บทที่ 175 เงื่อนไขสามข้อ
หลังจากมองหน้ากันและกันมาสักพักแล้ว ซูเฉินก็ถอนใจ “ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะสามารถหยุดสงครามได้ ?”
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าจะใช้วิธีไหน เพราะนั่นมันปัญหาของเจ้า ข้ารู้เพียงว่ามีเพียงคนคนเดียวที่จะสามารถทำให้ข้าต้องทำถึงขนาดนี้ได้ และคนคนนั้นก็คือเจ้า เรียกได้ว่าเจ้าสร้างปาฏิหาริย์มาซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่ผิดนัก ครั้งแรกก็กับเผ่าคนเถื่อน และตอนนี้ก็เป็นเผ่าปักษาอีก เจ้าใช้วิชากลายร่าง วิชาด้านพื้นที่ และความสามารถในการทำนายอนาคตเพื่อทำอะไรตามใจและทำลายพวกข้าทั้งสองเผ่า ในเมื่อเจ้าสามารถทำเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมานี้ได้ การสงบศึกก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“แล้วถ้าข้าทำไม่ได้ล่ะ ?”
“จูเซียนเหยาก็จะต้องตาย” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าไม่สนใจอีกแล้วว่าพวกปักษาจะพอใจหรือไม่ หากเจ้าไม่สามารถหยุดสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างเราได้ ข้าก็จะสังหารนางเสีย อย่างไรแล้วการตายของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเลขการสูญเสียไปด้วยซ้ำ”
คำพูดของเขาช่างเลือดเย็น และแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิปักษาผู้นี้มีนิสัยใจคออย่างไร
ตอนนี้กลับกลายเป็นซูเฉินเสียเองที่ต้องรู้สึกปวดหัว
เขากุมขมับและกล่าวขึ้นต่อไป “ฝ่าบาท ท่านไม่มีเหตุผลอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”
“การที่ข้ายังไม่กระทำรุนแรงกับเจ้าก่อนที่จะส่งเจ้าออกไปจัดการกับสงครามข้างนอกนั่น และจากสิ่งที่เจ้ากระทำกับชาวปักษาแล้ว นี่ถือว่าข้าอดทนกับเจ้ามากเหลือเกินแล้วนะ”
ซูเฉินได้แต่ตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ บอกเงื่อนไขของท่านมา”
หยงเยี่ยหลิวกวงยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ข้อแรก เจ้าต้องยุติความขัดแย้งที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งกับฝ่ายอสูรและมนุษย์”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูเฉินก็ขมวดคิ้ว
ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขของหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นคำขอที่มากเกินไป แต่นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อแรกที่เขาขอเท่านั้น
แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ตอบรับออกไป “ข้ายอมรับเงื่อนไขนี้”
“ข้อที่สอง เจ้าจะต้องสร้างวิธีการฝึกฝนให้กับเผ่าปักษาด้วย”
“หือ ?” ซูเฉินตะลึง
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวต่อไป “เจ้าเป็นปราชญ์ชาญโลก มีหน้าที่ในการสรรค์สร้างวิชาฝึกโดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือด ถ้าเจ้าทำให้มนุษย์ได้ เจ้าก็ต้องทำให้ชาวปักษาได้เช่นกัน พวกเรามีร่างกายที่อ่อนแอและพยายามจะหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้กันมานานแล้ว แต่เราขาดระบบที่มีการต่อสู้ระยะประชิดที่ดี หากจะมีใครช่วยเรื่องนี้ได้ ก็คงเป็นเจ้า อย่างไรแล้วเจ้าก็เป็นคนช่วยพวกคนเถื่อนในการคิดหาวิธีฝึกฝนไม่ใช่หรือ ?”
ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยสินะ
ซูเฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่แล้วสุดท้ายเขาก็พยักหน้าตอบรับ “เรื่องนั้นข้าก็ทำได้ เงื่อนไขข้อสุดท้ายท่านคงขอให้ข้าคืนสมบัติทั้งหมดที่ปล้นไป ใช่ไหมล่ะ ? เรื่องนั้นข้าก็ทำได้เช่นกัน”
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับขนเอาสมบัติออกมา
สมบัติมากมายถูกเก็บไว้ในแหวนต้นกำเนิด
ของพวกนี้คือสมบัติที่ซูเฉินรวบรวมได้ตลอดช่วงสองปีในดินแดนปักษาแห่งนี้
แย่หน่อยที่เขากำลังจะต้องส่งคืนสมบัติเหล่านั้นเสียแล้ว
ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกลับไม่ชายตามองสมบัติที่ว่าเลยแม้แต่น้อย
เขากล่าวขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องคืนของพวกนี้ให้ข้าหรอก”
อะไรนะ… !
ซูเฉินตะลึง
หยงเยี่ยหลิวกวงพูดต่อไปอย่างใจเย็น “สิ่งที่เจ้าเอาไปได้ก็ถือเป็นของเจ้า ข้าไม่ได้โลภขนาดนั้น”
ซูเฉินหัวเราะ “ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องแบบนั้นหรอก… ว่าไหม ? สมบัติพวกนี้ไม่ได้มีแค่ของที่ข้าได้มาจากมือแห่งโชคชะตาและคลังสมบัติของอวี้ชิงหลาน แม้แต่สมบัติของนิกายแห่งแม่พระก็รวมอยู่ในนี้ด้วย โดยเฉพาะพวกเครื่องมือต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์……”
หยงเยี่ยหลิวกวงขัดขึ้น “สมบัติของนิกายแห่งแม่พระไม่ใช่ของข้า ทำไมข้าต้องสนใจด้วย ?”
หือ…… ?
ซูเฉินมองหยงเยี่ยหลิวกวงด้วยความงุนงง
ฝ่ายจักรพรรดิปักษาขยายความต่อไป “เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นไอ้งั่งหรอก ข้าไม่เคยคิดที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นิกายแห่งแม่พระเป็นตัวแทนอำนาจศักดิ์สิทธิ์ และควบคุมจิตวิญญาณของผู้คนทั้งหลาย และนั่นก็เป็นความจริงไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ นิกายแห่งแม่พระอยู่เหนือเรื่องทางโลกไปมากเหลือเกิน พวกนั้นมีอำนาจอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กลับไม่รู้วิธีใช้มัน เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีการที่จะข้องเกี่ยวในทางการเมือง ในหลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ นิกายแห่งแม่พระมีแต่จะทำให้อาณาจักรถอยหลังลงคลอง… ดึงข้าให้ถอยหลังลงคลอง ! มีหลายอย่างนักที่ข้าต้องการจะทำ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพวกเขาไม่ยอม”
ซูเฉินกล่าวตอบ “แต่ที่ข้ารู้ก็คือนิกายแห่งแม่พระกับอาณาจักรแห่งหมู่เมฆผูกมัดกันอย่างไม่สามารถแก้ปมได้อีกแล้ว ณ จุดนี้”
หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้า “ข้าไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง แต่นั่นก็แค่เพราะความเชื่อใจของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนที่มีในตัวข้าเท่านั้น… แต่ข้าเองก็แก่ตัวลงทุกวัน และวันหนึ่งข้าก็จะต้องตายจากไป ใครจะไปรู้ว่าถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อิทธิพลของนิกายแห่งแม่พระอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีต่ออาณาจักรอีกต่อไปก็ได้ ให้สมบัติพวกนั้นสูญหายไปคงจะดีกว่า ถ้าสูญเสียความแข็งแกร่งไปบ้าง พวกนั้นก็อาจมีอำนาจโดยรวมน้อยลงไปด้วย นิกายแห่งแม่พระมีเหตุผลที่ดีในการมีอยู่ต่อไป และการมีอยู่ของพวกเขาอาจยังจำเป็นอยู่ก็จริง แต่พวกนั้นจะแข็งแกร่งเกินไปไม่ได้ ทำให้อ่อนแอสักหน่อยจึงถือเป็นเรื่องดี”
ซูเฉินเข้าใจในที่สุด
โชคไม่ดีที่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนหลงเสน่ห์ของหยงเยี่ยหลิวกวง ซึ่งเขาคิดวางแผนการอยู่ตลอดเวลาและทำแม้กระทั่งดึงนิกายแห่งแม่พระเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย ไม่มีทางเลยที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะจัดสรรสมบัติเหล่านั้นให้กับตัวเองได้ ดังนั้นการปล่อยพวกมันไปจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะยอมให้มันกับซูเฉินโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ
เงื่อนไขข้อที่สามของเขานั่นเองที่จะทำให้อีกฝ่ายเอาสมบัติพวกนั้นไปได้
สัญชาตญาณของซูเฉินบอกกับเขาว่าเงื่อนไขข้อสุดท้ายนี้จะต้องเป็นข้อที่สำคัญที่สุด
จักรพรรดิปักษาพลันกล่าวขึ้น “เจ้าต้องเอาของสองสิ่งมาให้ข้า ถ้าเจ้าทำได้ ข้าก็จะปล่อยตัวจูเซียนเหยาทันที และทุกอย่างที่เจ้าปล้นไปจากแดนปักษาก็จะเป็นของเจ้า ถ้าต้องการ… ข้าจะเปิดพระคลังและให้เจ้าเอาสมบัติไปมากเท่าที่ต้องการอีกด้วย”
ซูเฉินไม่พอใจกับเงื่อนไขนี้เลยสักนิด “ท่านไม่จำเป็นต้องเอาของมาหลอกล่อข้าแบบนั้นหรอก ถ้ายินดีที่จะจ่ายราคาที่แพงลิบ ของสองสิ่งที่ท่านขอก็คงจะต้องได้มากยากยิ่งนัก บอกข้ามาสิว่าท่านต้องการอะไร”
“วิญญาณอำมฤต กับดวงตาไห่เสิน”
พรวด !
ซูเฉินพ่นน้ำชาที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา
เขาหันไปมองหยงเยี่ยหลิวกวง “นี่ท่าน……”
เมื่อเห็นและแน่ใจแล้วว่าฝ่ายจักรพรรดิไม่ได้พูดเล่น ซูเฉินก็พูดต่อไป “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เตรียมสังหารทั้งข้าและนางไปด้วยกันเสียเถอะ”
วิญญาณอำมฤตกับดวงตาไห่เสินเป็นสิ่งของในประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของเมืองล่องนภาที่ชาวปักษาเลือกจะไม่หันหลังกลับไปมองอีก
มันคือแผนการสมอทะเลลึก…
แผนนี้จะทำให้เมืองล่องนภาได้รับพลังอำนาจอย่างมหาศาล แต่การแทรกแซงจากเหล่าศัตรูของเผ่าปักษาก็ทำให้เมืองล่องนภาไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
ความผิดแทบทั้งหมดของเรื่องนี้ตกอยู่ที่แผนการสมอทะเลลึกเอง ซึ่งส่งผลให้เมืองล่องนภาต้องหยุดอยู่กับที่อย่างนั้นไปอีกแสนนาน
ปลายข้างหนึ่งของสมอทะเลลึกถูกวางไว้ที่แกนพลังงานแห่งซาร์คที่ควบคุมเมืองอยู่ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งถูกวางไว้ลึกลงไปในทะเลพลังต้นกำเนิด
แม้ว่าอาจจะฟังดูง่ายดายและธรรมดานัก แต่แผนการนี้มีความซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว ตัวสมอเป็นงานวิศวกรรมที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง มันถูกออกแบบให้สามารถใช้งานได้สารพัดประโยชน์ หน้าที่ของมันมีมากไปกว่าการส่งพลังอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
เป็นธรรมดาที่จะต้องมีกลไกในการควบคุมอุปกรณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้
และศูนย์ควบคุมของมันก็คือดวงตาไห่เสินนั่นเอง
ดวงตาไห่เสินเป็นผลึกกลมขนาดยักษ์ที่ทำขึ้นด้วยวัสดุล้ำค่า และเต็มไปด้วยจารึกค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้มันทำงานร่วมกับสมอทะเลลึกได้เป็นอย่างดี
และเพราะถูกติดตั้งไว้เมื่อสมอทะเลลึกถูกสร้างขึ้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างดวงตาไห่เสินที่สองขึ้นมาให้กับสมอตัวเดิมได้
แต่ดวงตาไห่เสินนั้นถูกขโมยไปหลังจากที่ทิ้งสมอเสร็จแล้ว
และผู้ที่ช่วงชิงมันไปก็คือเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายที่ทำอันตรายกับเผ่าปักษานั่นเอง
วิญญาณอำมฤตก็ถูกขโมยไปเช่นกัน
วิญญาณอำมฤตเป็นพลังจิตชนิดพิเศษที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อยึดติดเข้ากับสมอทะเลลึก และทำหน้าที่เป็นจิตวิญญาณเครื่องมือของสมอ แน่นอนว่าความเข้ากันได้ของวัตถุเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก เรียกได้ว่าการจะหาสิ่งทดแทนนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
เจตจำนงของวิญญาณอำมฤตจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับสมอทะเลลึก
หากดวงตาไห่เสินเปรียบเหมือนสมองของสมอทะเลลึกที่ทำหน้าที่ควบคุมมันแล้ว วิญญาณอำมฤตก็เปรียบได้กับรยางค์ทั้งหลายของสมอนั้นซึ่งช่วยในการเคลื่อนที่ของมันนั่นเอง
สมอทะเลลึกเข้าสู่สภาวะนิทราหลังจากที่สมองและแขนขาของมันถูกขโมยไป
หลังจากนั้นสมบัติทั้งสองชิ้นก็ถูกพบว่าอยู่กับเผ่าท้องสมุทรและชาวเผ่าวิญญาณ…. มันกลายเป็นสมบัติของพวกเขาไปแล้ว
นี่ยังเป็นสาเหตุที่พวกมันเป็นที่รู้จักในชื่อดวงตาไห่เสินและวิญญาณอำมฤตอีกด้วย
การที่หยงเยี่ยหลิวกวงต้องการของสองสิ่งนี้มีความหมายได้เพียงอย่างเดียว ก็คือเขาต้องการให้เมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนที่ได้อีกครั้งนั่นเอง
เมืองล่องนภา !
เมืองล่องนภาที่ทรงพลังและไร้เทียมทาน แม้แต่เทพอสูรก็ยังเอาชนะพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !
หยงเยี่ยหลิวกวงต้องการในเมืองนี้กลับมาเคลื่อนที่ได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
สมบัติของนิกายแห่งแม่พระจะมีค่าอะไรเมื่อเทียบกับแผนการที่ยิ่งใหญ่นี้ ?!
และนี่ก็คือสาเหตุที่ซูเฉินกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงต้องฆ่าข้าด้วย”
ของทั้งสองสิ่งนี่เป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งนักสำหรับทั้งสองเผ่า เขาจะปล่อยให้หยงเยี่ยหลิวกวงครอบครองพวกมันได้อย่างไรกัน ?
แต่แล้วเมื่อได้ยินคำของซูเฉิน หยงเยี่ยหลิวกวงกลับพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “ก็ได้ ข้าก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน”
“อะไรนะ ?” ซูเฉินผงะ
“ข้าบอกว่าข้าเองก็อยากจะฆ่าเจ้าอยู่แล้วไงล่ะ” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบอีกครั้ง “ถ้าเจ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะสังหารเจ้าเสียตรงนี้ และนั่นก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่แย่เลย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ ก็ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าในการสงบศึกไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงพูดแบบนี้ ?”
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบทันควัน “นั่นมันก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า แต่ตอนนี้ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าการฆ่าเจ้าเสียน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นก่อเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตจำนวนนับแสนของเผ่าปักษา และ…”
เดี๋ยวนะ……
จำเป็นจะต้องเกลียดชังกันแบบนี้ด้วยหรือ ?
หลังจากคิดทบทวนแล้วซูเฉินก็ถามขึ้นอีกครั้ง “อะไรกันที่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน ?”
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวตอบ “ก็การที่เจ้าบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณได้แล้วน่ะสิ !”
ด่านผลาญจิตวิญญาณ !
แปลว่าหยงเยี่ยหลิวกวงรู้เข้าจนได้สินะ
เขาเก็บเรื่องระดับการฝึกของตัวเองเป็นความลับอย่างระมัดระวังแล้ว แต่กลายเป็นว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกลับรู้ได้เสียอย่างนั้นว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
ซูเฉินใจสั่นไปหมด “ฝ่าบาท ท่านต้องล้อกันเล่นแน่ ถ้าข้าบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณ แล้วมันทำไมกันหรือ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อยนี่ ใช่ไหม ?”
“จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไรกัน เจ้าบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไม่มีสายเลือดด้วยซ้ำ !” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับอย่างเยือกเย็น “มีมนุษย์กี่คนที่ปรารถนาให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ เลย แต่เจ้าก็ยังทำได้สำเร็จ มนุษย์หลายคนก็สามารถบรรลุถึงด่านกลั่นโลหิตได้ แต่เจ้ากลับเปิดทางใหม่ให้กับด่านทะลวงลมปราณ จากนั้นก็ด่านสู่พิสดาร แล้วตอนนี้ก็ยังด่านผลาญจิตวิญญาณอีก ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เจ้าทำสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้มานานถึงหลายพันปี นี่น่ะหรือที่ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ?!”
ซูเฉินเงียบ
หยงเยี่ยหลิวกวงยังพูดไม่จบ “เพราะเจ้า มนุษย์จึงสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของสายเลือดได้ ทำไมทั้งสามอาณาจักรถึงได้มั่นใจนักว่าจะเอาชนะเราได้ ก็เพราะวิชาการฝึกของเจ้าที่ถูกเผยแพร่ออกไป และผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เริ่มจะปรากฏในหมู่มนุษย์น่ะสิ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในระดับด่านกลั่นโลหิตหรือด่านทะลวงลมปราณ คนพวกนั้นเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของทัพมนุษย์ และตอนนี้พวกเขาก็มีตัวตนอยู่แทบทุกหนแห่ง แม้แต่สถานะของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารก็ยังลดลงอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ แม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้เผยแพร่มันออกไปอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะทำอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ?”
ซูเฉินยังคงเงียบอยู่
จักรพรรดิปักษาพยักหน้า “หลายคนคิดว่าด่านสู่พิสดารเป็นขีดจำกัดสูงสุดของเจ้า และเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้ แต่ข้าบอกได้เลยว่าเจ้ายังห่างไกลจากขีดจำกัดอยู่มากนัก เจ้าอายุยังน้อย แต่ก็บรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณได้แล้ว ใครจะไปรู้… เจ้าอาจบรรลุไปถึงสองด่านสุดท้ายเลยก็ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ล่ะ ? แค่คิดข้าก็หวั่นใจแล้ว บอกข้ามาสิว่าทำไมข้าถึงไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ไปและฆ่าเจ้าเสีย”
ซูเฉินถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าท่านมองอย่างนั้น ข้าคิดว่าทางที่ดีที่สุดของท่านก็คือกำจัดข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ ท่านเองก็ไม่ได้กลัวจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายอยู่แล้ว คงน่าประทับใจไม่น้อยเลยหากท่านยอมเสียสละให้กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้”
“นี่แหละคือสาเหตุที่ข้ายังไม่กำจัดเจ้าในตอนนี้…. ข้าไม่ได้เต็มใจจะเสียสละเพื่อเห็นแก่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวตอบ “ทำไมเผ่าปักษาถึงต้องรับผิดชอบการดำรงอำนาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย ?”