหลิวกวงตอกกลับ หากเป็นเรื่องกลการเมือง หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่แพ้ซูเฉินสักนิด แท้จริงแล้วอาจเหนือกว่าเล็กน้อยเสียด้วย
แต่ในเรื่องงานวิจัย เขายังรั้งท้ายอยู่มาก
“ข้าเชี่ยวชาญเพียงด้านการปรับแต่งสิ่งมีชีวิต งานวิจัยเรื่องหุ่นเชิดเครื่องกลไม่ใช่งานวิจัยหลัก” ซูเฉินตอบ
แต่ในใจ เขาแอบเสริมให้ว่า แต่มันเป็นงานวิจัยที่น่าสนใจของมนุษย์ทั้งเผ่าต่างหาก
เผ่าปักษาไม่อาจสร้างเมืองล่องนภาอันงามสง่าขึ้นซ้ำสอง ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทำไม่ได้นี่
ในด้านความสร้างสรรค์ อย่างไรมนุษย์ก็เก่งกว่าปักษาอยู่แล้ว !