ภาคที่ 5 บทที่ 176 เปิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 176 เปิด

เหตุใดต้องเป็นข้า ?

ช่างเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก

เหตุการณ์แบบนี้เคยมีเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น ยามที่กองกำลังของศัตรูได้บุกลึกเข้ามาถึงประตูเมืองหลวงแล้ว จักรพรรดิขอให้เหล่าพ่อค้าและชนชั้นสูงผู้มั่งคั่งทั้งหลาย ยอมมอบทรัพยากรแทบทุกอย่างและกำลังคนแทบทั้งหมดของพวกเขาออกมาเพื่อช่วยปกป้องเมืองหลวง แม้จะเป็นช่วงที่กำลังเผชิญสถานการณ์เลวร้าย แต่การตอบรับคำเรียกร้องเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยินยอม

บรรดาพ่อค้าและชนชั้นสูงผู้มั่งคั่งทั้งหลาย พวกเขาตาบอดและโง่เขลาจนไม่รู้ถึงผลที่ตามมาหากศัตรูรุกรานได้สำเร็จเลยหรือ ?

แน่นอนว่าไม่

ด้วยหลากหลายสาเหตุ อาทิ เพียงเพราะประเทศกำลังจะล่มสลายไม่ได้หมายความว่าตระกูลของพวกจะต้องล่มจมตามไปด้วย หลังจากยอมจำนนแล้วแค่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับอีกฝ่ายเสียหน่อย พวกเขาก็คงสามารถอยู่รอดได้ไม่ยาก หรือไม่ พวกเขาอาจคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยอะไรมากมาย เพราะยังไงทางอาณาจักรก็ย่อมสามารถต้านทานการบุกรุกได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว และอีกเหตุผลที่สำคัญมากก็หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า ‘เหตุใดต้องเป็นข้า ?’

เหตุใดตระกูลของข้าต้องจ่ายหมื่น ในขณะที่ตระกูลของมันจ่ายเพียงสามพัน ? เหตุใดพวกมันไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ข้าต้องเสียสละ ? หากข้าให้ความช่วยเหลือพวกมันก็ควรต้องทำเช่นกัน แต่ถ้าเราต้องจบสิ้นล่ะ ? พวกเราก็ควรจะล่มสลายไปพร้อม ๆ กันสิ ข้าจะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจของตระกูลอื่น ทว่าข้าก็ไม่ยินยอมที่จะให้พวกมันสูญเสียน้อยกว่าข้า ถ้าเราจะต้องล่มจม เช่นนั้นทุกคนก็ควรจะกอดคอตายไปด้วยกัน !

วิธีการคิดเช่นนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยามนุษย์

หยงเยี่ยหลิวกวงรับรู้ถึงภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ ที่ซูเฉินจะสร้างขึ้นหากอีกฝ่ายยังคงมีชีวิตอยู่

แต่ทำไมเขาจะต้องเป็นผู้เสียสละยอมสูญเสียเพื่อเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่นที่เหลือด้วย ?

ไม่ หากเผ่าปักษาถูกกำจัด เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ ก็ไม่ควรรอดเช่นกัน

หยงเยี่ยหลิวกวงก็มีด้านธรรมดาเช่นคนทั่วไป วิธีคิดแบบนี้ก็มีผลกับเขาไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม หยงเยี่ยหลิวกวงปฏิเสธที่จะละทิ้งความหวัง

เขาไม่อยากตาย และเขาก็ไม่ได้อยากให้เผ่าปักษาถูกกำจัดด้วย

ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธี

เพิ่มจำนวนเงื่อนไข

ไม่ใช่ว่าซูเฉินเก่ง ? ไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถน่าทึ่งมากหรอกหรือ ?

ถ้าเช่นนั้น ก็ไปเอาวิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสินมาให้ข้าซะสิ

ด้วยของ 2 ชิ้นนี้เมืองล่องนภาก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง และเมื่อเมืองล่องนภาสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แผนจุดลอยจะยังมีประโยชน์อะไรอยู่อีก ?

แม้ข้าจะไม่สามารถหยุดเผ่ามนุษย์จากการพัฒนาได้ แต่ก็ยังสามารถพัฒนาเผ่าปักษาบ้างได้

ในอนาคต เมื่อมนุษย์แข็งแกร่งขึ้น เผ่าปักษาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ส่วนเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ จะรอดหรือไม่ มันก็ไม่ได้สำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าเผ่าที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้ง 6 จะต้องเผชิญอาจเป็นพวกเขาทั้ง 2 ก็เป็นได้

อืม นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหยงเยี่ยหลิวกวงจึงใส่เงื่อนไขสุดท้ายที่ดูไม่สมเหตุสมผลนี้เพิ่มมา

ทำเอาซูเฉินถึงกับพูดไม่ออก

“ฝ่าบาท ท่านไม่ได้ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นข้าทาส แต่ปฏิบัติต่อข้าราวกับทูตสวรรค์ !” ซูเฉินกล่าวอย่างจริงจัง

หยงเยี่ยหลิวกวงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในขณะที่เขาตอบว่า “พระเจ้าผู้สูงส่งไม่เคยตอบรับความปรารถนาของเรา แต่เจ้าทำได้ เจ้าไม่ใช่พระเจ้า ทว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่มีความสามารถ เป็นนักปราชญ์ !”

“มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะฉลาดแค่ไหน เผ่าปักษาย่อมต้องเคยวางแผนที่จะเอาของสองสิ่งนี้กลับคืนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจริงหรือไม่ ? แต่แผนใดบ้างที่สำเร็จ ?”

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องการเจ้า !” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับอย่างไม่ลังเล “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”

“แล้วถ้าข้าทำไม่ได้เล่า ?”

“งั้นพวกเราก็ตายไปด้วยกัน”

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงต้องการที่จะไร้เหตุผล เขาก็ไร้เหตุผลอย่างหน้าไม่อายเลย

ซูเฉินหัวเราะด้วยความโกรธ “ดีจริง ๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดการรุกรานที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อย่างไร แต่ท่านกลับเชื่อใจข้ามากพอที่จะฝากความหวังของเผ่าปักษาเอาไว้เชียวหรือ ? ท่านคงจะประเมินข้าเอาไว้สูงมากทีเดียว”

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ว่าข้าประเมินเจ้าไว้สูง แต่สิ่งที่เจ้าทำมา ความสำเร็จเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นไม่อาจดูแคลนเจ้าได้ ตอนนี้ทั้งคนเถื่อนทั้งมนุษย์นกก็โดนเจ้าจัดการไปแล้ว เหตุใดไม่ลองกำหนดเป้าหมายต่อไปเป็นชาวสมุทรหรือราตรีชนดูล่ะ ? จัดการเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้ทั้งหมด นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียวเชียวนะ เจ้าว่าไหม”

ข้าขอปฏิเสธความสำเร็จนี้ได้หรือไม่ ?

แต่เมื่อซูเฉินเห็นการแสดงออกของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่ามันไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาแล้ว

นับตั้งแต่ที่หยงเยี่ยหลิวกวงรู้ถึงระดับการฝึกฝนจริง ๆ ของซูเฉิน ชายหนุ่มก็มีทางเลือกที่สามารถทำได้อยู่เพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น

“ดูเหมือนว่าข้าคงจะทำได้เพียงตกลงเท่านั้นสินะ”

“แบบนั้นน่ะดีที่สุดแล้ว” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “แน่นอนว่าตราบใดที่คุณชายซูต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็ยินดีที่จะช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ท่านกำลังจะกล่าวว่าตราบใดที่ข้าต้องการ ท่านก็ยินดีที่จะเปิดคลังของอาณาจักรให้ข้า ?”

“……”

คราวนี้เป็นตาของหยงเยี่ยหลิวกวงที่ต้องตะลึงจนพูดไม่ออก

——

ภายในโถงพักฟื้นของวังแสงตะวันชั่วกาล

จูเซียนเหยาอยู่ที่นี่

หลังจากได้เผชิญกับประสบการณ์ที่คุกคามถึงชีวิตมาแล้ว จิตใจของจูเซียนเหยาก็ดูเหมือนจะยืดหยุ่นและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

นางเอนตัวอยู่ในอ้อมกอดของซูเฉินขณะที่พูดอย่างสงบ “งั้นเจ้าก็ยอมตกลงตามเงื่อนไขทั้งหมดของเขาแล้วหรือ ?”

“ข้าไม่มีทางเลือก การแลกเปลี่ยนครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ” ซูเฉินตอบพร้อมกับถอนหายใจ

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าข้าโชคดีมากแค่ไหน เมื่อตอนที่อยู่ในอาณาเขตของคนเถื่อน… เพราะผู้ปกครองของพวกนั้นเป็นคนโง่ ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากจริง ๆ ข้าคิดว่าแค่วิชาภูติลั่นแสงกับไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดที่มี ก็มากพอให้ข้าทำอะไรได้ตามที่พอใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าข้ากลับคิดผิด”

จูเซียนเหยากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “มันเป็นความผิดของข้าเองที่ถ่วงเจ้า”

“ถ้าเจ้ายังพูดเช่นนั้น ข้าจะไม่มีความสุข” ซูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า มันเป็นความผิดของข้าที่ดึงเจ้ามาพัวพันไปด้วย เจ้าจะมาบอกว่าตัวเองเป็นภาระได้อย่างไร ? หยงเยี่ยหลิวกวงเองก็ยังทำเพื่อเพื่อนร่วมเผ่าของเขาเช่นเดียวกัน”

จูเซียนเหยายิ้ม “ข้ากล่าวไร้สาระเอง เจ้าพูดถูกแล้ว สามีของข้า”

นางปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่าง่ายดายและหยุดโทษตัวเองอย่างรวดเร็ว

“แต่ถึงกระนั้น คำขอของหยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้สำเร็จ”

“เพราะฉะนั้น นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องรีบฉวยโอกาสนี้เอาไว้”

เมื่อซูเฉินพูดว่า ‘ต้องรีบ’ เขาก็จับจ้องไปที่จูเซียนเหยาด้วยสายตาที่ทอประกายวาววับ

หญิงสาวเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึง ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะผลักเขาเบา ๆ “หน้าไม่อาย”

ซูเฉินโน้มตัวเข้าหาจูเซียนเหยา ในไม่ช้าทั้งห้องนั้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยฤดูใบไม้ผลิ

——-

ในเวลาเดียวกัน หยงเยี่ยหลิวกวงก็กำลังเผชิญหน้ากับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน

“ทำไมกัน ? เหตุใดถึงไม่บังคับให้มันคืนเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์มา ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามด้วยความโกรธ

คราวนี้นางโกรธจริง ๆ

การสูญเสียเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ไป นับเป็นเรื่องใหญ่อย่างมากสำหรับนิกายแห่งพระแม่

ในที่สุดพวกเขาก็จับคนร้ายได้ แต่หยงเยี่ยหลิวกวงกลับบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา

มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?

แม้ว่าโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนจะไม่มีความชำนาญด้านการเมืองมากเท่าหยงเยี่ยหลิวกวง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รับรู้ถึงการสมรู้ร่วมคิดที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลัง

หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวตอบอย่างใจเย็น “เจ้าคิดผิดแล้วโยวเมิ่ง ข้าไม่ได้ปล่อยให้ซูเฉินเก็บเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ไว้ เพียงแต่ว่าตอนนี้มันไม่อยู่ในมือของเขาแล้ว”

“แล้วมันอยู่ไหน ?”

“เจ้าเด็กนี้เจ้าเล่ห์นัก เขาใช้ร่างแยกแอบส่งสมบัติออกจากดินแดนเผ่าปักษาไปแล้ว ตอนนี้ มันถูกฝังแบบสุ่มอยู่ใต้ดินที่ไหนสักแห่ง”

“งั้นก็ให้มันไปเอาคืนมา !”

“นั่นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ข้าให้ทางนั้นไป” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวขณะที่ตบมือของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเบา ๆ และปลอบโยนนาง “อย่าได้กังวล เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถบินหนีไปไหนได้หรอก”

หัวใจของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนโอนอ่อนลง ใบหน้านางขึ้นสีจาง ๆ “ข้าเพียงแค่กังวลว่าค่ำคืนที่ยาวนานจะนำมาซึ่งความเสี่ยงมากมาย ยิ่งเรารอนานเท่าไหร่ โอกาสที่ไม่คาดคิดก็ยิ่งจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น”

ความคิดของนางนั้นถูกต้องแล้ว แต่น่าเสียดายที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้นตอที่มาของความเสี่ยงเหล่านั้นมาจากคนที่อยู่ข้าง ๆ ตัวของนาง ‘กระบวนการกู้คืน’ เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์จึงถูกลิขิตให้ต้องล้มเหลวไป

แน่นอนว่าหยงเยี่ยหลิวกวงไม่มีทางที่จะยอมรับว่าเขาไม่ได้ทวงขอของคืนมา และโทษซูเฉินโดยทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเป็นคนที่กลับคำพูดของตนเอง และเนื่องจากซูเฉินไม่คิดคืนสมบัติให้กับนิกายแห่งพระแม่อยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะโยนให้อีกฝ่ายรับผิดไปแทน

“อย่ากังวล เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์จะถูกส่งคืนกลับมาอย่างแน่นอน มันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น” หยงเยี่ยหลิวกวงปลอบโยน “สิ่งที่สำคัญกว่าคือวิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสิน”

ใช่ แม้ว่าสมบัติของนิกายแห่งพระแม่จะสำคัญ ทว่ามันก็ไม่สามารถเทียบความสำคัญกับวิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสินได้เลย

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงใช้อนาคตของเผ่าปักษามาเป็นข้ออ้าง มันก็กลายเป็นคำกล่าวที่ทรงพลังราวกับภูเขาใหญ่ จนโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนยังต้องก้มศีรษะยอมรับ

นางทำได้เพียงแค่พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “เอาล่ะ ข้าจะอดทนกับมันอีกสักพักก็แล้วกัน”

“ข้าต้องการให้เจ้าทำมากกว่าแค่ทนเสียหน่อย ช่วยเปิดห้องสมุดโบราณของนิกายแห่งพระแม่ให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสินที นี่เป็นเรื่องจำเป็นที่จะช่วยให้แผนนี้สำเร็จ” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าว

ถึงแม้จะเป็นซูเฉิน แต่มันก็ยังยากที่จะทำสิ่งที่เผ่าปักษาทำไม่สำเร็จมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีให้สำเร็จ หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ได้โยนงานยากให้กับอีกฝ่ายโดยไม่สนใจผลลัพธ์ เพราะเขาเสนอเงื่อนไขนี้ออกไป ดังนั้นเพื่อให้ซูเฉินทำสำเร็จ เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชายหนุ่มให้ได้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องเกลี้ยกล่อมให้โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนยอมวางมือจากเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ แต่เขายังต้องโน้มน้าวให้นางยอมช่วยซูเฉินอีกด้วย เช่นการสอนซูเฉินถึงวิธีใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าของนิกายแห่งพระแม่ – ที่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะยอมกล่าวร้องขอสิ่งนี้ไปอย่างเปิดเผย

ตราบเท่าที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพยักหน้า สิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้น

โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไม่เคยคิดฝันว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะคำนึงถึงนางมากมายเช่นนี้ นางจึงรู้สึกไว้วางใจเขาอย่างเต็มที่ และหลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว เห็นแก่ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าจะเปิดห้องสมุดโบราณให้ ทว่ามันมีบันทึกมากมายอยู่ในนั้น เขาคงไม่สามารถอ่านพวกมันทั้งหมดได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปัญหาการรุกรานของมนุษย์และสัตว์อสูร”

“อย่ากังวลเรื่องนั้น ซูเฉินมีความสามารถในวิเคราะห์อ่านได้รวดเร็วนัก เพียงแค่ครึ่งวันก็น่าจะพอแล้ว”

“เหล่าบันทึกโบราณนั้นถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างยิ่ง เขาจะไม่รู้ความลับทั้งหมดของเราเอาหรือ ?”

“เขาได้สาบานด้วยเลือดแล้วว่าจะไม่เปิดเผยความลับของเผ่าของเรา”

คำสาบานเลือดเป็นทักษะพิเศษของพวกเผ่าปักษา ที่จะทำให้ผู้สาบานได้รับการสะท้อนกลับอย่างรุนแรงหากผิดคำสาบาน แม้ว่าซูเฉินค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีจากผลของคำสาบานนี้ได้ แต่มันก็ต้องใช้เวลาศึกษาอีกนาน และเขาจะไม่ลงมาเสียเวลาในเรื่องนี้อย่างแน่นอน เขาได้เก็บช่องโหว่นี้เป็นความลับ ดังนั้นประสิทธิภาพของคำสาบานเลือดจึงยังคงนับว่าเชื่อถือได้

โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างประชดประชัน “ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นโจร เขาขโมยทั้งสมบัติทั้งเงินทอง ขโมยความรู้ความมั่งคั่งในทุกโอกาสที่เขาได้รับเลยจริง ๆ”

หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวอย่างสบาย ๆ “ยามนี้ข้าก็ได้แต่หวังว่าทักษะของเขาในฐานะโจรจะเป็นประโยชน์บ้าง เพื่อที่ความคาดหวังของเราจะสมดังหวัง”

เขาจงใจพูดสร้างความหวังอย่างเจาะจงว่า ‘ของเรา’ ราวกับว่าแผนการถูกวาดขึ้นโดยเขากับนาง ถ้อยคำที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้ล่อลวงให้โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเอนเอียง จนตกอยู่ในแนวความคิดนี้และตอบสนองไปตามนั้นโดยไม่รู้ตัว

บ่ายวันนั้น ซูเฉินได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องสมุดของนิกายแห่งพระแม่

บันทึกโบราณจำนวนมากถูกเก็บไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกต่าง ๆ ของนิกายแห่งพระแม่ รวมไปถึงประวัติศาสตร์อันลึกลับเผ่าปักษา วิชาอาร์คาน่าในตำนานทุกประเภท และที่สำคัญกว่านั้นคือบันทึกรายละเอียดของวิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสิน

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าอีกด้วย

นี่คือสิ่งที่ซูเฉินต้องการจริง ๆ!