ตอนที่ 998 นัดรวมตัว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 998 นัดรวมตัว

จัวหลิวหวินจ้องมองทุกคนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“พวกเจ้าทราบข่าวนี้หรือไม่ ? มีบริษัทผลิตอาหารจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) กับบริษัทผลิตและจำหน่ายสิ่งทอจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มาเจราจากับข้าเรื่องการลงทุนทำธุรกิจ”

ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน จัวหลิวหวินก็ได้หัวเราะร่าออกมา จากนั้นก็ชูนิ้วขึ้นสี่นิ้ว “พวกเขาตั้งใจจะลงทุนในช่วงแรก 40 ล้านตำลึง ! และหลังปีใหม่จะเริ่มลงพื้นที่ทันที ! ”

ฉินโม่เหวินจ้องมองใบหน้าของจัวหลิวหวินอย่างเป็นกังวล “นี่ถือเป็นความโชคดีของเจ้า ทว่าบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน)… คือบริษัทของผู้ใดกัน ? การลงทุนมากมายถึงเพียงนี้เจ้าต้องระวังให้มาก นี่จะเป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่ ? ”

จัวหลิวหวินรินสุราให้ทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ตอนแรกข้าก็กังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน จึงได้เดินทางไปตรวจสอบข้อมูลของบริษัททั้งสองที่สำนักงานการค้าโดยตรง หลังจากได้ทราบเรื่องก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด”

“กลุ่มการค้านี้จดทะเบียนกับกรมการค้าที่เมืองกวนหยุน รวมเงินทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 190 ล้านตำลึง ! ”

ทุกคนพากันถอนหายใจ “เฮ้อ…” ออกมา จำนวนเงินทั้งหมดที่จัดสรรโดยกรมคลังของราชสำนักกลางไปยังมณฑลต่าง ๆ ของประเทศในปีนี้มีเพียง 300 ล้านตำลึงเท่านั้น ทว่าทุนจดทะเบียนของคนกลุ่มนี้กลับมากถึง 190 ล้านตำลึง !

ช่างร่ำรวยมากยิ่งนัก !

แววตาของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาทันใด หนิงหยู่ชุนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เขตการปกครองของเจ้าแบ่งมาได้เพียง 40 ล้านตำลึง ยังมีเงินทุนเหลืออยู่ 150 ล้านตำลึงใช่หรือไม่ ? ผู้รับผิดชอบของพวกเขาเป็นผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จัวหลิวหวินหันกลับมาแล้วรินสุราให้กับทุกคนอีกครา “บริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มีบริษัทในเครือเพียง 8 บริษัทเท่านั้น พวกเขามาลงทุนจัดตั้งโรงงานในพื้นที่ของข้าเพียงสองบริษัท ผู้รับผิดชอบบริษัทผลิตอาหารมีนามว่าจางเหวย อายุราว 40 ปี รุ่นราวคราวเดียวกันกับผู้ที่มีนามว่าหลี่เซินซึ่งรับผิดชอบบริษัทสิ่งทอ”

“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าของบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยทั้งสองแห่งนี้เป็นผู้ใด จึงได้ไปสืบมาเล็กน้อย พวกเขาเอ่ยว่าเจ้าของบริษัทมีนามว่าสวี่จินเฟิ่ง พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อนี้หรือไม่ ? ”

ทุกคนส่ายศีรษะไปมา เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่พลางขมวดคิ้วมุ่น “เงินทุนมากมายถึงเพียงนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับตระกูลการค้าใหญ่เยี่ยงห้าตระกูลในอดีต เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินนามนี้มาก่อนเลยเล่า ? ”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นตระกูลผู้มีอำนาจของอดีตแคว้นฝาน ? ”

“แต่ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าที่แคว้นฝานมีตระกูลผู้มีอำนาจแซ่สวี่อยู่ด้วย”

“เรื่องนี้แปลกมากยิ่งนัก ผู้ที่สามารถจ่ายเงินสดจำนวน 200 ล้านออกมาได้…จะเป็นผู้ใดในต้าเซี่ยกันนะ ? ”

“ข้าว่าสิ่งนี้มิใช่เรื่องสำคัญเพราะเรื่องสำคัญก็คือยังมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ อยู่ภายใต้บริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยอีกหลายแห่งมิใช่หรือ ? และพวกเราจะสามารถเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพวกเขาได้เยี่ยงไร ? ”

“ใช่ ! คำเอ่ยของพี่ฉินคือเป้าหมายโดยตรง พี่จัวโปรดเอ่ยตามจริงเถิด”

จัวหลิวหวินนั่งลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้จะปกปิดเรื่องนี้ไว้จริง ๆ ทว่าผู้รับผิดชอบทั้งสองเอ่ยว่าบริษัทของพวกเขาจะเลือกสถานที่ตั้งด้วยตนเอง ถ้าผ่านการคัดเลือกพวกเขาจะติดต่อไปยังหน่วยราชการระดับท้องถิ่น”

“ส่วนบริษัทที่เหลืออีกหกแห่งครอบคลุมในส่วนของยา ติดตั้งสรรพาวุธ น้ำหอม องครักษ์ อสังหาริมทรัพย์และการขนส่งทางเรือ”

เมื่อฉินโม่เหวินได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ติดตั้งสรรพาวุธเยี่ยงนั้นหรือ ? แม้ว่าเอกชนจะสามารถผลิตอาวุธได้ ทว่าจะเทียบกับกรมสรรพาวุธของประเทศได้หรือ ? นอกเสียจากว่าพวกเขามีความสามารถด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาที่ดีกว่า… และอสังหาริมทรัพย์ อ้อ ! มีเขตสลัมที่จินหลิงกำลังก่อสร้างอาคารบ้านเรือนอยู่มิใช่หรือ ? ได้ข่าวว่าบ้านเรือนเหล่านั้นขายหมด ก่อนที่มันจะถูกสร้างขึ้นด้วยซ้ำและนั่นคือที่ดินของเขา ! ”

ที่ดินของเขา… เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายได้ทันที

ในอดีตฟู่เสี่ยวกวนพาทุกคนในเขตสลัมไปก่อสร้างเรือนหนานซาน บัดนี้ผู้คนเหล่านั้นเป็นคนงานของโรงงานและได้พักอาศัยอยู่ที่ภูเขาหนานซานทั้งหมดแล้ว

ในตอนนั้นเลื่องลือกันว่ามีคนกว้านซื้อโฉนดที่ดินในเขตสลัมไปเกือบทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเขาที่ซื้อมันไป

ตัวเขาอยู่ที่เมืองกวนหยุน ทว่ามาสร้างอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่จินหลิง…จักรพรรดิผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก !

จักรพรรดิ…หนิงหยู่ชุนตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “หรือว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยเหล่านี้กัน ? ”

ทุกคนล้วนตื่นตกใจกันมากยิ่งนัก ชืออีหมิงพึมพำเบา ๆ ว่า “เขามีพรสวรรค์และความสามารถที่ยอดเยี่ยมในด้านการค้า ทั้งยังสามารถหาเงินได้มากมายถึงเพียงนี้…เกรงว่าจะเป็นเขาที่ก่อตั้งขึ้นมา”

จัวหลิวหวินหัวเราะแล้วโบกมือไปมา “เป็นไปมิได้หรอก ! เขามักจะเน้นย้ำและตักเตือนคราแล้วคราเล่าว่ามิให้เชื้อพระวงศ์ทำธุรกิจในนามของราชวงศ์ นอกจากนี้…เงินคงคลังของประเทศก็ได้นำมาสนับสนุนแต่ละมณฑลจำนวนมหาศาล ที่มีเงินมาแก้ปัญหาก็เพราะท่านแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนออกทะเลไปปล้นมาให้เขา แล้วเขาจะมีเงินมากมายถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร ? ”

“จำนวนเงินที่เขาหามาได้รวมกับทรัพย์สินที่เคยขายไปยามที่ออกจากจินหลิง อย่างมากสุดก็มิเกิน 100 ล้านตำลึง”

“เขายุ่งอยู่กับประเทศชาติมานานหลายปี พวกเจ้าเคยได้ยินว่าเขายังทำการค้าขายอยู่หรือไม่เล่า ? ”

เมื่อทุกคนคิดตาม จึงพบว่าจัวหลิวหวินเอ่ยได้ถูกต้อง

เขาคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ มิจำเป็นต้องไปทำการค้าขายอีกต่อไปแล้ว

เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องลึกลับและทำให้ทุกคนสนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที

หากเป็นไปได้ก็อยากรับหน้าที่ในการดูแลบริษัทสักแห่งของจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ป นั่นคงเป็นความสำเร็จที่แสนโดดเด่นและคงจะนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมายมหาศาล

น่าเสียดาย ผู้ที่มีเงินมากก็มีอิทธิพลมาก บัดนี้พวกนั้นก็กำลังเลือกสถานที่อยู่ พวกตนก็ทำได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น

จัวหลิวหวินชูจอกสุราขึ้นแล้วเอ่ยว่า “มา ๆ ๆ ปีนี้กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนปีหน้า…พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่าปีหน้าคือรัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หนึ่ง ! สุราจอกนี้ขอดื่มให้เรื่องราวในปีที่ผ่านมาและต่อจากนี้ไปก็มิควรนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีก พวกเราต้องมองแล้วก้าวไปข้างหน้า ! ”

“ชน ! ”

“ชน ! ”

ทุกคนชูจอกสุราขึ้นเพื่อดื่มให้แก่เรื่องราวในอดีตที่ล่วงเลยและกาลเวลาที่มิอาจหวนคืนมาได้อีก รวมถึงราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน

“จากที่ข้ารู้จักฝ่าบาทมา ในวันที่สอง เดือนสองปีหน้า ณ เมืองกวนหยุน นี่จะเป็นการประชุมเชิงเศรษฐกิจแห่งประเทศต้าเซี่ยครั้งที่หนึ่ง ย่อมมิมีคำว่าธรรมดาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พี่ชายน้องชายทุกท่าน แม้ว่าจะมีคนที่มิได้เข้าร่วมในครานี้ แต่ข้าคิดว่า…พวกเจ้าควรชี้แจงผลการดำเนินงานในแต่ละพื้นที่ให้แก่เต้าถายของพวกเจ้าเมื่อราชการเปิดทำการแล้ว”

จัวหลิวหวินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก “ข้ามิได้ทำเพื่อให้เป็นจุดเด่นใต้หมวกผ้าแพรดำนี้หรอก แต่เพราะการประชุมเชิงเศรษฐกิจแห่งประเทศต้าเซี่ยคราที่หนึ่งย่อมแฝงไว้ด้วยความหมายมากมาย”

“เมื่อมีคราแรกก็ต้องมีคราที่สองและสามตามมาอีกนับมิถ้วน เกรงว่านี่อาจจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปในอนาคต การประชุมเชิงเศรษฐกิจคือการอภิปรายเพื่อหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศต้าเซี่ย และนอกจากเต้าถายจำนวน 18 ท่านที่ต้องเข้าร่วมแล้ว ยังมีจ่งตู 3 ท่านและผู้ว่าการเขตปกครองตนเองอีก 1 ท่าน รวมถึงขุนนางระดับสูงของกรมคลังและกรมการค้าอีกด้วย”

“สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าการประชุมใหญ่ครานี้สำคัญต่อฝ่าบาทมากยิ่งนัก ตามความคิดของข้าแล้วมีอยู่สองความหมาย หนึ่งคือการทดสอบวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจของเต้าถายทั้งสิบแปดท่าน สองคือการรวบรวมสติปัญญาของทุกคนในที่ประชุมเพื่อค้นหาเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจของต้าเซี่ยต่อไป”

“ดังนั้นข้าเอ่ยมากเกินไปแล้ว แต่ก็หวังว่าทุกคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มกันสักจอกเถิด”

หลังจากดื่มเข้าไปอีกหนึ่งจอก ฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ก็ได้จดจำคำเอ่ยของจัวหลิวหวินไว้ในใจ

แน่นอนว่าพวกเขาให้ความสำคัญต่อราชโองการที่ได้รับก่อนหน้านี้อยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิมอีก

จากนั้นทุกคนก็เริ่มประพันธ์บทกวีหรือโคลงกลอนตามประสา ผู้คนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพียงแต่ว่ามิมีผู้ใดกล้าออกมาเขียนบทกวีในช่วงท้ายของงานเลย… เพราะหลังจากฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์บทกวีต่าง ๆ ขึ้นมาก็มิมีผู้ใดกล้าประพันธ์อีกเลย

“อ้อ ! ได้ข่าวว่าหงซิ่วจาวเปิดกิจการแล้วใช่หรือไม่ ? คืนนี้พวกเราไปฟังการบรรเลงดนตรีที่หงซิ่วจาวดีหรือไม่ ? ” เยี่ยนซีเหวินเอ่ยถามออกมา

“นี่…” หนิงหยู่ชุนลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “หงซิ่วจาวเปิดให้บริการแล้วก็จริง ทว่าบัดนี้มีหยูเวิ่นเทียนเป็นผู้ดูแลอยู่ พวกเจ้ายังอยากไปอยู่หรือไม่ ? ”

เรื่องตัวตนที่แท้จริงของหยูเวิ่นเทียนค่อนข้างละเอียดอ่อนอยู่บ้าง ฉินโม่เหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ไปเถิด…อย่างน้อยเขาก็เป็นพี่ชายคนโตของจักรพรรดินี ! ”