ตอนที่ 997 หวนคืนสู่เยาว์วัย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 997 หวนคืนสู่เยาว์วัย

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบสอง

บรรยากาศของงานเทศกาลปีใหม่ในปีนี้มีสีสันมากกว่าปีที่แล้วมากยิ่งนัก

เยี่ยนซีเหวินเดินออกจากจวนเยี่ยนแล้วขึ้นนั่งบนรถม้า จากนั้นรถม้าก็เริ่มเคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ ตามถนนสายหลักของเมืองจินหลิง เขาเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองไปยังฝูงชนที่เดินเบียดเสียดกันไปมาตามท้องถนนภายใต้หิมะที่กำลังตกหนัก

ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในมือของพวกเขาล้วนถือสิ่งของห่อใหญ่บ้างห่อเล็กบ้างที่จำเป็นสำหรับวันปีใหม่

ภายใต้บรรยากาศที่คึกคักนี้ เยี่ยนซีเหวินรู้สึกว่าตนได้ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่เขายังอยู่ในจินหลิง ในเวลานั้นนโยบายการค้าและการเกษตรได้ดำเนินการอย่างจริงจังในราชวงศ์หยู

ส่งผลให้สถานะของพ่อค้าถูกยกระดับสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อน ราชวงศ์หยูได้สร้างโรงงานใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย นอกจากการปลูกพืชผลของตนเองแล้ว เกษตรกรจำนวนมากยังสามารถหาเงินได้จากการทำงานที่โรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย

ตอนนั้นผู้คนต่างก็มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งยังเอ่ยว่านี่คือความหวังของอนาคตอันสงบสุข

ทว่าบัดนี้กลายเป็นประเทศต้าเซี่ยไปแล้ว

หมายความว่าเกือบครึ่งปีแล้วที่ราชวงศ์หยูล่มสลาย

แท้ที่จริงเวลายังผ่านไปมินานเท่าใดนัก ทว่าผู้คนดูเหมือนจะลืมเลือนราชวงศ์หยูที่ดำรงอยู่มานานกว่าสองร้อยปีไปเสียแล้ว และดูเหมือนจะยอมรับสถานะใหม่ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

เยี่ยนซีเหวินหวนนึกถึงคำเอ่ยของท่านปู่ขึ้นมา

“สำหรับราษฎร…การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์หรือการเปลี่ยนองค์จักรพรรดิ เป็นเพียงการสนทนาในยามว่างหลังมื้ออาหารเท่านั้น”

“สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลคือผู้ที่อยู่ในระยะ 3 ฉื่อเบื้องหน้ามากกว่า ผู้ใดทำให้พวกเขากินอิ่มโดยมิต้องหิวโหยและผู้ใดสามารถทำให้พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ป้องกันความหนาวเหน็บได้ ผู้นั้นคือจักรพรรดิที่ดี”

“ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ หากยังสามารถทำให้พวกเขามีเงินสัก 2 ตำลึงอยู่ในกระเป๋าได้นานถึงหนึ่งปี พวกเขาก็จะยิ่งบังเกิดความศรัทธาในตัวจักรพรรดิ”

“ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่ามนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานทั้งหมด 5 ระดับ บัดนี้เขาได้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้นแล้ว ซึ่งมีเครื่องนุ่งห่ม, อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ถนนหนทางและความปลอดภัยของราษฎร ดังนั้นเขาจึงได้รับการสนับสนุนจากราษฎรอย่างท่วมท้น ผืนปฐพีของประเทศต้าเซี่ยขยายกว้างออกไปในคราเดียว จึงมีพลเมืองเพิ่มขึ้นสองถึงสามพันล้านคน ทว่ากลับไร้ซึ่งความวุ่นวายใดเกิดขึ้น นี่ถือเป็นความสามารถของเขาเลยทีเดียว”

“ผู้ที่มีความแค้นเคืองต่อเขาจริง ๆ คือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในอดีต ล้วนเป็นเหล่าขุนนางเก่าแก่ที่ถูกเขาไล่ออก เมื่อยามที่เริ่มสถาปนาประเทศต้าเซี่ย”

“คนเช่นนี้มีมิมากนักหรอก สิ่งที่เขาต้องทำคือทำให้ผู้คนส่วนมากมีรากฐานที่มั่นคง ราษฎรส่วนใหญ่ในประเทศต้าเซี่ยประกอบอาชีพอันใดเล่า ? พวกเขาล้วนเป็นเกษตรกร พ่อค้า บัณฑิตและช่างฝีมือ ทว่ามิใช่ขุนนางอย่างแน่นอน”

เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจยาวพลางครุ่นคิดว่า เจ้าหมอนี่ช่างเฉียบขาดมากยิ่งนักในการรวบรวมผืนปฐพีของห้าแคว้นให้เป็นหนี่งเดียว เขามิได้ทำการประจบประแจงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายหรือตระกูลผู้มีอำนาจในแคว้นต่าง ๆ จากอดีต เขาใช้เพียงนโยบายผลักดันด้านการเกษตร ส่งเสริมธุรกิจให้มั่นคงและเริ่มสร้างโรงเรียนเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่ราษฎร

ดังนั้นท่านปู่จึงเอ่ยว่าประเทศต้าเซี่ยมีนโยบายเช่นนี้ดีมากยิ่งนัก เพราะหากราชวงศ์หยูยังเหมือนแต่ก่อนก็เกรงว่าบัดนี้ชาวหยูจะยังมีชีวิตที่ทุกข์ยากดังเดิม

ท่านปู่ยังเอ่ยอีกว่าหยูเวิ่นเต้ามีสติปัญญาที่เฉียบคมยิ่ง

เขาจำต้องเป็นฝ่ายรุกแล้วหันคมดาบไปหาราชวงศ์อู๋ ในความเป็นจริงคือเขาพยายามหาทางออกให้แก่ราชวงศ์หยูด้วยวิธีที่มิมีผู้ใดในใต้หล้าสามารถคิดขึ้นมาได้

ราชวงศ์หยูล่มสลายลงไปแล้ว ทว่าชาวหยูกลับได้รับชีวิตใหม่

เยี่ยนซีเหวินมิได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากนัก

ที่หยูเวิ่นเต้าจำเป็นต้องหันคมดาบไปยังราชวงศ์อู๋ก็เพราะถูกบีบบังคับจากมาตรการทางการค้าของฟู่เสี่ยวกวนต่างหาก

เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดมาตลอดการเดินทาง และในที่สุดรถม้าก็ได้มาจอดอยู่หน้าหอซื่อฟาง

ปีนี้มีผู้คนกลับมายังจินหลิงเป็นจำนวนมาก

ฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุน ชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียน ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ หวงเฉิง จัวหลิวหวิน ซังเหลียงและคนอื่น ๆ อีกมากมาย

ด้านฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุน จัวหลิวหวิน ซังเหลียงและตัวเขาล้วนเป็นเต้าถายของประเทศต้าเซี่ย

ส่วนชืออีหมิงและคนอื่น ๆ เป็นเต้าถายบ้างจือโจวบ้างของประเทศต้าเซี่ยเช่นกัน ในที่สุดก็ได้เดินออกจากเงามืดของอดีตเสียที บัดนี้พวกเขาได้ก้าวเข้าไปในอนาคตที่หาขอบเขตมิได้

จัวหลิวหวินเป็นเจ้ามือในวันนี้

ในอดีตเยี่ยนซีเหวินเป็นจือโจวที่หลินเจียงและเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจัวหลิวหวินยามอยู่ในราชสำนักมาบ้าง

อีกฝ่ายใช้ฐานะผู้ใกล้ชิดองค์รัชทายาททะยานขึ้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาด้านการเมืองในชั่วพริบตา เขาใต่เต้าไปถึงตำแหน่งสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว

เยี่ยนซีเหวินมิรู้ว่าในความเป็นจริงจัวหลิวหวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการชุนเหลยเยี่ยงไรบ้าง เขายังกังวลว่าหากฟู่เสี่ยวกวนรวบรวมประเทศต้าเซี่ยให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วก็จะสังหารจัวหลิวหวินในภายหลัง ทว่าผลที่ได้คือฟู่เสี่ยวกวนให้เขาไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญเช่นกัน

เมื่อคืนท่านปู่เอ่ยถึงจัวหลิวหวินและเอ่ยถึงขุนนางในปัจจุบันของประเทศต้าเซี่ยโดยให้ข้อคิดเห็นที่เรียบง่ายว่า ‘มีความคิด มีความสามารถ และมีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่ควบคุมได้’

การมองขาดเยี่ยงนี้จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตที่สูงมากยิ่งนัก แน่นอนว่ามีเยาวชนมิมากที่จะประเมินได้เยี่ยงท่านปู่

ทว่าผู้ที่มีนามว่าหยุนซีเหยียนและกงซุนเซ่อสามารถประเมินได้

จะมีการเรียกรวมตัวเต้าถายของประเทศต้าเซี่ยในวันที่สอง เดือนสองของปีหน้าที่เมืองกวนหยุนเพื่อร่วมประชุมเชิงเศรษฐกิจแห่งประเทศต้าเซี่ยครั้งที่หนึ่ง… ชื่อที่เขาตั้งมักมีความแปลกประหลาดอยู่เสมอ ทว่าความหมายก็ชัดแจ้งและตรงตัวดี

เขาต้องการยกระดับการทำงานด้านเศรษฐกิจของประเทศในหน่วยราชการให้ดีขึ้น ท่านปู่เอ่ยว่าบางทีเขาอาจจะกำลังทดสอบความเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดินของเต้าถายทุกคนอยู่ก็เป็นได้

ท่านปู่ยังเอ่ยอีกว่านี่มิใช่เรื่องเล่น ๆ วันจัดงานคือวันขึ้นสองค่ำเดือนสองถือเป็นวันที่มังกรยักษ์ตัวนี้จะทะยานสู้ท้องนภาและทำให้ประเทศต้าเซี่ยเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เยี่ยนซีเหวินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “พี่เยี่ยน… ! ”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง เบะปากแล้วยกยิ้มขึ้น

จัวหลิวหวินยืนต้อนรับเขาอยู่ที่ชั้นล่างของหอซื่อฟาง

จัวหลิวหวินเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “พี่เยี่ยน…ตั้งแต่อำลากันที่เขตเหยาก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว เรื่องคำขอบคุณพวกเราอย่าเอ่ยถึงอีกเลย แต่เรื่องนี้ข้าขอจดจำเอาไว้ในจิตใจตลอดไป”

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะร่าออกมาทันใด “เจ้าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ในตอนนั้นฝ่าบาทช่างมีสายพระเนตรที่แหลมคมมากยิ่งนัก”

“เจ้าว่าในตอนนั้น หากมิใช่เพราะประจวบเหมาะกับตอนที่ฝ่าบาทเดินทางมายังเขตเหยาพอดี เจ้าคงจะละทิ้งงานราชการแล้วไปทำกิจการค้าขายแล้วใช่หรือไม่ ? บางทีอาจจะมีพ่อค้ารายใหญ่ปรากฏขึ้นที่จินหลิง ทว่าประเทศต้าเซี่ยต้องขาดเต้าถายไปหนึ่งคน ! ”

ประโยคนี้เอ่ยได้ดียิ่ง จัวหลิวหวินหัวเราะออกมาเสียงดัง ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “พี่เยี่ยน…ดังนั้นข้าจึงมักจะคิดอยู่เสมอว่านี่คงเป็นโชคชะตาที่ถูกลิขิตมาแล้ว ด้านนอกนี้อากาศหนาวเย็นมากยิ่งนัก พี่เยี่ยนเชิญด้านในเถิด”

“น้องจัวเชิญ ! ”

ทั้งสองเดินมาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสองของหอซื่อฟาง เยี่ยนซีเหวินเพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง

เขารู้สึกเกรงใจจึงทำความเคารพไปหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยมาช้าไปหน่อย ประเดี๋ยวจะลงโทษตนเองโดยการดื่มสามจอก ! ”

ทุกคนพากันหัวเราะออกมาเสียงดัง เป็นเวลานานแล้วที่มิได้เห็นบรรยากาศเปี่ยมสุขเยี่ยงนี้

บัดนี้พวกเขามีความสุขออกมาจากใจจริง

เดิมทีฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนเป็นเต้าถายและบัดนี้ก็ยังคงเป็นเต้าถายอยู่ ทว่าใบหน้าของทั้งสองก็ได้หวนคืนรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

เพราะพวกเขามีสถานที่ให้แสดงความสามารถและสติปัญญา นี่คือการปลดปล่อยความกล้าคิดกล้าทำอย่างเต็มที่

มีผู้คนนั่งรอบโต๊ะกลมขนาดใหญ่นี้ 13 คน มีสุราซีซานเทียนฉุนอีกทั้งอาหารรสเลิศอยู่เต็มโต๊ะ

“พี่หลิวหวิน ท่านช่างร่ำรวยเสียจริง อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนี้มีค่าเท่ากับเบี้ยหวัดครึ่งเดือนเลยทีเดียว ! ” อันลิ่วเย่เอ่ยหยอกล้อออกมา

เยี่ยนซีเหวิน จัวหลิวหวินและทุกคนต่างก็เป็นสหายร่วมสำนักเดียวกัน บัดนี้พวกเขาได้วางสถานะของตนเองเอาไว้ด้านหลัง แล้วร่วมร่ำสุรากับสหายร่วมชั้นเรียน

จัวหลิวหวินเปิดขวดสุราออก ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าคงยังมิทราบว่าถนนจิงหูเป่ยนั้นเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ และก่อนที่ข้าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในช่วงปลายปีนี้ ก็มีลาภก้อนโตหล่นลงมาจากท้องนภา”