บทที่ 173 เด็ดเดี่ยว
ข่าวที่ว่าจูเซียนเหยาจะถูกสังหารแพร่ออกไปทั่วเมืองล่องนภาอย่างรวดเร็ว
เมื่อซูเฉินได้ยินเรื่องนี้ เขาเองไม่ได้รู้สึกประหลาดใจหรือโกรธเคืองแต่อย่างใด
แม้ว่าจะไม่ได้รู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น แต่เขาก็รู้ตัวเองว่ายอมรับเรื่องนี้ได้มานานแล้ว ความรู้สึกนี้สมเหตุสมผลอยู่แล้ว และมันก็อยู่เหนืออารมณ์ของซูเฉินอีกด้วย
ชายหนุ่มไม่ได้บอกเรื่องนี้กับผ้าเท่อลั่วเค่อ… เขาไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเป็นกังวลไปด้วย
เขานั่งอยู่ในลานบ้านขณะทบทวนบางอย่างในหัวไปเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและท้องฟ้าก็เริ่มทอประกายแสงขึ้น……
การประหารจะเกิดขึ้นเวลาเที่ยงวัน
เมื่อเวลาเที่ยงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ลานแสดงของวังแสงตะวันชั่วกาลก็เริ่มคลาคล่ำไปด้วยชาวปักษาที่อยากจะเห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง
และเพราะชาวปักษาสามารถบินได้ พวกเขาจึงถือเป็นผู้ชมที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ลานแสดงขนาดเล็กหนาแน่นไปด้วยปักษาหลายหมื่นชีวิตภายในเวลาอันสั้น
จูเซียนเหยายืนอยู่เบื้องล่างของสิ่งที่เรียกว่าเวที พร้อมกับลูกสมุนของนาง ซึ่งรวมแล้วมีจำนวนถึง 125 คน
ท่าทางของจูเซียนเหยาดูหนักแน่นมั่นคงทีเดียว
นั่นไม่ใช่เพราะนางไม่เกรงกลัวต่อความตาย แต่เป็นเพราะนางเชื่อในตัวซูเฉินต่างหาก
เมื่อเทียบกันแล้วนั้น ลูกสมุนของตระกูลจูดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่แย่กว่ามาก สีหน้าของทุกคนดูซีดเผือดและหลายคนในนั้นเริ่มไม่สามารถควบคุมไม่ให้น้ำตาไหลได้อีกต่อไป
เพชฌฆาตยืนอยู่ในตำแหน่งของเขาโดยมีดาบตัดวิญญาณอยู่ในมือข้างหนึ่ง พื้นผิวของใบมีดนั้นโชกไปด้วยโอสถชนิดพิเศษที่สามารถทำลายพลังจิตทุกชนิดที่มันสัมผัสได้ในทันที ดังนั้นเป้าหมายที่จะโดนใบมีดนี้โจมตี ต่อให้เป็นถึงคนด่านมหาราชันก็ไม่มีทางที่จะรอดหรือคืนชีพกลับมาได้เลย
ห่างออกไป เจ้าหน้าที่ปักษากลุ่มใหญ่ยืนแยกตัวออกมาและรอชมเหตุการณ์อยู่อย่างไม่ละสายตา
แต่พวกเขาไม่ได้ดูจะมีกะจิตกะใจในการคอยควบคุมสถานการณ์แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่เหล่านั้นล้วนกระซิบกระซาบกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อน
ในบางครั้ง เจ้าหน้าที่จากในกลุ่มนั้นจะวิ่งเข้าไปในวังและกลับออกมาด้วยสีหน้าที่หม่นหมองลง
ปักษาที่เห็นเหตุการณ์นั้นไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นกำลังทำอะไร แต่พวกเขาร้องขึ้น “ฝ่าบาท ได้โปรดไว้ชีวิตนางเถิด ! ท่านสังหารจูเซียนเหยาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วสงครามก็จำต้องเกิดขึ้นและเผ่าพันธุ์ของเราก็จะล่มสลาย !”
ปักษาชราบินเข้าไปในวังและมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังโถงหลัก
ทุกคนรู้แล้วว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ปักษาชราที่เพิ่งจะพุ่งตัวเข้าไปในวังนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ปักษาระดับสูงที่มีบุคลิกโดดเด่น ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าแม้แต่เขาก็ยังก้าวเข้ามามีส่วนในการพยายามหยุดหยงเยี่ยหลิวกวงด้วย
น่าเสียดายที่คำขอของเขาก็ไม่เป็นผลเช่นกัน
ไม่ช้าปักษาชราก็ถูกโยนออกมาจากโถงนั้นโดยทหารที่ด้านในขณะที่เขาร้องขึ้นด้วยคำพูดที่น่าคิดอย่าง “อย่าปล่อยให้อารมณ์มามีผลกับการตัดสินใจของท่าน และพาให้ชาวปักษาต้องเผชิญกับการสังหารหมู่อีกครั้ง”
เสียงร้องนั้นไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อหยงเยี่ยหลิวกวง แต่มันก็ทำให้ชาวปักษาที่ยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกซาบซึ้งได้
บางคนยังทำถึงขั้นพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้คนใกล้ตัวพากันบุกไปที่ลานแสดง และหยุดการสังหารให้ได้
น่าเสียดายที่ฝูงชนชาวปักษาไม่ได้ทำเช่นนั้น ทหารชั้นสูงกลุ่มใหญ่พากันมุ่งหน้าตรงเข้ามาและพุ่งเป้าอาวุธในมือมายังชาวเมือง หนึ่งในชาวปักษาที่พยายามจะสร้างสถานการณ์พลันต้องพบว่าศรเล่มหนึ่งปักเข้าที่ปีกของเขาเสียแล้ว และมันทำให้ปักษาหนุ่มร่วงลงมาจากท้องฟ้าในทันใด
ทหารจำนวนหนึ่งทะยานออกไปเพื่อจับตัวเขาเอาไว้ในทันที
ไม่ช้าเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้น “ฝ่าบาทได้ให้คำสั่งมาแล้ว เว้นแต่ว่าเจ้าจะได้รับอนุญาตอย่างชัดเจน หากใครก็ตามพยายามที่จะหยุดการประหาร ผู้นั้นจะถือว่าเป็นคนทรยศและจะถูกประหารในทันที !”
ผู้ประกาศสารนี้ก็คือกูเทียนเยวี่ยนั่นเอง
ชื่อเสียงของแม่ทัพปักษาผู้นี้พุ่งกระฉูดขึ้นหลังจากที่เขานำทัพปักษาเพื่อต่อกรและเอาชนะเทพอสูรได้สำเร็จ และเหตุการณ์นั้นทำให้ชาวเมืองทั้งหลายนับถือในตัวเขาเหลือเกิน การที่หยงเยี่ยหลิวกวงเลือกใช้กูเทียนเยวี่ยเพื่อประกาศเรื่องนี้นั้นไม่ต่างไปจากการใช้มีดหั่นเนื้อเชือดคอไก่ทีละตัว แต่นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของเขาเช่นเดียวกัน
ชาวปักษานั้นอยู่กันอย่างไม่เป็นหมู่เหล่าอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อประกาศจากเทพแห่งสงครามมาถึงเช่นนี้ พวกเขาก็เริ่มสงบลงอย่างรวดเร็ว
เปลวเพลิงที่ซูเฉินได้จุดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้พลันมอดลงเสียอย่างนั้น ฝูงชนไม่มีความต้องการที่จะโต้ตอบอีกต่อไป
แม้แต่ตัวเขาเองที่เข้าไปปะปนอยู่กับชาวเมืองก็ยังทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่นและช่วยไม่ได้เท่านั้น
หยงเยี่ยหลิวกวงเอ๋ย…. หยงเยี่ยหลิวกวง ท่านนี่ไม่เบาเลย !
แต่ท่านจะสังหารนางจริง ๆ หรือ ?
ซูเฉินรู้ว่าเป้าหมายของหยงเยี่ยหลิวกวงก็คือการทำทุกวิถีทางเพื่อบังคับให้เขาต้องปรากฏกายออกมา
แต่ซูเฉินไม่รู้ว่า หากเขาไม่ปรากฏตัว แล้วหยงเยี่ยหลิวกวงตั้งใจที่จะสังหารจูเซียนเหยาจริงหรือไม่
ชายหนุ่มจะรู้ได้ก็เมื่อการประหารเกิดขึ้นเท่านั้น
ที่ซูเฉินยังคงซ่อนตัวอยู่นั้นไม่ใช่เพราะเขาขี้ขลาด แต่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นเชื่อมโยงตัวเองกับจูเซียนเหยาได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น
ความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดก็คือ หยงเยี่ยหลิวกวงทำแบบนี้เพียงเพื่อจะขู่ให้เขากลัวเท่านั้น หากซูเฉินไม่เปิดเผยตัวตนตอนเที่ยงวันนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงก็อาจยกเลิกการประหารลงก็ได้
นี่มันสงครามระหว่างความมุ่งมั่นและศรัทธาชัด ๆ
ใครกันที่จะสามารถอดทนรอได้จนวินาทีสุดท้าย ?
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต ซูเฉินคงมั่นใจอย่างเต็มที่แล้วว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
ทว่าในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่ได้มีความมั่นใจเช่นนั้นแล้ว
หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา และนั่นไม่ใช่เพราะจักรพรรดิปักษาแข็งแกร่งกว่า หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่สาเหตุก็คือหยงเยี่ยหลิวกวงนั้นหลักแหลมและมีไหวพริบที่ดีเยี่ยม
ตอนนี้ซูเฉินทำได้เพียงแค่รอ….
รอให้ไพ่ทุกใบถูกเปิดขึ้น
เวลาเดินไปทีละน้อย
เวลาของการประหารใกล้ขึ้นมาทุกขณะ
ปักษาทั้งหลายที่รอดูการประหารนั้นไม่ได้สะท้านต่อความร้อนจากดวงอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย
พวกเขายังคงเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไปด้วยความประหม่า และหวังว่าฝ่าบาทจะเปลี่ยนใจเสียที
แต่สุดท้ายแล้วความหวังนั้นก็ไม่มีความหมาย
เพราะไม่มีใครที่จะสามารถต่อต้านหยงเยี่ยหลิวกวงได้
คนรอบข้างไม่ได้มีอิทธิพลใด ๆ ต่อความมุ่งมั่นและเจตจำนงทั้งหมดของจักรพรรดิผู้นี้เลย แม้กระทั่งนิกายแห่งแม่พระที่มีอำนาจเทียบเท่ากับเขาก็ยังไม่มีผลใด ๆ กับการตัดสินใจครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ
นิกายแห่งแม่พระรับผิดชอบในการดูแลให้จักรพรรดิอยู่ในทำนองคลองธรรมในการปกป้องชาวเมืองมานานหลายหมื่นปี หากจำเป็นจริง ๆ พวกเขาก็จะสามารถกำจัดจักรพรรดิผู้นั้นได้เลย แต่แม้รู้เช่นนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงก็ยังยืนกรานกับสิ่งที่ตัวเองทำต่อไปโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น !
ความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นของเขาเป็นสิ่งที่น่ายกย่องจริง ๆ
เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนอยู่ที่กึ่งกลางของท้องฟ้าเบื้องบน นาทีสำคัญของวันนี้ก็มาถึง
ปัง !
สิ้นเสียงสัญญาณ เพชฌฆาตก็ร้องตะโกนขึ้น “ได้เวลาแล้ว เตรียมการประหารได้ !”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ !
ลูกสมุนทั้ง 125 คน ถูกผลักให้นั่งลงขณะที่เพชฌฆาตผู้นั้นชูดาบตัดวิญญาณขึ้น
ชาวปักษาต่างรู้สึกจุกอกอย่างประหลาด
จะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกไหม ?
การประหารจะถูกหยุดไว้ก่อนหรือเปล่า ?
จะมีใครเข้ามาขัดขวางไว้ไหม ?
ชาวปักษาต่างเฝ้ารอด้วยความคาดหวัง
แต่แล้วคำตอบที่ได้รับนั้นกลับน่าผิดหวังยิ่งนัก
สิ่งที่คิดนั้นไม่เกิดขึ้นเลยสักอย่าง !
เมื่อเพชฌฆาตออกคำสั่ง ทุกคนก็หยุดหายใจทันที
เหล่าเพชฌฆาตชูดาบตัดวิญญาณขึ้น
หยงเยี่ยหลิวกวงไม่คิดที่จะประนีประนอมให้กับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย !
ถ้าเจ้าไม่ออกมา ข้าก็จะสังหารพวกนี้ให้หมด !
หนึ่งวันก่อนหน้านี้
ที่ในวังแสงตะวันชั่วกาล
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนตะลึงเมื่อได้ฟังเหตุผลของหยงเยี่ยหลิวกวง
“ท่านตัดสินใจเช่นนั้นหรือ ? นี่คือสาเหตุที่ท่านกำลังทำแบบนี้ใช่ไหม ท่านรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนพวกนั้นตาย” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวด้วยความหวั่นใจ
หยงเยี่ยหลิวกวงเผยยิ้มบาง ๆ “มันจะเป็นเรื่องน่าอดสูในประวัติศาสตร์… เป็นความอัปยศแก่เผ่าปักษาของเรา”
“แต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะทำเช่นนั้น !”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบ” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “ในฐานะจักรพรรดิเผ่าปักษา มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องรับผิดชอบกับทุกการตัดสินใจของตัวเอง ตราบใดที่เผ่าปักษาจะอยู่รอดต่อไปได้ แล้วชื่อเสียงของข้าจะเป็นมลทินได้อย่างไรกัน ?”
แม้แต่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ผงะไปเพราะคำพูดของหยงเยี่ยหลิวกวง
นางหันไปมองผู้เป็นจักรพรรดิราวกับว่ากำลังมองชายผู้เป็นที่รักอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากและหน้าหงิกหน้างอแทบจะตลอดเวลา แต่เขาก็มีรูปหล่อและใบหน้าที่อ่อนเยาว์ในสายตาของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน
นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของหยงเยี่ยหลิวกวง
จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “หยงเยี่ยหลิวกวง เจ้าจำได้ไหมว่าพูดอะไรไว้เมื่อครั้งที่เราอ่านหนังสือด้วยกัน”
หยงเยี่ยหลิวกวงพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าบอกว่าความทะเยอทะยานของข้าจะแผ่ออกไปไกลจนถึงสวรรค์ และข้าจะทำในสิ่งที่บรรพบุรุษของข้าไม่สามารถทำได้ และจะอดทนในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทนได้เช่นกัน”
“เจ้าได้ทำอย่างนั้นไปแล้วละ” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนโน้มเข้าหาเขาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
นางต้องการจะกอดหยงเยี่ยหลิวกวง แต่ชายผู้ยิ่งใหญ่กลับหยุดนางเอาไว้ก่อน
เขาหันมาส่ายหน้า
และโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็พลันรู้ตัวและสำนึกได้ในสถานะของตัวเอง
เผ่าปักษานั้นมีกฎที่ว่าผู้นำของนิกายแห่งแม่พระและจักรพรรดิจะไม่สามารถรักกันได้
กฎนี้สร้างขึ้นก็เพื่อความเป็นอิสระต่อกันของอำนาจทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกับหยงเยี่ยหลิวกวงเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ในตอนนั้นนางเป็นอัจฉริยะที่กำลังมีอนาคตที่รุ่งเรืองในนิกายแห่งแม่พระ ในขณะที่หยงเยี่ยหลิวกวงเองเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ปักษาธรรมดา ๆ เท่านั้น และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว
แต่เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงเข้ายึดครองและควบคุมชาวปักษา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็สิ้นสุดลง
ในหลายปีที่ผ่านมานี้ โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนรู้สึกขมขื่นเหลือเกินที่หยงเยี่ยหลิวกวงละทิ้งนางเพื่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่แล้วความขมขื่นเหล่านั้นกลับพลันหายไปในวินาทีนี้เอง
เพราะนางเข้าใจหัวใจของเขาและภาระที่หยงเยี่ยหลิวกวงต้องแบกรับเสมอมา ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับเขา
นางกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา เมื่อสงครามเข้ามาใกล้ขึ้น ข้าจะรับหน้าที่นั้นกับท่านเอง”
ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา
นี่คือการตัดสินใจของโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน
ในเมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ นางก็เต็มใจที่จะสู้เคียงข้างเขา
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็จะต้องอดทนและสู้ต่อไปให้ได้ !
ใบมีดกำลังสะท้อนประกายแสงเยือกเย็นกระจายไปทุกทิศทางพร้อมกับเปล่งรังสีแห่งความตายที่น่าเกรงขามนัก ความตายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว !
ในตอนนั้นเองลมเฮือกหนึ่งก็พัดผ่านมา
ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดินลง…. ดาบตัดวิญญาณทั้ง 125 เล่มต่างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
หนึ่งในใบมีดเหล่านั้นอยู่ห่างจากลำคอของจูเซียนเหยาไปเพียงข้อนิ้วเดียวเท่านั้น
มันเกิดขึ้นก็เพราะมวลอากาศที่รอบใบมีดเหล่านั้นพลันถูกแช่แข็งไว้เสียอย่างนั้น
ไม่เพียงเท่านั้น แต่แรงกดดันที่ไร้รูปร่างก็เริ่มแผ่กระจายออกไปและส่งให้ใบมีดเหล่านั้นลอยตัวขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าเพชฌฆาตทั้งหลายลงแรงมากเกินไป การปะทะของแรงจากทั้งสองฝั่งจึงส่งผลให้ใบมีดนั้นสั่นอย่างรุนแรง
ใบมีดทั้ง 125 เล่มนั้นสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกันจนทำให้เกินเสียงหึ่งดังขึ้นในอากาศฟังดูประหลาดหูนัก
ปักษาทั้งหลายต่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนั้น
ปักษาคนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน
แม้ว่าปักษาผู้นั้นจะมีปีก แต่ปีกคู่นั้นกลับถูกพับเก็บไว้ ร่างของเขายืนนิ่งอยู่ที่กลางอากาศโดยไม่ต้องพึ่งพาปีกเลยด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น แต่รังสีที่ปักษาหนุ่มเปล่งออกมาก็ยังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขาไม่รู้จักกับความอ่อนแออยู่เลยแม้แต่น้อย
ปักษาผู้นี้ได้กลายร่างไปเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้ว
ฝูงชนส่งเสียงคำรามและฮือฮาขึ้นทันที
“ซูเฉิน !” เมื่อจูเซียนเหยาเห็นเขา นางก็อดร้องขึ้นไม่ได้
แม้นางจะเชื่อว่าซูเฉินไม่มีทางเมินเฉยต่อสถานการณ์นี้แน่ แต่หัวใจของหญิงสาวก็ยังเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อเห็นเขาปรากฏกายขึ้นจริง ๆ
เจ้าทำอะไรบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน !
เขาเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนพูดว่าจะไม่มีใครช่วยนางได้หากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางถูกเปิดเผยขึ้น
ในเมื่อข้าจะต้องตาย แล้วเจ้าจะมาลงหลุมกับข้าเพื่ออะไรกัน ?
ณ วินาทีนั้น จูเซียนเหยาเริ่มน้ำตาไหล ทั้งด้วยความดีใจและความสิ้นหวัง
ทว่ากูเทียนเยวี่ยกลับยิ้มออกมา “ในที่สุดก็เผยตัวแล้วสินะ… ในร่างหลักของเจ้าเสียด้วยสิ กล้าหาญชาญชัยดีจริง ๆ”
“มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วละ” ซูเฉินตอบ “ถ้าเขาสั่งประหารจูเซียนเหยา นั่นแปลว่าเขายังไม่ได้ต้องการสังหารข้า ข้าพูดถูกไหมล่ะ ?”
ที่เขาพูดนั่นหมายความว่าอะไรกัน ทุกคนในเหตุการณ์ต่างไม่เข้าใจคำพูดนั้นของชายหนุ่มเลย
กูเทียนเยวี่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทพูดถูก เจ้าเป็นศัตรูที่จัดการได้ยากที่สุดเท่าที่เคยพบมา นายท่านซู”
ซูเฉินเผยยิ้มเล็ก ๆ “น่าบังเอิญจริงนะ ข้าเองก็คิดอยู่แบบนั้นเหมือนกัน… ช่างเผ่าปักษาที่ผู้ปกครองที่ทำหน้าที่เป็นหางเสือได้อย่างดีเชียวละ”