หัวหน้าขันทีฮูถลึงตาใส่ขันทีเหล่านั้น เมื่อพวกเขารับรู้ จึงได้ลากร่างของผู้ดูแลจวนออกไปด้านนอก เหล่าหมอหลวงเห็นเช่นนั้นจึงตกใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขอร้อง 

 

 

การโบยนี้มีนั้นวิธีการ ขันทีรู้ใจของหัวหน้าขันทีฮูเป็นอย่างดี จึงได้โบยลงไปพร้อมเสียงดังสนั่น แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ออกแรงหนักหนาอะไร แต่แม้เป็นเช่นนั้น เหล่าหมอหลวงก็กลัวจนเหงื่อท่วมร่าง หัวหน้าหมอหลวงถูกลงโทษแล้ว รายต่อไปอาจเป็นพวกเขาหรือไม่ 

 

 

ตำหนักชิงเซวียนทั้งนอกและในรวมหลายร้อยคน ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดรอดออกมา ได้ยินเพียงเสียงไม้กระแทกดังผิวคนดัง เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ สนั่นเสียจนใจของเหล่าหมอหลวงเต้นแรง 

 

 

เมื่อโบยเสร็จ ขันทีจึงได้ถอยไป หมอหลวงเข้ามาพยุงผู้ดูแลจวน 

 

 

แม้ว่าขันทีไม่ได้ลงมือแรง แต่โบยหลายสิบที หัวหน้าหมอพลวงก็เจ็บมากแล้ว ถึงกระนั้น ก็ไม่กล้าพักแม้แต่น้อย กล่าวกับทุกคนว่า “ฮ่องเต้ยังไม่ทรงฟื้นขึ้น ไทเฮาทรงกริ้วมาก พวกเรารีบช่วยกันคิดหาวิธีทำยาขึ้นมาโดยเร็วดีกว่า มิเช่นนั้น คราต่อไปคงมิใช่การโบยง่ายๆ เช่นนี้ แต่จะเป็นการเอาชีวิตของพวกเราไป” 

 

 

หมอหลวงรู้ดี จึงได้หารือกันอย่างเคร่งเครียด แต่อย่างไรก็คิดหาวิธีไม่ออก ทำได้เพียงลดปริมาณยาของเดิมลงเล็กน้อย นำไปถวายไทเฮาพิจารณา 

 

 

ไทเฮาไม่ขยับ รับสั่งโดยตรงว่า “ต้มยาตามนี้ นำไปถวายให้ฮ่องเต้” 

 

 

หนึ่งวัน สองวัน สามวันก็แล้วท่าป๋าหั่นหลินไม่เพียงไม่ฟื้น แต่อาการกลับแย่ลงเรื่อยๆ สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ลมหายใจแผ่วเบาราวกับหมดไปแล้ว  

 

 

ไทเฮาทรงกริ้วมาก รับสั่งให้โบยหมอหลวงอีกหลายราย 

 

 

ขณะนั้น เหล่าหมอหลวงต่างเกรงกลัว จิตใจไม่สงบ 

 

 

ข่าวลือแพร่ออกไปนอกวังครั้งแล้วครั้งเล่า ลอยเข้าหูของเมิ่งเจี๋ย เมื่อคิดพิจารณาแล้ว จึงได้เปิดกล่องยาออก หยิบยาที่เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมให้เขาก่อนออกเดินทาง ควบม้า เดินทางไปวังหลวงอีกครั้ง สั่งให้ขันทีผู้ดูแลวังพาเขาไปยังตำหนักชิงเซวียนทันที 

 

 

เมื่อได้เข้าเฝ้าไทเฮา พร้อมคารวะแล้ว จึงได้กล่าว “กระหม่อมพอจะมีวิชาแพทย์อยู่บ้าง จะทรงอนุญาตให้กระหม่อมจับชีพจรของฮ่องเต้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

สามวันผ่านไป ผมขาวของไทเฮาเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ร่างกายดูอ่อนแรงลงไปมาก หากมิใช่เพราะท่าป๋าหั่นหลินยังไม่ฟื้น นางแข็งใจเอาไว้ มิเช่นนั้น คงได้ลมป่วยไปนานเสียแล้ว เมื่อได้ยินเมิ่งเจี๋ยกล่าวดังนั้น จึงเกิดความยินดีขึ้น ผุดลุกขึ้นมา ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เร็วเข้า เรียนเชิญผู้แทนเมิ่ง”  

 

 

เมิ่งเจี๋ยเดินตามนางมายังข้างเตียง มองดูร่างของท่าป๋าหั่นหลินที่ดูอ่อนแรงกว่าหลายวันก่อนมาก ในใจเกิดความกังวลไม่น้อย 

 

 

ไทเฮาสั่งให้เหล่านางในนำตั่งเข้ามา วางข้างเตียง 

 

 

เมิ่งเจี๋ยไม่เกรงใจ นั่งลงทันที คว้ามือซ้ายของท่าป๋าหั่นหลินมา จับชีพจรของเขา 

 

 

ไทเฮากลั้นหายใจ 

 

 

เมื่อจับชีพจรของเขาเรียบร้อยแล้ว จึงได้กล่าวว่า “พระกายาของฮ่องเต้แห่งรัฐอิงได้รับการบาดเจ็บหนักมาก ลำพังฝีมือของกระหม่อมเอง ก็มิอาจรับประกันได้ว่าจะรักษาเขาได้ เพียงแต่กระหม่อมมียาอยู่เล็กน้อย ให้ท่านเสวยวันละเม็ด ไม่แน่อาจมีผลดีพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮายินดีนัก รับยามาจากมือเขา 

 

 

“พระอาการของฮ่องเต้ในยามนี้ ยากที่จะกลืนเม็ดยาได้ด้วยตนเอง ไทเฮาได้โปรดสั่งให้คนนำไปละลายน้ำ จากนั้นค่อยๆ ถวายให้พระองค์” เมิ่งเจี๋ยแนะนำ 

 

 

ไทเฮาสั่งให้คนไปนำน้ำมาทันที นำยาละลายน้ำด้วยตัวเอง มองดูยาละลายหมด จึงได้นั่งลงข้างเตียง ป้อนให้ท่าป๋าหั่นหลินทีละคำ 

 

 

บางทีอาจเป็นเพียงความรู้สึกทางใจ เมื่อป้อนยาแล้ว ไทเฮาคิดว่าสีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินดีขึ้นเล็กน้อย  

 

 

ไทเฮายินดีเสียจนน้ำตาออกมา กล่าวขอบคุณเมิ่งเจี๋ยอีกครั้ง 

 

 

เมิ่งเจี๋ยกล่าวบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง และออกจากตำหนักชิงเซวียนไป 

 

 

พลบค่ำ ท่าป๋าหั่นหลินที่สลบไปหลายวัน ลืมตาขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ ไทเฮาร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี จับมือของเขาไม่ยอมปล่อย เหล่าหมอหลวงต่างโล่งใจ  

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าโรยราของไทเฮา ท่าป๋าหั่นหลินรู้สึกผิดไม่น้อย “เสด็จแม่ ลูกทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว” 

 

 

ไทเฮากรอบตาแดงก่ำ ตรัสว่า “ลูกแม่ เจ้าสลบไปสามวันสามคืน หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมา แม่เองก็คงทนไม่ไหวเช่นกัน” 

 

 

“เสด็จแม่ เป็นความผิดของลูกเอง ที่ทำให้ท่านเป็นกังวล” 

 

 

ไทเฮาส่ายหน้า “ฟื้นก็ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้ว เหล่าหมอหลวงไร้ประโยชน์เหล่านี้ จัดยาให้เจ้ามากมาย แต่ไม่มีประโยชน์เลย จนได้ยาวิเศษจากผู้แทนเมิ่ง จึงได้ช่วยชีวิตเจ้ามา” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยเป็นน้องชายแท้ๆ ของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่าป๋าหั่นหลินรู้ดี แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเขารู้วิชาแพทย์ด้วย จึงได้พยักหน้าเบาๆ “รอให้ลูกหายดีแล้ว ลูกจะตบรางวัลให้เขาอย่างดีขอรับ” 

 

 

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ไทเฮาจึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ 

 

 

ผ่านไปอีกวัน เมื่อกินยาอีกเม็ด อาการของท่าป๋าหั่นหลินดีขึ้นไม่น้อย สีหน้าไม่ซีดขาวเช่นเคย มีสีแดงระเรื่อ กล่าวกับไทเฮาว่า “เสด็จแม่ขอรับ ลูกดีขึ้นมาแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด อย่าทำร้ายสุขภาพเลย” 

 

 

หลายวันมานี้ไทเฮาก็ได้อดทน บัดนี้ท่าป๋าหั่นหลินดีขึ้นแล้ว นางจึงได้วางใจลง ร่างของนางผ่อนคลายลง รู้สึกได้ว่าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “ได้ แม่จะกลับตำหนักไปพัก เจ้าพักผ่อนให้ดี” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า  

 

 

ไทเฮากลับมายังตำหนักของตน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินรับสั่งหัวหน้าขันทีฮูว่า “ไป ไปเชิญผู้แทนเมิ่งเข้าวัง” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูรับคำสั่ง ไม่นานเมิ่งเจี๋ยก็มาถึง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินลุกขึ้นนั่ง พิงร่างอยู่บนเตียง 

 

 

เมิ่งเจี๋ยเดินเข้ามา คารวะ ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ “ท่านน้ามิต้องเคารพข้า นั่งเถิด” 

 

 

สีหน้าของเมิ่งเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เม้มปาก กล่าวว่า “ฮ่องเต้แห่งรัฐอิง อย่าเรียกกระหม่อมเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิบังอาจ” 

 

 

ท่าป่าหั่นหลินยิ้มอ่อนแรง เบี่ยงประเด็น “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ท่านน้ามีวิชาแพทย์ด้วย” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยอ้าปาก จากนั้นก็เงียบไป ได้ยินท่าป๋าหั่นหลินไอหลายที คำที่ต้องการพูดจึงได้ถูกกลืนลงไป กล่าวว่า “เมื่อตอนเด็ก ข้าและชิงเอ๋อร์ดื้อซน ตอนเด็กจึงได้ถูกพี่สาวบังคับให้เรียนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความอิจฉา “ดีเสียจริง” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยไม่ได้กล่าวต่อ แต่กลับถามว่า “ฝ่าบาท ท่านเรียกข้ามาด้วยประการใดหรือ” 

 

 

“ท่านน้านั่งลงเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยนั่งลง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินสั่งหัวหน้าขันทีฮูว่า “สั่งให้ทุกคนออกไปจากตำหนักชิงเซวียน หากมิได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามมิให้ผู้ใดย่างเข้ามาแม้แต่ครึ่งก้าว” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูรับคำ เดินถอยออกไป 

 

 

ตำหนักบรรทมเงียบสงัดลง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินอดไม่ได้ที่จะไอออกมา จึงได้ถามว่า “ท่านน้า ร่างกายของข้าคงถึงจุดจบแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

เมิ่งชิงไม่ตอบ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหัวเราะออกมา เงยหน้ามองไปทางเมืองหลวง แววตาเผยความคำนึงออกมา “ข้าคิดว่าข้าจะขอการอภัยจากเย่ว์เอ๋อร์ได้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของข้าไม่ได้เรื่อง อดทนได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เช่นนี้ดีแล้ว ข้าตายไป เย่ว์เอ๋อร์คงจะสบายใจ ต่อไปคงจะหาคนที่รักนางจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่กับเขาอย่างมีความสุข” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยยังคงเงียบ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเล่าเรื่อง นับตั้งแต่ที่เย่ว์เอ๋อร์ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ถูกท่าป๋าหั่นมู่พาตัวมายังรัฐอิง กระทั่งตอนหลังที่ตนสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ คิดหาวิธีมากมายที่จะเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ เข้าใกล้พวกอ๋องฉี กระทั่งตอนหลังได้สู่ขอเย่ว์เอ๋อร์มา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกัน และยังมีการกดดันจากเหล่าอัครเสนาบดี รวมไปถึงความเห็นแก่ตัวของตน พร้อมด้วยตนยังไม่รู้ความรู้สึกที่ตนมีให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงได้ใจร้าย ทำร้ายลูกในท้องของนาง 

 

 

ทีแรกเมิ่งเจี๋ยฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากนั้นเริ่มตกใจขึ้นเรื่อยๆ นี่เหตุใดเขาจึงไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์มาแล้วนั้น จะเกิดเรื่องตามมามากมายเช่นนี้ 

 

 

คำพูดเหล่านี้ ใช้เวลาทั้งหมดกว่าชั่วยาม กว่าท่าป๋าหั่นหลินจึงได้เล่าจบด้วยความติดๆ ขัดๆ  

 

 

แค่ก แค่ก แค่ก… 

 

 

หลังจากที่ไอออกมาหลายที ท่าป๋าหั่นหลินจึงได้ใช้แรงเฮือกสุดท้าย กล่าวว่า “ท่านน้า สำหรับเย่ว์เอ๋อร์แล้ว ข้าทำผิดไปมาก ที่จริง ข้าเพียงแต่ต้องการการอภัยจากนาง ชีวิตที่เหลือ ต่อให้ต้องทรมานเช่นไรก็ต้องการชดใช้นาง แต่บัดนี้ ข้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว ท่านบอกนางที ว่าชีวิตของข้านี้ สิ่งเดียวที่ไม่เคยทำผิดต่อนาง คือข้าไม่เคยแตะต้องหญิงอื่นเลย” 

 

 

กล่าวจบ ราวกับว่าเสร็จเรื่องแล้ว วางภูเขาที่ทับอกอยู่ออกไปได้ ร่างไร้แรง ปากหายใจหอบ 

 

 

เมิ่งเจี๋ยนั่งนิ่ง มองดูเขาเช่นนั้น 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ “ท่านน้า ท่านไปเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนเล็กน้อย” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยยังคงเงียบ ยืนขึ้น หันหลังเดินออกไปด้านนอก เดินออกจากวังไป สั่งหัวหน้าขันทีฮูว่า “เข้าไปเถิด ดูเหมือนฝ่าบาทจะอาการไม่สู้ดีนัก” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูรีบเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นท่าทางของท่าป๋าหั่นหลินเช่นนั้น จึงได้ร้อนรนเทน้ำลงแก้ว ป้อนให้เขา จากนั้นพยุงให้เขานอนลงพักผ่อน 

 

 

กล่าวเรื่องที่ต้องการกล่าวไปแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินวางใจ นอนราบลง หลับตา นอนหลับสนิทไป 

 

 

หัวหน้าผู้ดแลคิดว่าเขาคงจะเหนื่อยมาก จึงได้นอนพักผ่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อถึงเวลาค่ำ ได้เวลาอาหารเย็น ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรเขาก็ไม่ตื่น จึงได้รู้ว่า ฮ่องเต้ได้หมดสติไปอีกครั้งแล้ว จึงตกใจไม่น้อย รีบส่งคนไปเชิญไทเฮามา 

 

 

ไทเฮารีบเสด็จมา เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของท่าป๋าหั่นหลิน ดวงตามืดลง ล้มพับไปอีกคน  

 

 

ไม่นานเมิ่งเจี๋ยก็ได้ข่าว มองไปทางวัง แววตามืดมน สลับไปมา 

 

 

ภายในวังเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เหล่าหมอหลวงถูกเรียกตัวมาอีกครั้ง ไฟภายในตำหนักชิงเซวียนสว่างดั่งเช่นตอนกลางวัน 

 

 

ผ่านไปหนึ่งคืน อาการของท่าป๋าหั่นหลินไม่ดีขึ้น เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้น จึงได้ตกใจไม่น้อย 

 

 

ไทเฮาดูแก่ลงไปหลายพรรษา ผมทรงดูแลมาหลายปีขาวโพลนลงไปภายในชั่วค่ำคืน เป็นเหตุให้ผู้คนภายในวังขวัญเสีย จิตใจพะวง 

 

 

เมิ่งเจี๋ยกลับตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง สั่งให้คนควบม้าเร็วไปยังจวนที่เมืองหลวง จากนั้น ก็ได้ควบม้าไปยังวัง รีบเข้าไปในตำหนักชิงเซวียน 

 

 

เมื่อเห็นว่าภายในคืนเดียว ไทเฮามีผมขาวโพลน จึงได้เม้มปาก กล่าวว่า “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องกราบเรียน” 

 

 

ใจของไทเฮากลัวขึ้นสุดขีด ไม่เข้าใจความหมายของเขา คิดว่าเขามีวิธีรักษาอาการประชวรของท่าป๋า จึงได้รีบเอ่ยว่า “ผู้แทนเมิ่ง ท่านว่ามาเถิด” 

 

 

“ขอไทเฮาสั่งให้คนออกไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไทเฮาได้สติ จึงได้สั่งให้ทุกคนออกไปก่อน รวมไปถึงคนใช้ข้างกายของตน “ผู้แทนเมิ่ง ท่านว่ามาเถิด” 

 

 

“ฮ่องเต้ได้ประชวรถึงขั้นอันตรายแล้ว หากยังรั้งต่อไป เกรงว่าจะหมดหนทางรักษาให้หายแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากไทเฮาไม่ขัดข้อง…” 

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ เมิ่งเจี๋ยชะงักเล็กน้อย