ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 152 มาด้วยใจที่บริสุทธิ์ (2)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ไทเฮาดูแลเขาเป็นอย่างดีในทุกวัน เห็นท่าป๋าหั่นหลินค่อยๆ ดีขึ้น ก็ดีใจเป็นอย่างมาก 

 

 

วันนี้ ท่าป๋าหั่นหลินลงจากเตียงได้โดยการพยุงลงมา แล้วค่อยๆ เดินไปเดินมาในห้องอย่างช้าๆ  

 

 

พอเห็นลูกชายของตนที่เคยแข็งแรงกำยำ มาวันนี้ได้แต่เดินไปหอบไป ทั้งเหงื่อยังซึมออกมาเต็มหน้าผาก ไทเฮาก็ได้แต่หนักใจ รอให้เขาได้พัก ก็สั่งให้คนไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้เขา มองเขาเช็ดเหงื่อ นั่งลง แล้วพูดการตัดสินใจของตนให้เขาฟัง  

 

 

ตอนที่ท่าป๋าหั่นหลินจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ไทเฮาก็โบกมือบอกเขาว่าไม่ต้องพูด แล้วพูดด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “แม่ได้ตัดสินใจแล้ว เจ้าอย่าได้ดื้อดึงอีกเลย หากเจ้ากล้าอาศัยตอนข้าไม่ระวัง แล้วลากสังขารแบบนี้ไปที่จวนอ๋องฉีล่ะก็ ข้าจะตายให้เจ้าดู” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นจึงจะพูดว่า “เสด็จแม่ขอรับ ความผิดที่ลูกได้เคยทำไว้ไม่เกี่ยวกับท่านเลย ท่านไม่จำเป็นต้องไปแทนข้าเลย ในเมื่อท่านอยากกลับรัฐอิง เดี๋ยวพวกเราก็ออกเดินทางกันเลยก็ได้ขอรับ” 

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นนี้  

 

 

ไทเฮาชะงักไป อยากจะถามอะไร แต่ก็ไม่ได้ถาม ไม่สนใจหรอกว่าเพราะอะไร เขายอมกลับก็ดีมากแล้ว กลับไปแล้ว รักษาตนให้ดีก่อน แล้วค่อยกลับมาก็ยังได้  

 

 

แล้วก็พักไปอีกครึ่งเดือน รู้สึกได้ว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินเอาสัญญาซื้อขายตัวแจกคืนให้กับแม่บ้านและบ่าวรับใช้ แล้วให้เงินคนละสองตำลึง ปล่อยพวกเขาไป ขายจวน แล้วขับรถม้ากลับเมืองหลวงไปด้วยตัวเอง 

 

 

ในที่สุดก็ได้กลับเสียที ไทเฮาโล่งใจ  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินฟาดแซ่ลงไปเบาๆ ให้ม้าวิ่งอย่างช้าๆ หลังจากไอไปหลายที ก็เปิดม่านรถออกแล้วถามไทเฮาว่า “เสด็จแม่ ท่านอยู่แต่ในวังหลวงมานาน ไม่ได้ออกมาเลย ข้าจะใช้โอกาสนี้พาท่านไปเปิดหูเปิดตาดีหรือไม่ขอรับ” 

 

 

พูดจบ ก็ไออีกหลายครั้ง 

 

 

ไทเฮาอยากจะกลับแต่รัฐอิง เพื่อที่จะให้หมอหลวงมารักษาท่าป๋าหั่นหลินให้หายดี แต่พอคิดไปคิดมา บางทีการได้เปิดหูเปิดตา ก็อาจจะทำให้เขาลืมหวงฝู่เย่าเย่ว์ลงบ้างก็ได้ จึงพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ พวกเราแม่ลูกออกเดินทางกัน” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้มาจวนอ๋องฉีหลายวันแล้ว ทุกคนก็เข้าใจว่าเขาคงรักษาตัวอยู่ เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก  

 

 

ผ่านห้าวัน สิบวัน ยี่สิบวัน ท่าป๋าหั่นหลินไม่มา หนึ่งเดือนผ่านไป ก็ไม่มา นายประตูก็เริ่มบ่นในใจ ตามหลักแล้วเวลานี้เขาต้องมาแล้ว เหตุใดยังไม่มากันนะ  

 

 

แต่คนในจวนไม่ได้มีทีท่ารู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น มีก็แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ หากไม่มีใครอยู่ด้วย นางชอบนั่งเหม่ออยู่บ่อยๆ  

 

 

นานวันเข้า มีข่าวว่าท่าป๋าหั่นหลินไปแล้ว จึงขายบ่าวขายจวน แล้วกลับรัฐอิงไปแล้ว 

 

 

เมื่อชาวเมืองได้ยินดังนั้น ก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ 

 

 

บ้างก็ว่า ท่าป๋าหั่นหลินทำถูกแล้ว เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่ควรลดตัวลงมาร้องขอหวงฝู่เย่าเย่ว์เช่นนี้ 

 

 

บ้างก็ว่า ใจที่เขามีให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เท่านั้น ดูสิ นี่เพิ่งจะไม่กี่เดือน เขาก็ไม่ไหวแล้วจากไปอย่างเงียบๆ เสียแล้ว 

 

 

… … 

 

 

ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร คนในจวนอ๋องฉีก็โล่งใจไปตามๆ กัน แม้พวกเขาจะไม่สนใจ แต่มีอะไรขัดอยู่หน้าประตูทุกวันๆ มันก็กระทบต่อจิตใจไม่น้อย 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินดังนั้น ก็เม้มปาก ไม่พูดอะไร เพียงแต่นิ่งไปกว่าแต่ก่อนเสียอีก  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ว่าห้ามใครพูดถึงท่าป๋าหั่นหลินอีก หากได้ยินอีก จะลงโทษโบยให้ตาย  

 

 

และแล้ว คนในจวนก็ไม่มีใครพูดถึงอีก ส่วนชาวเมืองนั้น พอพูดกันไปได้ราวครึ่งเดือน ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีก  

 

 

ตอนนี้ ท่าป๋าหั่นหลินพาไทเฮาไปทุกที่ เดี๋ยวแวะเดี๋ยวหยุด เดินทางมาร้อยกว่าลี้แล้ว 

 

 

ไทเฮามีความสุขมาก ท่าป๋าหั่นหลินกลับซูบผอมลง และยังไออยู่เนืองๆ 

 

 

ไทเฮาเห็นเช่นนั้น ก็เป็นห่วง พอผ่านไปอีกครึ่งเดือน ออกมาจากชายแดนรัฐอู่แล้ว ก็บอกว่า “แม่เหนื่อยแล้ว ไม่อยากไปที่ใดแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า แล้วรีบขับรถม้ากลับเมืองหลวงรัฐอิงไป  

 

 

พอมาถึงหน้าประตูวัง ก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ประตูวังที่สูงตระหง่าน ก็ยิ้มแห้งๆ ออกมา หลังจากนั้นไม่นาน เขาจะอยู่ในนี้ตลอดไป ไม่ไปรบกวนเย่ว์เอ๋อร์อีก  

 

 

ขันทีที่เฝ้าประตูเห็นรถม้ามาที่หน้าประตูวังหลวง ก็รีบจะไปไล่ “ไป… …” 

 

 

พอเห็นว่าเป็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็ตกใจจนต้องคุกเข่าลง “ฝ่าบาท!”  

 

 

คำพูดของเขา ทำให้ขันทีที่เหลือก็ตกใจเช่นกัน แล้วคุกเข่าลงไปตามๆ กัน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหยุดรถม้า หันไปเปิดม่านออก พยุงไทเฮาลงมา แล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูได้รับรายงาน ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ คุกเข่าลงที่พื้น แล้วร้องไห้ออกมาบอกว่า “ฝ่าบาท ในที่สุดท่านก็เสด็จกลับมา” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพูดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ “ลุกขึ้นเถิด” 

 

 

พูดจบ ก็ไออย่างหนักหน่วง  

 

 

“ฝ่าบาท ท่าน… …” 

 

 

ผู้ดูแลตกใจมาก รีบถามขึ้น  

 

 

“ไม่เป็นอะไร เป็นไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น สั่งให้คนนำเกี้ยวมา แล้วส่งไทเฮากลับตำหนัก” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูตอบรับ โบกมือ แล้วก็มีเกี้ยวสองเกี้ยวยกมาแต่ไกลอย่างรวดเร็ว  

 

 

ไทเฮากลับโบกมือ ออกคำสั่งหัวหน้าขันทีฮูว่า “รีบไปตามหัวหน้าหมอหลวงมาเร็วเข้า” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูตอบรับ แล้ววิ่งไปที่โรงหมอหลวงด้วยตนเอง  

 

 

ไทเฮาและท่าป๋าหั่นหลินขึ้นนั่งบนเกี้ยว แล้วมาที่ตำหนักชิงเซวียน 

 

 

ลงเกี้ยวแล้วเข้าไปที่ตำหนักชิงเซวียน อยู่ดีๆ ท่าป๋าหั่นหลินรู้สึกว่าร่างกายของตนหนักอึ้ง ทนไม่ไหว เดินเข้าไปที่เตียงของตนอย่างช้าๆ เสร็จแล้วก็ล้มลงบนเตียงทันที  

 

 

“ฝ่าบาท!”  

 

 

ไทเฮาตกใจ รีบเข้ามา เห็นตาทั้งสองข้างปิดสนิท สีหน้าซีดเซียว ใจก็กระวนกระวาย จนร้องตะโกนออกมาว่า “ตามหมอหลวงมาหรือยัง” 

 

 

ไม่มีเสียงตอบรับ แล้วก็มีขันทีคนหนึ่งกำลังจะวิ่งไปที่โรงหมอหลวง วิ่งออกไปไม่ทันไร ก็เจอกับหัวหน้าขันทีฮูกับหัวหน้าหมอหลวงวิ่งสวนกลับมา  

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นลม!”  

 

 

ขันทีคนนั้นรีบรายงานให้กับหัวหน้าขันทีฮู  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูขาแข้งอ่อนแรง เกือบจะล้มลงไป 

 

 

“เหตุ เหตุใด” 

 

 

“ฝ่าบาทเข้าไปที่ห้องบรรทม เสร็จแล้วก็ล้มฟุบลงไปที่เตียง ไทเฮาเรียกให้หมอหลวงรีบไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

ขันทีคนนั้นพูดออกมาอย่างร้อนรน  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูจึงได้สติ แล้วพาหัวหน้าหมอหลวงไปที่ตำหนักชิงเซวียนอย่างรวดเร็ว  

 

 

หัวหน้าหมอหลวงเคยวิ่งแบบนี้ที่ไหนกัน โดนดึงเสียจนเซ 

 

 

ทั้งสองคนมาถึงตำหนักชิงเซวียนอย่างทุลักทุเล 

 

 

บ่าวรับใช้ในตำหนักชิงเซวียนก็วุ่นวายกันจ้าละหวั่น เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา ก็เหมือนเห็นแสงสว่างอย่างใดอย่างนั้น มองมาทางเดียวกันด้วยสายตาที่เป็นประกาย 

 

 

ทั้งสองคนเดินเข้าไปโดยทันที  

 

 

ไทเฮาเห็นแล้ว ก็ออกคำสั่งว่า “เร็วเข้า ดูสิว่าลูกของข้าเป็นอะไรไป” 

 

 

หัวหน้าหมอหลวงไม่รอช้า รีบเดินไปที่ข้างเตียง คุกเข่าลง เปิดกระเป๋ายาออก หยิบหินวัดชีพจรขึ้นมา ยังไม่ทันได้หายใจ ก็จับชีพจรของท่าป๋าหั่นหลินลงไป  

 

 

พอจับลงไปไม่ทันไร สีหน้าก็เปลี่ยน ชีพจรของฝ่าบาทเบาเสียจนแทบจะไม่มี 

 

 

ไทเฮาเห็นดังนั้น ก็กระวนกระวายใจ  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูก็เช่นกัน ได้แต่มองจ้องไปที่หัวหน้าหมอหลวงตาไม่กระพริบ  

 

 

ในตำหนักชิงเซวียนเงียบสงัด ทุกคนล้วนกำหนดลมหายใจของตนเองจนแทบจะหยุดหายใจ  

 

 

พักแล้ว พักเล่า หมอหลวงถึงปล่อยมือซ้ายของท่าป๋าหั่นหลินออก แล้วจับไปที่มือขวาของเขาอยางระมัดระวัง 

 

 

ประมาณหนึ่งก้านธูป ถึงวางลง แล้วหันหลังมาบอกไทเฮาว่า “ฝ่าบาทใช้ร่างกายเกินกว่าจะรับไหว เกรงว่า… …” 

 

 

“ไร้สาระ!”  

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนไทเฮาพูดแทรก “ฝ่าบาทยังแข็งแรงดี เพียงแค่ตากลมจนเป็นไข้หวัดเท่านั้น หากพวกเจ้ารักษาไม่หายล่ะก็ โรงหมอหลวงของพวกเจ้าไม่รอดแน่” 

 

 

หัวหน้าหมอหลวงตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย ตอนแรกก็มีเหงื่อไหลออกมาท่วมตัวอยู่แล้ว ครานี้ไหลออกมามากกว่าเดิมอีก แล้วจึงคุกเข่าลงกราบลงไปว่า “ไทเฮาโปรดอภัยด้วย กระหม่อมจะรีบระดมหมอหลวงมารักษาฝ่าบาทให้สุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮาพยักหน้า  

 

 

ฝ่าบาทดูท่าจะไม่ไหวแล้ว หัวหน้าขันทีฮูก็ใจหาย ขาแข้งอ่อนแรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวโพลน  

 

 

หัวหน้าหมอลหลวงมองไปที่เขา “หัวหน้าขันทีฮู ท่านโปรดส่งคนไปเรียกหมอหลวงทั้งโรงหมอมาให้หมดด้วยเถิด” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูขาแข้งอ่อนแรง ขยับร่างกายแทบไม่ไหว พยักหน้าแล้วเดินออกจากตำหนักชิงเซวียนไป แล้วให้ขันทีไปประกาศราชโองการที่โรงหมอหลวง 

 

 

เหล่าหมอหลวงได้ยินดังนั้น ก็ตกใจไปตามๆ กัน รีบหยิบกระเป๋ายาของตน แล้วมุ่งหน้าไปที่ตำหนักชิงเซวียน  

 

 

ภาพตรงหน้านี้ บ่าวในวังไม่เคยได้เห็นมาก่อน จนทำให้แต่ละตำหนักต่างออกมาสืบความกันให้จ้าละหวั่น  

 

 

หมอหลวงต่างมากันเป็นจำนวนมาก แล้วทยอยเข้าไปในตำหนักชิงเซวียน แล้วยืนกันอยู่ในนั้น  

 

 

หัวหน้าหมอหลวงตั้งสติ แล้วออกใบสั่งยาบำรุง ส่งให้กับหัวหน้าขันทีฮู  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูให้ขันทีปั๋วไปเอายามาต้ม  

 

 

เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว หัวหน้าผู้ดูแลก็พูดด้วยความนอบน้อมว่า “ไทเฮา หมอหลวงจากโรงหมอหลวงมาหมดแล้ว อนุญาตให้พวกเขาจับชีพจรของฝ่าบาทได้หรือไม่ แล้วพวกเราจะหารือกันเรื่องยารักษาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮานั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่ง พยักหน้าด้วยความเกรงขราม “กลุ่มละห้าคน ผลักกันเข้ามา หากฝ่าบาทไม่ฟื้นก่อนฟ้าสาง พวกเจ้าห้ามกลับเป็นอันขาด” 

 

 

หัวหน้าหมอหลวงเหงื่อแตก ตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วยืนขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก  

 

 

แม้ในลานจะเต็มไปด้วยคน แต่ไม่มีความคึกครื้นเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองไปที่ห้องบรรทม พอเห็นหัวหน้าหมอหลวงออกมา สีหน้าเคร่งขรึม จึงรู้ได้ว่าฮ่องเต้อาการไม่ค่อยดีนัก 

 

 

ไม่ต้องรอให้พวกเขาถาม หัวหน้าก็พูดเลยว่า “เรียงตามลำดับขั้น จัดกลุ่มห้าคน แล้วทยอยเข้ามาจับชีพจรฝ่าบาทตามลำดับ” 

 

 

ทุกคนเริ่มกระวนกระวาย ในโรงหมอหลวงแบ่งเป็นร้อย วันนี้ต้องเข้าจับชีพจรทั้งหมด แสดงว่าอาการของฮ่องเต้ต้องสาหัสมากเป็นแน่ หากพวกเขาช่วยไม่ได้ ก็คงต้องตายทั้งหมด พอคิดได้ดังนั้น เหงื่อก็ไหลออกมาเต็มไปหมด  

 

 

แบ่งกลุ่มเสร็จแล้ว ก็ทยอยกันเข้าไปจับชีพจรท่าป๋าหั่นหลิน  

 

 

แตกตื่นขนาดนี้ คนในวังย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาทเป็นแน่ จึงกระวนกระวายใจไปตามๆ กัน  

 

 

เมิ่งเจี๋ยเองได้รับรายงาน ก็คิ้วขมวด 

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ท่าป๋าหั่นหลินส่งสาสน์ถึงเขา บอกว่า เขาจะพาไทเฮาไปรัฐอู่เพื่อพบเย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเจี๋ยไม่ได้ห้าม หากไม่เป็นเพราะตำแหน่งของตนล่ะก็ เขาคงต่อยหน้าท่าป๋าหั่นหลินนั่นไปนานแล้ว มาวันนี้เขาไปรัฐอู่ก็ดี จะได้โดนจวนอ๋องจัดการเสีย