ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 153 คนกำลังจะตายมักพูดความจริง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

คิดไม่ถึงว่าการไปรัฐอู่ครั้งนี้ ท่าป๋าหั่นหลินจะกลับมาในสภาพเช่นนี้ ครุ่นคิดอยู่นาน เลยตัดสินใจไปวังหลวง เพื่อดูอาการของท่าป๋าหั่นหลิน หากไม่ไหวจริงๆ ล่ะก็ เขาจำเป็นต้องเขียนรายงานหนึ่งเล่มส่งไปให้ฮ่องเต้รัฐอู่  

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ขี่ม้าไปที่วังหลวงทันที  

 

 

จริงๆ แล้วฐานะของเขากับท่าป๋าหั่นหลินนั่งเสมอกันได้ เมื่อขันทีที่คอยเฝ้าหน้าประตูเห็นเขา ก็นอบน้อมเป็นอย่างมาก แล้วรีบให้คนมานำเขาเข้าไป  

 

 

ยังไม่ทันถึงตำหนักชิงเซวียน ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ดูตื่นตระหนก พอเข้าประตูวังไป ก็เห็นคนมากมายจนน่าตกใจ ขมวดคิ้ว แล้วหยุดเดิน  

 

 

ขันทีผู้น้อยเห็นเขาเช่นนั้น จึงพูดกับเขาอย่างนอบน้อมว่า “ท่านรอก่อนขอรับ ข้าจะไปรายงานหัวหน้าขันทีฮูให้” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า  

 

 

ขันทีผู้น้อยวิ่งเข้าไป  

 

 

ไม่นานหัวหน้าขันทีฮูก็ออกมา หลังจากทำความเคารพแล้วเรียบร้อย ก็พูดตามจริงว่า “ฝ่าบาทกลับมาครั้งนี้ ก็สลบไป ไทเฮาเลยรับสั่งให้หมอหลวงทั้งโรงหมอมาตรวจขอรับ” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า “เช่นนั้น ข้าเข้าไปเยี่ยมหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูไม่สามารถตัดสินใจได้ เลยเข้าไปถามไทเฮา แล้วออกมา ทำท่าเชื้อเชิญ “ไทเฮาเชิญท่านเข้าไปขอรับ” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยเดินเข้ามาในห้องบรรทม  

 

 

ภายในห้องบรรทมนั้นบรรยากาศตึงเครียด ไทเฮานั่งอยู่ที่เก้าอี้กวาดสายตามองอย่างตั้งใจ หลังจากหมอหลวงจับชำจรเสร็จ ก็ใจสั่น อีกทั้งไม่กล้ารายงานตามจริง แล้วเดินออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าที่ขาวซีด 

 

 

เมิ่งเจี๋ยเข้าไป ถวายบังคมไทเฮา “ถวายบังคมไทเฮา” 

 

 

ไทเฮายื่นมือออกมา โบกมือ “ผู้แทนเมิ่งไม่ต้องมากพิธีหรอก” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยยืนขึ้น พูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทประชวร จึงเป็นห่วง เลยเข้ามาเยี่ยม หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมาก” 

 

 

ไทเฮานิ่งผิดปกติ “ผู้แทนเมิ่งคิดมากไปแล้ว ท่านมา ข้าก็เหมือนมีที่พึ่งให้พักพิง มิเช่นนั้นข้าคงกระวนกระวายใจน่าดู” 

 

 

นี่เป็นเพียงคำพูดตามบท แต่เมิ่งเจี๋ยก็นอบน้อม แล้วเดินไปที่เตียงท่าป๋าหั่นหลิน  

 

 

พอมอง ก็ตกใจ ท่าป๋าหั่นหลินมาถึงขั้นที่ชีพจรลมปราณอ่อนแรงขนาดนี้แล้วงั้นหรือ หากที่อกของเขาไม่มีการขยับขึ้นลงล่ะก็ คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางออกมา หันกลับไปถามไทเฮาว่า “เหล่าหมอหลวงบอกว่าฝ่าบาทเป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮาก็ไม่รู้ ตอนที่พวกเขาออกจากรัฐอู่มา ท่าป๋าหั่นหลินยังดีๆ อยู่เลย ตอนที่เที่ยวเล่นกันระหว่างทางก็ยังดีๆ อยู่ แต่เหตุใดกลับมาวังหลวง ถึงได้สลบไปเช่นนี้ แต่ก็ทำท่าวางมาดนิ่ง พูดตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนที่ฝ่าบาทอยู่ที่รัฐอู่นั้น ร่างกายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้รักษาให้ดี เลยทำให้เป็นโรคเช่นนี้น่ะ” 

 

 

นางพูดเช่นนั้น เมิ่งเจี๋ยจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ในขณะที่รู้สึกสะใจ ก็รู้สึกว่าจวนอ๋องนั้นลงมือหนักเกินไป อย่างไรเสียท่าป๋าหั่นหลินก็เป็นถึงประมุข หากตายล่ะก็ คนทั้งใต้หล้าจะพูดถึงจวนอ๋องฉีอย่างไรกันเล่า  

 

 

นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากว่า “ฝ่าบาทร่างกายไม่แข็งแรง ที่ข้าทำได้ก็เพียงแต่ช่วยเขาดูงานราชการเท่านั้น เช่นนี้ ข้าขอตัวกลับก่อน หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด สั่งให้คนไปบอกข้าก็พอพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮาพยักหน้า “ขอบคุณผู้แทนเมิ่ง” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยไม่กล้าพูดอะไรอีก ออกจากห้องบรรทม โดยมีขันทีผู้น้อยนำออกมา  

 

 

ขันทีผู้น้อยนอบน้อมที่สุด นำทางเมิ่งเจี๋ยออกมาอีกด้านหนึ่งของตำหนัก แล้วก็มีเงาคนดำๆ วิ่งเข้ามา แทบจะชนกับเมิ่งเจี๋ยอยู่แล้ว 

 

 

ขันทีผู้น้อยคนนั้นรีบเอาตัวไปบังที่หน้าเมิ่งเจี๋ย แล้วตะคอกใส่ว่า “บังอาจ เจ้าคือใคร ถึงได้มาวิ่งมั่วซั่วแถวนี้” 

 

 

พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นผู้หญิงผมรุงรัง เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวเกรอะกรัง เมิ่งเจี๋ยก็คิ้วขมวด  

 

 

ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดว่าจะชน เลยตกใจ แล้วรู้สึกตัว จับแขนของขันทีผู้น้อยคนนั้นแล้วพูดว่า “ข้าอยากเจอฝ่าบาท ข้าอยากเจอฝ่าบาท!” 

 

 

ขันทีผู้น้อยคนนั้นก็สลัดมือของนางออก กำลังอ้าปากตะคอกใส่ ก็มีขันทีหลายคนวิ่งตามมาจากด้านหลัง 

 

 

หญิงคนนั้นเห็นเข้า ก็ตกใจไปหลบที่หลังของเมิ่งเจี๋ย “ข้าไม่กลับๆ ข้าอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”  

 

 

บ่าวพวกนั้นสนใจที่ไหน เลยขึ้นมาลากนาง  

 

 

เมิ่งเจี๋ยขมวดคิ้วตึงเข้าไปอีก  

 

 

ขันทีเห็นเช่นนั้น จึงตะคอกใส่ว่า “บังอาจ ผู้แทนเมิ่งอยู่ตรงนี้ ใครอนุญาตให้พวกเจ้าเสียงดังโวยวายเช่นนี้!” 

 

 

ตอนที่ท่าป๋าหั่นหลินไม่อยู่ หลายเดือนที่ผ่านมา เมิ่งเจี๋ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ขันทีเหล่านั้นได้ยินเข้า ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น “บ่าวไม่ได้ตั้งใจรบกวนท่านผู้แทนขอรับ ผู้แทนเมิ่งโปรดไว้ชีวิตด้วยๆ” 

 

 

พอหญิงคนนั้นได้ยิน ก็จับแขนเสื้อของเมิ่งเจี๋ยไว้แน่น แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านคือผู้แทนเมิ่งงั้นหรือ มาจากรัฐอู่ใช่หรือไม่ ดีเลย ท่านช่วยข้าที ข้าคือหลิวอวี้เอ๋อร์แห่งจวนอู่โหว โดนเขาลักพาตัวมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วมาอยู่ในวังหลวง” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์แห่งจวนอู่โหว เมิ่งเจี๋ยฟังจบ ก็หันไปมองนาง  

 

 

แล้วขันทีผู้น้อยก็ตะคอกใส่นางว่า “อย่าพูดไร้สาระ!”  

 

 

พูดจบ ก็ยิ้มแล้วอธิบายกับเมิ่งเจี๋ยว่า “นี่เป็นเจี๋ยอวี๋ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง เป็นเพราะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เลยโดนจับไปอยู่คุกฝ่ายใน วันนี้ไม่รู้เหตุใด ถึงหนีออกมาได้ ผู้แทนเมิ่งอย่าได้ฟังนางพูดไร้สาระเลยขอรับ” 

 

 

พูดจบ ก็พูดกับขันทีที่คุกเข่าอยู่ว่า “ยังไม่รีบเอาตัวกลับไปอีก!” 

 

 

ขันทีทั้งหลายตอบรับ แล้วรีบลุกขึ้น จะลากหลิวอวี้เอ๋อร์กลับไป 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์แอบอยู่ด้านหลังของเมิ่งเจี๋ย แล้วพูดออกมาว่า “ที่ข้าพูดเป็นความจริง ข้าคือหลิวอวี้เอ๋อร์จริงๆ หากท่านไม่เชื่อ ส่งจดหมายไปบอกจวนอู่โหวก็ได้ ให้พวกเขามายืนยันตัวข้า” 

 

 

หากเป็นคนอื่น เมิ่งเจี๋ยคงเขียนหนังสือกลับไป แต่หลิวอวี้เอ๋อร์ ทำร้ายเย่ว์เอ๋อร์เจียนตายครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่เป็นเพราะนาง จวนอ๋องฉีก็คงไม่ต้องประสบเคราะห์ร้ายที่เจียงหนาน แล้วจะได้ไม่ต้องมาติดหนี้บุญคุณกับท่าป๋าหั่นหลิน ตอนนี้อย่าว่าแต่เขียนจดหมายเลย หากไม่เห็นว่านางเป็นผู้หญิงล่ะก็ เขาล่ะอยากฆ่านางให้ตายไปเสียเลย 

 

 

แล้วก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าองครักษ์ในวังหลวงช่างละหลวมนัก ขนาดนักโทษในตำหนักเย็นยังปล่อยให้หลุดมาได้” 

 

 

คำพูดของเขา ทำให้ขันทีที่ตามออกมาจับนางนั้นเหงื่อไหลท่วม หลิวอวี้เอ๋อร์คนนี้ นับตั้งแต่ไปอยู่ที่ตำหนักเย็น ก็ไม่เคยเชื่อฟัง ตอนหลังโดนพวกเขาสั่งสอนไปทีหนึ่ง ถึงสงบลงได้หน่อย ใครจะไปรู้ว่าวันนี้นางจะอาศัยจังหวะเผลอ หนีออกมา แถมยังหนีมาเจอกับผู้แทนเมิ่งอีก หากเรื่องนี้เบื้องบนรู้เข้าล่ะก็ พวกเขาคงไม่รอดแน่  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์อ้าปากค้างมองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตา ตามหลักแล้ว ตามที่นางบอกฐานะของนางนั้น เมิ่งเจี๋ยควรตะคอกใส่พวกขันทีเหล่านั้นสิ แล้วถามถึงฐานะที่แท้จริงของนาง แล้วถวายรายงานเรื่องของนางไปที่ฮ่องเต้รัฐอู่ แต่ตอนนี้เขาพูดเช่นนั้น ทำราวกับว่าเรื่องของนางไม่ใช่เรื่องงั้นหรือ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เข้าใจ ชะงักไป แล้วขันทีผู้น้อยก็ตะคอกใส่ขันทีเหล่านั้นว่า “ยังนิ่งอึ้งอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบลากตัวนางออกไปอีก!” 

 

 

ขันทีก็รีบเข้าไป ลากหลิวอวี้เอ๋อร์ออกมา  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ได้สติ ก็ร้อนรน จะดึงชายเสื้อของเมิ่งเจี๋ย “ผู้แทนเมิ่ง ท่านช่วยข้าที ข้าโดนพวกเขาลักพาตัวมา ช่วยข้าด้วย” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยถอยออกไป เพื่อหลบนาง แล้วทำเป็นไม่ได้ยินที่นางพูด  

 

 

ขันทีจับนางได้แล้ว ก็ลากนางกลับไปที่ตำหนักเย็นทันที  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ตะเกียกตะกายจนถึงที่สุด ตะโกนออกมาว่า “ข้าอยากเจอฝ่าบาท! ข้าอยากเจอฝ่าบาท!” 

 

 

แล้วก็มีขันทีคนหนึ่งยื่นมือออกมาปิดปากนางไว้ ส่วนที่เหลือก็ลากนางเดินไป  

 

 

เสียงร้องของหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกปิดเอาไว้ จนพูดไม่ได้  

 

 

พอเห็นหลิวอวี้เอ๋อร์ไปแล้ว เมิ่งเจี๋ยก็แอบคิดว่าหลิวอวี้เอ๋อร์อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ เย่ว์เอ๋อร์ต้องรู้ดี พอนางกลับไปแล้ว กลับไม่ได้พูดถึงเลย แสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นเป็นแน่ 

 

 

ขันทีเห็นเขาคิ้วขมวด ก็คิดว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ทำเขาไม่พอใจ จึงยิ้มกล่าว “ขอผู้แทนเมิ่งอย่าถือสา เดี๋ยวบ่าวจะไปรายงานหัวหน้าขันทีฮู ให้พวกเขาสั่งสอนนางให้หลาบจำขอรับ” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยไม่พูดอะไร แล้วออกจากวังไป 

 

 

เมื่อเห็นเขาขี่ม้าออกไป ขันทีก็ปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน หันหลังรีบกลับมาที่ในวัง แล้วรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าขันทีฮู  

 

 

หลังจากหมอหลวงทุกคนตรวจแล้ว ก็นั่งรวมกันเพื่อปรึกษาหารือ หารือกันไปมา ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจเลย พอเห็นว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ใกล้จะไม่รอดแล้ว พวกเขาทุกคนเลยเหงื่อแตกไปตามๆ กัน  

 

 

ไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา มองไปที่ท่าป๋าหั่นหลิน มองร่างกายที่ซูบผอมของเขา ด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

ฟ้ามืดแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินยังไม่ฟื้น และเหล่าหมอหลวงก็ยังหาทางรักษาที่ดีไม่ได้ ไทเฮายืดตัวตรง แล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ขันทีฮู!”  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเดินเข้ามา “พ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

“เรียกหัวหน้าหมอหลวงเข้ามา!”  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูตอบรับ  

 

 

หัวหน้าหมอหลวงเดินเข้ามา คุกเข่าลงไปด้วยท่าทางสั่นเครือ “ไทเฮา!” 

 

 

“มีทางรักษาแล้วหรือยัง” 

 

 

“คือว่า… …!”  

 

 

“พูด!”  

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

หัวหน้าหมอหลวงมิกล้ารอช้า พูดว่า “มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นขอรับ ที่จะทำให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาได้ไวที่สุด แต่ว่า… …” 

 

 

“ลิ้นของเจ้าโดนสุนัขกินไปแล้วงั้นรึ อึกอักอยู่ได้” 

 

 

ไทเฮาพูดด้วยเสียงดุดัน  

 

 

“แต่ยานั้นแรงเกินไป เกรงว่าร่างกายของฝ่าบาทจะรับไม่ไหวพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เพล้ง! 

 

 

แก้วน้ำที่อยู่ในมือปาลงไปที่ด้านหน้าเขา “โง่งม พวกเจ้าหารือกันตั้งนาน คิดได้แค่นี้งั้นหรือ เห็นว่าฝ่าบาทยังไม่ได้ประชวรหนัก เลยอยากให้เขาตายงั้นรึ” 

 

 

“ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หัวหน้าหมอหลวงกระแทกหัวก้มกราบลงไป  

 

 

ส่วนเหล่าหมอหลวงทั้งหลายได้ยินความเคลื่อนไหว ก็กระวนกระวายกันถ้วนหน้า  

 

 

ไทเฮาโมโห จึงออกคำสั่ง “เจ้าเป็นถึงหัวหน้าหมอหลวง แต่ไม่ชำนาญวิชาแพทย์ ควรรับโทษสถานใด ทหาร เอาตัวออกไปโบย!”  

 

 

หัวหน้าหมอหลวงหน้าซีดเผือด สีหน้าเศร้าสลด 

 

 

แล้วก็มีบ่าวเดินเข้ามา ลากตัวเขาออกไป 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูกัดฟัน โน้มน้าวว่า “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงประชวรหนัก จำเป็นต้องใช้เขาจริงๆ กระหม่อมเห็นว่า สู้ไว้ชีวิตเขา แล้วรอให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ค่อยลงโทษเขาก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

บ่าวที่มาลากตัวเขาออกไปก็หยุด รอฟังคำสั่งจากไทเฮา  

 

 

ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก โทษประหารละได้ แต่โทษทัณฑ์ไม่อาจละได้ นำตัวไปโบยสิบที เพื่อเป็นแบบอย่าง”