ตอนที่ 999 ไร้ซึ่งคำกล่าวเมื่อพบเจอ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 999 ไร้ซึ่งคำกล่าวเมื่อพบเจอ

ณ หงซิ่วจาว

เยี่ยนซีเหวินยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวายพลางจ้องมองเรือลำใหม่ที่ถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ซึ่งบัดนี้จอดอยู่เลียบชายฝั่ง เรือลำนี้ยังคงสภาพความเป็นหงซิ่วจาวอยู่หรือไม่ ?

เหตุการณ์ผันแปรไปตามกาลเวลา เมื่อมิมีอาจารย์หูฉินคอยควบคุมดูแลอยู่แล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ไร้ซึ่งจิตวิญญาณของหงซิ่วจาวอย่างแท้จริง

จัวหลิวหวินเมากรึ่มมาจากหอซื่อฟางแล้ว เขาหดคอลงในเสื้อเพราะลมหนาวจากหิมะบริเวณแม่น้ำฉินหวายค่อนข้างรุนแรง จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “จำเพลงคิ้วแข็งโค้งได้หรือไม่ ? บทเพลงที่เขาปรับแก้ให้กับหลิ่วเยียนเอ๋อร์”

เยี่ยนซีเหวินจำบทเพลงนี้ได้ดีเพราะตนได้ฝึกร้องเพลงนี้กับสหายสองสามคนที่หงซิ่วจาว เมื่อคราที่ต้องไปเข้ารับตำแหน่งขุนนาง ณ เขตเหยาคราแรก เมื่อฤดูใบไม้ร่วงของรัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบเก้า

เขาได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่หงซิ่วจาวอีกคราและฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เปลี่ยนเนื้อเพลงนี้ โดยให้หลิ่วเยียนเอ๋อร์เป็นผู้ขับร้องเพลงคิ้วแข็งโค้ง

“ในตอนนั้นมีฟางเหวินซิง จางเหวินฮั่น โจวเทียนโย่ว อันลิ่วเย่และคนอื่น ๆ อ้อ ! บัดนี้จางเหวินฮั่นโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จัวหลิวหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เขาอยู่ภายใต้การดูแลของพี่โม่เหวินในตำแหน่งจือโจวแห่งซินโจวของจิงซีเป่ยเต้า”

“แล้วโจวเทียนโยว่เล่า ? ”

“ดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การดูแลของเต้าถายหนิงหยู่ชุน”

“อือ…ดูเหมือนว่าสหายร่วมสำนักศึกษาในตอนนั้น ล้วนมีความสามารถมากเลยทีเดียว”

จัวหลิวหวินแบะปากแล้วยกยิ้มขึ้น “มิว่าเยี่ยงไรเขาก็มิใช่ผู้ที่ความจำเลอะเลือน เขายังจำเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี”

ใช่ ! เขาจำเรื่องราวเหล่านั้นได้

เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจยาวออกมา พลางเอ่ยว่า “น้องจัว…เขาอยู่ในเมืองกวนหยุนจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ ? ”

จัวหลิวหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เมื่อขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแล้ว จะมีสักกี่พระองค์ที่มิรู้สึกโดดเดี่ยว ? ”

ดังนั้นเขาจึงใฝ่ฝันอยากเป็นเพียงนายน้อยเศรษฐีที่ดินเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะเยาะตนเองแล้วส่ายศีรษะ “ขึ้นไปบนเรือกันเถิด…เกรงว่าพวกเขาคงมาถึงกันหมดแล้ว”

ทั้งสองเดินขึ้นไปบนเรือหงซิ่วจาว จากนั้นก็เดินตามสาวน้อยฝ่ายต้อนรับขึ้นไปยังชั้นสอง และก็เป็นไปตามคาด พวกเขาได้ยินเสียงการพนันดื่มสุราของฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ดังมาจากด้านใน

มีร่มขนาดใหญ่กางเอาไว้บนคาดฟ้าเรือชั้นสอง ปรากฏคนสองคนนั่งอยู่ใต้ร่มที่กางเอาไว้

เยี่ยนซีเหวินจ้องมองไปยังสองคนนั้น…ซึ่งก็คือหยูซูหรงองค์หญิงใหญ่และหยูเวิ่นเทียนอดีตองค์ชายใหญ่

เขาเดินเข้าไปทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หยูเวิ่นเทียนหันไปด้านข้าง ส่วนหยูซูหรงรับคำนับนี้เอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนซีเหวิน ทว่าสายตาของนางกลับจดจ้องไปยังใบหน้าของจัวหลิวหวิน

“วิธีของใต้เท้าจัวช่างดีมากยิ่งนัก ! ”

“องค์หญิงตรัสชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

คำทักทายของทั้งสองคนจบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เยี่ยนซีเหวินที่ได้ยินดังนั้น ตื่นตกใจขึ้นมาทันใดเพราะมิเข้าใจในความหมายเอาเสียเลย

หยูเวิ่นเทียนก็มิเข้าใจเช่นกัน ทว่าก็มิได้เอ่ยถามอันใดออกไป เพราะบัดนี้เขาสนใจเพียงแค่กิจการหงซิ่วจาวเท่านั้น

“โม่เหวินและคนอื่น ๆ ล้วนมาถึงแล้ว เชิญพวกเจ้าขึ้นไปเถิด”

เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับองค์หญิงใหญ่และอดีตองค์ชายใหญ่อย่างช้า ๆ “มิต้องรีบหรอก นั่งรับลมเย็น ๆ ก่อนเถิด จะได้หายเมา”

เมื่อจัวหลิวหวินได้ยินดังนั้น จึงนั่งลงทันที

เยี่ยนซีเหวินจ้องมองไปที่หยูเวิ่นเทียนแล้วเอ่ยถามว่า “กิจการเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ก็มิเลว…แขกที่มาอุดหนุนส่วนใหญ่ล้วนเป็นสหายเก่าแก่”

“ท่าน…มิควรเดินบนเส้นทางนี้เลย”

หยูเวิ่นเทียนแสยะยิ้ม “ใช่ ! ข้ามิควรเดินบนเส้นทางนี้ แต่ก่อนข้าตั้งใจว่าจะเฝ้าพิทักษ์รักษาชายแดนของราชวงศ์หยูด้วยชีวิต ทว่าบัดนี้ราชวงศ์หยูสูญสลายไปแล้ว ข้ายังต้องเฝ้ารักษาสิ่งใดอีกเล่า ? ที่อยู่อาศัยก็ตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว สู้ถอยกลับมาเป็นสามีและบิดาที่ดีของลูกมิดีกว่าหรือ ? ตอนนี้ข้ารู้สึกมั่นคงและในใจก็รู้สึกเบิกบานมากยิ่งนัก”

“อาจจะเป็นเช่นนั้น” จากนั้นสายตาของเยี่ยนซีเหวินก็หันไปสำรวจเรือที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มีโคมไฟส่องสว่างมากมายลอยอยู่บนแม่น้ำฉินหวายเหมือนในอดีต “แท้ที่จริงแล้ว…มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย”

“ไม่หรอก ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว กิจการเรือที่ประดับประดาอย่างสวยงามในแม่น้ำฉินหวายของปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมากยิ่งนัก”

“สถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

“ใช่ ! กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

“ผืนปฐพีของประเทศต้าเซี่ยขยายวงกว้างมากขึ้นและด้วยความสามารถของท่านแล้วมิควรมาเสียเวลาอยู่ที่นี่”

หยูเวิ่นเทียนทำหน้าอมทุกข์ นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เขาส่งจดหมายมาถึงข้าสองฉบับ แต่ข้ามิรู้ว่าจะตอบกลับเยี่ยงไรดี ข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์หยูในอดีต เขามิได้สังหารข้าทิ้ง ทั้งยังจะมอบหมายงานให้แก่ข้าอีก สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากยิ่งนัก”

หยูเวิ่นเทียนสูดหายใจเข้าลึก “แต่เยี่ยงไรเสียข้าก็เป็นราชนิกุลของราชวงศ์หยู จึงรู้สึกมิค่อยสบายใจ หากต้องไปเฝ้ารักษาดินแดนให้กับเขา ข้าถึงได้เลือกมาเปิดกิจการหงซิ่วจาว บางทีเขาอาจจะเดินทางกลับมายังจินหลิงอีกครา เช่นนั้นข้าก็จะสามารถดื่มสุรากับเขาสักจอกที่หงซิ่วจาวได้ด้วย”

เยี่ยนซีเหวินมิอาจโน้มน้าวความคิดของอีกฝ่ายได้ เขาจึงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมาว่า “ท่านสามารถทำกิจการอย่างอื่นได้”

“ช่างเถิด…ข้ามิได้ถนัดด้านการค้าขาย”

“แล้วพี่สะใภ้อยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ดูแลบุตรอยู่ที่จวน”

“ท่านชอบชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ ? ”

หยูเวิ่นเทียนมิได้ตอบ เขาเพียงมองไปยังแม่น้ำฉินหวายอันไกลโพ้นพลางครุ่นคิดในใจว่า… ข้ามีความสุขกับชีวิตเช่นนี้หรือไม่ ?

ในยุคสมัยที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยมหาอำนาจนี้ การบรรลุอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่เพื่อความก้าวหน้าของหน้าที่การงานคือเป้าหมายของทุกคน ทว่าข้ากลับมาทำกิจการเรือสำราญที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที

บุรุษเยี่ยงข้าถือดาบมาตลอดชีวิต ทว่าบัดนี้กลับต้องมาเปิดกิจการเรือที่ประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงาม… เขาหัวเราะเยาะตนเองพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าขึ้นไปเถิด อย่าให้โม่เหวินต้องรอเลย”

“ได้ ! ประเดี๋ยวท่านก็ขึ้นมาดื่มสักจอกเถิด”

“ได้ ! ”

……

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลือกเดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน ในความคิดของเยี่ยนซีเหวิน… หยูเวิ่นเทียนเป็นผู้ที่ปรารถนาการได้อยู่ในสนามรบ

น่าเสียดายที่เขาต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่บนเรือลำนี้แทน

เรือหงซิ่วจาวแล่นไปช้า ๆ ตามแม่น้ำฉินหวายและยังมีเสียงบรรเลงฉินเพลงคิ้วแข็งโค้งดังขึ้นมา

เสียงคร่ำครวญเพียงหนึ่งเสียงที่ไร้ประโยชน์

ความพะวงนอบน้อมนั้นสูญเปล่า

ดวงจันทร์หนึ่งดวงลอยอยู่ในแม่น้ำ

บุปผาหนึ่งกิ่งสะท้อนในกระจก

……

ในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง

หิมะตกหนักในเมืองกวนหยุนและได้หยุดลง ท้องนภายามราตรีเต็มไปด้วยดวงดาราส่องสว่างเจิดจ้า

ณ หัวสะพานต้วนสุ่ย มีลานเล็กและมีเรือนหนึ่งตั้งอยู่ที่นั่น บัดนี้ได้ปรากฏแสงไฟจากตะเกียงสลัว

เถิงหยวนจี้เซียงนั่งอยู่ข้างเตาผิงในห้องพักปีกตะวันตกของลานแห่งนี้

นางกำลังดูหนังสือที่รวบรวมและวิเคราะท่วงทำนองบทเพลงคิ้วแข็งโค้งอยู่

ริมฝีปากเล็ก ๆ ของนางฮัมเพลงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเมื่อคิดว่าพร้อมแล้วก็หยิบฉินขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ เตาผิง

นางวางมือลงที่สายฉิน เสียงดนตรีดังขึ้น จากนั้นเสียงร้องเพลงอันไพเราะก็ดังตามมา ราวกับว่านางกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งทำนองการร้องเพลง โดยมิทันสังเกตเห็นว่ามีผู้ใดบางคนยืนอยู่หน้าประตู

ฟู่เสี่ยวกวนพาหลิวจิ่นออกจากวังหลวงแล้วเดินทางมาที่นี่อย่างลับ ๆ

เขามิได้ก้าวเข้าไปด้านในเพราะกลัวว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนเสียงบรรเลงอันไพเราะนี้

เสียงร้องของเถิงหยวนจี้เซียงติดขัดอยู่บ้างเล็กหน่อย ทว่าก็ไพเราะกว่าหลิ่วเยียนเอ๋อร์อยู่ดี

อาจเป็นเพราะเสียงนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หรือบางที…อาจจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจของนาง

…หากเอ่ยว่าไร้วาสนาต่อกัน

เหตุใดในชีวิตนี้จึงได้หวนมาพบเจอเขาอีกกัน

หากเอ่ยว่ามีวาสนาต่อกัน

เหตุใดความปรารถนาในจิตใจถึงจางหายไปอย่างไร้ค่า…

พลางคิดว่าจะมีหยาดน้ำตาเสียไปกี่หยด

จะสามารถหยุดยั้งน้ำที่ไหลจากฤดูใบไม้ร่วงไปถึงปลายฤดูหนาวได้เยี่ยงไร

ไหลจากฤดูใบไม้ผลิไปยังฤดูร้อน…

เถิงหยวนจี้เซียงถึงขั้นหลั่งน้ำตาออกมาทันใด

ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันหลังแล้วเดินออกจากลานบ้านทันใด สุดท้ายเขาก็มิได้พบนางเลยสักครา

“นายท่าน พวกเราจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“กลับวัง”

“ขอรับ”

“ประเดี๋ยวก่อน…หลังจากปีใหม่เสร็จสิ้น เจ้าพานางกลับหยวนตงเต้ากับเรือบรรทุกผู้โดยสารเถิด”

เมื่อหลิวจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “นายท่าน…ต่อให้ข้าน้อยตายก็จะมิแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปขอรับ ! ”

“มิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดหรอก ! เจ้าเตรียมช่างฝีมือที่รู้วิธีผลิตอาหารกระป๋องให้นางด้วย จงบอกนางว่าให้นำปลาและกุ้งหรืออาหารทะเลมาผลิตเป็นอาหารกระป๋องขายในบ้านเกิดของนาง สินค้าชนิดนี้จะสามารถทำเงินได้มหาศาล”

นี่คือหนทางร่ำรวยที่ฝ่าบาทมอบให้สตรีผู้นี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

“อย่าได้เปิดปากบอกนางว่านี่คือคำสั่งจากข้าเชียว ไปกันเถิด…เรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ ! ”