ภาคที่ 5 บทที่ 174 รับผิดชอบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 174 รับผิดชอบ

ณ ศาลาสืบใจแห่งวังแสงตะวันชั่วกาล

ที่นี่เป็นสถานที่ที่หยงเยี่ยหลิวกวงมักมาใช้เวลาในการคิดคนเดียวอย่างเงียบ ๆ ภายใต้สถานการณ์ทั่ว ๆ ไปนั้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาใช้เพื่อจัดการเรื่องทางการเมืองเลย ดังนั้นปกติแล้วจึงไม่มีแขกคนใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ได้

ทว่าวันนี้มีคนนอกได้เข้ามาที่นี่ด้วย

คนคนนี้เป็นคนนอกโดยแท้…

เขาคือมนุษย์… ซูเฉินนั่นเอง !

หยงเยี่ยหลิวกวงกับซูเฉินได้พบหน้ากันในที่สุด

ณ ศาลาสืบใจแห่งนี้ มีเพียงซูเฉินกับหยงเยี่ยหลิวกวงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ แม้กระทั่งโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ยังไม่ปรากฏในบริเวณนี้เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ได้ปฏิเสธนางไปในทันที

จักรพรรดิปักษากล่าวว่า “เจ้าต่อรองได้ไม่ดีเอาเสียเลย”

แม้ว่านางจะไม่ชอบที่เขามองเห็นว่านางเป็นเช่นนั้น แต่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ต้องยอมรับว่าเขาพูดถูกอยู่เหมือนกัน หยงเยี่ยหลิวกวงจึงสามารถปฏิเสธไม่ให้นางเข้ามาในห้องนี้ได้ในที่สุดด้วยอิทธิพลในฐานะที่เขาเป็นจักรพรรดิของอาณาจักร

ภาพที่เกิดขึ้นนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก เพราะฝ่ายซูเฉินในตอนนี้กลับไม่ได้แสดงท่าทางที่เป็นปฏิปักษ์ออกมาเลยแม้แต่น้อย

เขายืนอยู่ที่หน้าชั้นหนังสือและกำลังเปิดหนึ่งในหนังสือเหล่านั้นดูพร้อมกันกับที่กล่าวขึ้นว่า “ชีวิตข้าผ่านประสบการณ์มามากมาย และข้าก็พบเจอศัตรูมาเยอะเหลือเกิน บางคนก็อ่อนแอนัก และบางคนก็แข็งแกร่ง แต่ข้าไม่เคยกลัวพวกเขาเลย ต่อให้ศัตรูจะเก่งกาจและมีแกร่งเพียงไร พวกนั้นก็มีเพียงร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น ไม่ใช่จิตใจแต่อย่างใด เผ่าพันธุ์อัจฉริยะถูกเรียกเช่นนั้นก็เพราะเราเป็นที่รู้จักในด้านสติปัญญา ไม่ใช่พลังกาย ข้ายังไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครมาก่อนเลยในชีวิตนี้ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วละว่าอย่างไรแล้วก็จะต้องมีคนที่ฉลาดกว่าเราอยู่เสมอ……”

ชายหนุ่มวางหนังสือลงและหันหน้ามามองหยงเยี่ยหลิวกวงก่อนจะกล่าวต่อไป “ข้าได้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของท่านมาก่อน หลังจากที่ได้ต่อกรกับท่านแล้วข้าถึงได้รู้ว่าความสามารถของท่านสมกับชื่อเสียงจริง ๆ”

ท่าทางของหยงเยี่ยหลิวกวงยังคงนิ่งงัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รู้สึกใด ๆ กับคำเยินยอของซูเฉินเลย

เขาเพียงกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “การจะให้เจ้าเปิดเผยตัวออกมาได้นี่ไม่ง่ายเลยนะ”

“ท่านพูดถูก มันไม่ง่ายเลย แต่ท่านก็ทำได้นี่ ข้านับถือในความเด็ดเดี่ยวของท่านจริง ๆ ….อันที่จริง ข้าเองก็น่าจะเดาได้อยู่แล้ว ถ้าผู้คุมขังของท่านค้นพบความจริง แล้วมันจะหลุดรอดจากท่านไปได้อย่างไร ต่างก็แค่เพียงที่ท่านรู้เรื่องนี้ช้าไปหน่อยเท่านั้น”

“เจ้าทำลายหลักฐานที่คุกลอยฟ้าเก็บได้หมดแล้ว เรื่องชุยอวี่คงเหินกันซูเฉินเป็นคนเดียวกันนั้นเป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ

“บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าท่านเดาได้อย่างไร” ซูเฉินถาม

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับมา “ลูกสมุนของจูเซียนเหยาไงล่ะ”

ใช่แล้ว !

แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากสังหารเสินอวี่เชียนจือแล้ว ซูเฉินก็จงใจมุ่งหน้าไปยังคุกลอยฟ้าเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด แต่เขาก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ข้อมูลใหม่รั่วไหลไปถึงหูของหยงเยี่ยหลิวกวงได้อยู่ดี และข้อมูลพวกนั้นก็มาจากลูกสมุนของจูเซียนเหยาอีกด้วย

ลูกสมุนของจูเซียนเหยาไม่รู้ว่าชุยอวี่คงเหินคือซูเฉิน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตระกูลจู อย่างไรแล้วการกระทำของซูเฉินในเมืองนภาลัยราบ เมื่อครั้งที่เขาต้องจัดการกับตระกูลหรงก็เป็นข่าวแพร่กระจายไปกว้างไกลพอสมควร

สิ่งแรกที่หยงเยี่ยหลิวกวงทำหลังจากจับตัวจูเซียนเหยาได้ก็คือพยายามหาวิธีการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ใกล้ชิดกับตระกูลจู ด้วยกลวิธีของพวกเขาแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่ชาวปักษาจะเก็บข้อมูลมาได้เป็นจำนวนมากจากการถามแบบปากต่อปาก

และนี่ก็คือวิธีที่ซูเฉินกลายเป็นเป้าหมายของหยงเยี่ยหลิวกวงนั่นเอง

คนผู้นี้ช่างเป็นปราชญ์ชาญโลกหนุ่มที่ทั้งฉลาดและแข็งแกร่งยิ่งนัก

และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เขาทำสำเร็จในดินแดนเผ่าคนเถื่อนก็เป็นการกระทำที่ชัดเจนยิ่งนัก

การปล้นเผ่าคนเถื่อนของเขานั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด วิชาลวงตา ความสัมพันธ์กับตระกูลจู และการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในระหว่างนี้ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงเชื่อมโยงซูเฉินกับชุยอวี่คงเหินได้

เมื่อรู้เช่นนั้นซูเฉินก็ไม่ได้ดูจะใส่ใจแต่อย่างใด เขาพูดเพียงว่า “ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของท่านจักรพรรดิควรค่าแก่การสรรเสริญนัก ข้าต้องขออภัยในสิ่งที่ได้ทำกับชาวปักษาจริง ๆ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้วตอนนี้ ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่านจะตัดสินใจเลย”

หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงไม่ปริปาก เขาโบกมือและชี้ไปที่โต๊ะตรงหน้า

ซูเฉินวางหนังสือและนั่งลง

เขาหันหน้าเข้าหาหยงเยี่ยหลิวกวงด้วยท่าทางไม่เกรงกลัว

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงก็กล่าวขึ้น “ว่ากันตามตรงเลยนะ ข้าอยากจะสังหารเจ้าเสีย ณ ตอนนี้ ชาวปักษาต้องสูญเสียไปหลายร้อยชีวิตก็เพราะเจ้า ความแค้นนี้จะถูกลบล้างแค่ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ได้ !”

ซูเฉินหัวเราะ “จำนวนมนุษย์และปักษาที่ถูกสังหารในหลายหมื่นปีนั้นไม่ใช่หลักแสน แต่เป็นหลักล้าน จำนวนสองแสนชีวิตนั้นเปรียบได้เหมือนขนเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ในฐานะมนุษย์ มันก็เป็นความรับผิดชอบของข้าที่จะต้องขจัดภัยคุกคามและทำลายศัตรู ต่อให้มือข้าต้องเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าก็ไม่มีทางเสียใจ !”

รังสีของหยงเยี่ยหลิวกวงเปล่งขึ้นมาทันที จากนั้นคลื่นความกดดันก็แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทว่าแรงกดดันนั้นไม่สามารถเล็ดลอดออกไปนอกห้องนั้นได้เลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำในการควบคุมพลังของเขาได้อย่างชัดเจน

ทว่าซูเฉินยังคงจ้องมองหยงเยี่ยหลิวกวงราวกับว่าทั้งคู่เป็นคนในระดับเดียวกัน

ในฐานะตัวแทนของเผ่ามนุษย์ ณ ปัจจุบันนี้ ชายหนุ่มไม่มีทางที่จะหดหัวต่อหน้าจักรพรรดิเผ่าปักษาอย่างแน่นอน

รังสีที่น่ากลัวค่อย ๆ สลายหายไป

หยงเยี่ยหลิวกวงถอนใจ “ข้าเองก็แก่แล้ว ส่วนพวกคนรุ่นใหม่นี่ก็ช่างกล้าหาญและเต็มใจที่จะรับผิดชอบนักนะ”

“ข้ามิบังอาจเทียบตนเท่าจักรพรรดิในเรื่องความรับผิดชอบ หากมีใครในทวีปนี้ที่จำควรค่าแก่การเคารพจากข้า หรือแม้กระทั่งผู้ที่ข้าต้องยอมพ่ายแพ้ ผู้นั้นก็เป็นท่าน” ซูเฉินตอบกลับไปด้วยความจริงใจ

“หือ เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องการจะตกลงบางอย่างกับเจ้า” หยงเยี่ยหลิวกวงถามขึ้น

“มันคือสาเหตุที่ท่านยืนกรานจะพบกับข้าไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินสวนกลับ

หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา “ถูกต้อง ให้ผู้กระทำเป็นคนแก้ไขเองท่าจะดีกว่าอยู่แล้ว !”

ไม่มีความจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องกล่าวอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ไม่ว่าซูเฉินจะปรากฏตัวหรือไม่ และทำไมหยงเยี่ยหลิวกวงถึงต้องการที่จะกำจัดจูเซียนเหยานัก…

ทั้งหมดก็เพราะหยงเยี่ยหลิวกวงมองออกอย่างชัดเจนแล้วว่า ต่อให้เขาปล่อยตัวจูเซียนเหยาไป เขาก็ไม่สามารถจะหยุดความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้นได้อยู่ดีนั่นเอง !

ใช่แล้ว… เขาไม่มีทางที่จะหยุดมันได้ !

การก่อสงครามนั้นง่ายดายนัก แต่การจะล้มเลิกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อาณาจักรมนุษย์ทั้งสามเป็นพันธมิตรกันภายใต้ข้ออ้างที่ว่าจูเซียนเหยาได้ถูกจับตัวไปอย่างไม่เป็นธรรม แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะชาวปักษากำลังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอเหลือเกิน

ชาวมนุษย์จะพากันถอยกลับไปเพียงเพราะจูเซียนเหยาถูกปล่อยตัวแล้วอย่างนั้นหรือ ?

น่าตลกสิ้นดี

จูเซียนเหยาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น !

หากหัวขโมยต้องการที่จะปล้น ก็อาจอ้างเอาง่าย ๆ ว่า ‘ภูเขาลูกนี้เป็นของข้า !’ หรืออะไรเทือกนั้น แต่หากต้องการที่จะให้หัวขโมยพิสูจน์ว่าเขาลูกนั้นเป็นของเขาจริง ๆ หัวขโมยคนนั้นจะหยุดความพยายามในการปล้นไหม

แน่นอนว่าไม่ !

ตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น ตัวอย่างของเมืองใหญ่ที่รุกรานเมืองเล็กด้วยข้ออ้างที่ว่ามีการตรวจพบอาวุธผิดกฎหมายนั้นมีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่หลายหน หลังจากเมืองนั้นถูกยึดไปแล้วถึงได้รู้กันว่าไม่มีอาวุธผิดกฎหมายอยู่จริงอย่างที่อ้างเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นเหตุผลในการเคลื่อนพลในแรกเริ่มเดิมทีนั้นฟังไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ

แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันล่ะ ?

เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ จากนั้นผู้นำของเมืองใหญ่อาจประกาศว่าเมืองเล็กได้กระทำการอันชั่วร้ายและจำเป็นต้องถูกกำจัดก็ได้

เห็นไหมล่ะ ? ว่ามันง่ายดายเพียงไร

ข้ออ้างทั้งหลายนั้นถูกสร้างขึ้นก็เพื่อไม่ให้ต้องเสียหน้าเท่านั้น

อะไรนะ… จะไม่มีหน้าให้เสียด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

ถ้าอยากทำถึงขนาดนั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องหาหนทางโดยไม่ต้องมีข้ออ้างให้จงได้อยู่ดี

จูเซียนเหยานั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง การที่นางถูกปล่อยออกมานั้นไม่ได้หมายความว่าการรุกรานจากฝ่ายมนุษย์จะยุติลง และนั่นจะยิ่งเป็นประโยชน์น้อยลงกับฝ่ายอสูรด้วยซ้ำ จูเซียนเหยาเกี่ยวอะไรกับพวกเขากันล่ะ ?

ดังนั้น จูเซียนเหยาจึงไม่สามารถหยุดสงครามครั้งนี้ได้เช่นกัน

ทั้งหยงเยี่ยหลิวกวงและซูเฉินต่างก็รู้และเข้าใจเรื่องนี้ดี แม้แต่จูเซียนเหยาเองก็รู้ และมันยังเป็นสาเหตุของสิ่งที่นางกล่าวกับกังเหยียน และคำตอบจากกังเหยียนก็คือ ซูเฉินนั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะหยุดความขัดแย้งนี้อยู่แล้ว

เขาเหวี่ยงแหออกไปโดยไม่คิดที่จะแก้ไขอะไรเลย

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังจะทำให้ชายหนุ่มต้องรับผิดชอบ !

ฝ่ายซูเฉินนั้นไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิปักษาจะทำเช่นนี้

เขาไม่เคยคิดเลยว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้

เขาโหดเหี้ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ !

เพียงแค่หยงเยี่ยหลิวกวงมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง

ก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่ใครก็ตามจะคิดได้อย่างใจปรารถนา

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล และศัตรูที่กำลังบอกว่าพวกเขาจะยอมหยุดความขัดแย้งก็ต่อเมื่อตัวประกันถูกปล่อยเท่านั้น คนส่วนมากก็พร้อมจะโอนอ่อนไปกับการเกลี้ยกล่อมในลักษณะนี้ อย่างไรแล้วตัวประกันก็เป็นแค่ตัวประกัน พวกเขาไม่ได้มีคุณค่าอะไรอย่างแท้จริง และการที่ถูกปล่อยออกมาก็ไม่ได้ทำให้เสียหายอะไร ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายหนึ่งกลับคำและยังคงเคลื่อนทัพต่อไป นั่นก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเขาเอง

แต่หากศัตรูเองก็รู้เรื่องนี้และยุติสงครามลงล่ะ ?

อย่างไรแล้วมันก็เป็นไปได้เช่นกัน

แสงแห่งความหวังนี้มากพอที่จะทำให้ผู้คนกว่า 7 ใน 10 ส่วน ยอมจำนนได้

ต่อให้ศัตรูยังยืนยันที่จะโจมตีต่อไป อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถอธิบายเรื่องราวให้กับชาวเมืองได้

เห็นไหมล่ะว่าไม่ใช่ข้าสักหน่อยที่บังคับให้ต้องจับตัวประกันมาจนทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ ศัตรูของเราก็แค่โลภมากและกำลังใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง สงครามนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของข้าเหมือนกัน

ความสามารถในการอธิบายสถานการณ์ให้กับลูกสมุนทั้งหลายนั้นยังอาจทำให้อีก 3 ใน 10 ส่วนที่เหลืออยู่ยอมจำนนตามไปด้วยก็ได้

ทว่าก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่สามารถต้านทานต่อแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก ซึ่งนั่นทำให้พวกเขายังสามารถเลือกได้

และหยงเยี่ยหลิวกวงก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขามองออกอย่างชัดเจนแล้วว่าการไม่ปล่อยตัวประกันเท่านั้นที่จะทำให้มีโอกาสหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามได้

และโอกาสนั้นก็มาในรูปแบบของ ‘ซูเฉิน!’

ซูเฉินคือคนที่ก่อความขัดแย้งนี้ขึ้นมาเองตั้งแต่แรก

และเขาก็คือคนที่จะสามารถหยุดมันได้เช่นกัน

แล้วเขาจะทำอย่างไรกันเพื่อให้ซูเฉินกำจัดความขัดแย้งนี้ไปได้ ?

ก็จูเซียนเหยาไงล่ะ !

นางคือเบี้ยต่อรองเพียงตัวเดียวที่เขามีอยู่

ด้วยเหตุนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงจึงตั้งใจจะสังหารจูเซียนเหยามาตั้งแต่แรก

เขาคิดจะฆ่านางจริง ๆ!

สาเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเลย หากเขาเพียงเสแสร้งว่าตั้งใจจะสังหารนางก็จะมีความเป็นไปได้มากที่ซูเฉินจะอ่านเกมของเขาออก จักรพรรดิปักษาต้องมีความตั้งใจที่จะฆ่าจูเซียนเหยา จริง ๆ เท่านั้นเพื่อให้ซูเฉินเผยตัวออกมาให้ได้

แต่ถ้าจูเซียนเหยาตายไป แล้วซูเฉินยังไม่เผยตัวล่ะ ?

แต่ก็ถกเรื่องนี้กันไปแล้วไม่ใช่หรือ ?

เผ่ามนุษย์ก็จะโจมตีอยู่ดีไม่ว่าจูเซียนเหยาจะถูกสังหารหรือไม่ก็ตาม

หากเป็นเช่นนั้น… ก็สังหารนางเสียเห็นจะดีกว่า !

ทั้งสองทางเลือกนั้นจะต่างกันก็ต่อเมื่อซูเฉินไม่ปรากฏตัวเท่านั้น หากหยงเยี่ยหลิวกวงปล่อยตัวจูเซียนเหยาไป เขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็จะเสียโอกาสในการหยุดการต่อสู้เพื่อคลี่คลายเหตุการณ์ทั้งหมดและการได้พบกับซูเฉิน แต่หากเขาสังหารจูเซียนเหยา จักรพรรดิปักษาก็จะกลายเป็นอาชญากรในสายตาของชาวปักษาไป เพราะพวกนั้นจะต้องเชื่อทันทีว่าเขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในสงครามที่เป็นหายนะในครั้งนี้ และนั่นจะกลายเป็นความอัปยศที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย

ผู้นำส่วนมากก็คงเลือกทางแรกเพื่อรักษาชื่อเสียงอยู่แล้ว

ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกลับเลือกทางที่สอง

เขายอมที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อบังคับให้ซูเฉินต้องออกมาและคลี่คลายปัญหาทั้งหมด

นี่แหละคือการรับผิดชอบ !

ไม่ว่าชาวปักษาจะมองเขาอย่างไร ไม่ว่าชื่อเสียงของเขาจะเสียหายถึงเพียงไหน หยงเยี่ยหลิวกวงก็ขอสนใจเพียงอนาคตของเผ่าปักษาเท่านั้น

หากมองในแง่นี้ ความอาจหาญของหยงเยี่ยหลิวกวงนั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าซูเฉินอยู่ไม่น้อย แม้ว่าซูเฉินจะเก่งกาจในการปล้นและสังหารเป้าหมายระดับสูงอย่างที่ผู้นำไม่ทำก็ตาม

แน่นอน… ซูเฉินไม่ได้เป็นจักรพรรดิ

เขาเป็นปราชญ์ เป็นมนุษย์ที่เป็นถึงปราชญ์ชาญโลก

ขีดจำกัดนั้นถือว่าเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับเขา แต่มันกลับเป็นเรื่องโชคดีของเผ่ามนุษย์

ดังนั้นซูเฉินกับหยงเยี่ยหลิวกวง ต่างก็ถือเป็นบุคคลสำคัญในสถานการณ์ของตัวเอง

และการพนันของหยงเยี่ยหลิวกวงก็ให้ผลแล้ว

เขาทำให้ซูเฉินเปิดเผยตัวออกมาได้สำเร็จ ตอนนี้ก็เป็นเวลาของซูเฉินแล้วที่จะแสดงตัว

เพื่อเห็นแก่ชีวิตของจูเซียนเหยา !