“อย่างไร” ไทเฮาถามด้วยความรีบร้อน
เมิ่งเจี๋ยจึงได้กล่าวว่า “หากไทเฮามิขัดข้อง สามารถส่งฮ่องเต้แห่งรัฐอิงไปยังเมืองหลวงรัฐอู่ พี่สาวของกระหม่อมรู้วิชาแพทย์ไม่แน่ว่าอาจจะยื้อชีวิตเขาไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้น…”
ไทเฮาทรงลังเล
ประการแรกคือระยะทางไปยังเมืองหลวงนั้นไกลนัก ที่สำคัญคือปฏิกิริยาที่คนในจวนอ๋องมีต่อท่าป๋าหั่นหลิน หากพบเขา ไม่ทำร้ายเขาให้หนักก็นับว่าดีแล้ว และนี่ยังมารักษาไข้ให้อีกหรือ ไทเฮาไม่เชื่อ
เมิ่งเจี๋ยดูออกว่านางลังเล เอ่ยว่า “พระอาการของฝ่าบาทในขณะนี้ หมอหลวงต่างจนปัญญา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะหมดหนทางรักษาได้แล้ว ขอไทเฮาได้โปรดตัดสินพระทัยโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดถึงเพียงนี้ ชะงักไปเล็กน้อย “พูดอย่างไม่ปิดบังไทเฮา กระหม่อมได้ส่งจดหมายไปถึงมือพี่สาวแล้ว เมื่อนางได้รับจดหมาย ไม่แน่ว่าอาจจะเดินทางมาเอง กระหม่อมหวังอย่างใจจริงให้ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงฟื้นขึ้นในเร็ววัน พ้นจากความอันตรายโดยเร็ว”
ไทเฮาทรงถอนหายใจยาวเหยียด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “กล่าวอย่างไม่ปิดบังผู้แทนเมิ่ง ที่ฮ่องเต้มาถึงขั้นนี้ ก็มีความเกี่ยวข้องกับอ๋องฉีด้วย แต่พวกเราเป็นฝ่ายผิดก่อน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องคร่ำครวญ แต่หากต้องไปยังจวนอ๋อง ข้าเกรงว่า…”
นางกลัวอะไร เมิ่งเจี๋ยเข้าใจดี แต่หากให้ท่าป๋าหันหลินตายไปเช่นนี้ อ๋องฉีจะได้ชื่อว่าสังหารเจ้าแห่งรัฐเป็นแน่ เขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงได้พูดโน้มน้ามต่อว่า “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงได้บอกกับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมเข้าใจแล้ว แม้ว่าจะมีความผิด แต่ก็มีความทุกข์อย่างเลี่ยงมิได้ ดังนั้น ในจดหมายกระหม่อมได้เขียนชัดเจนแล้ว คนของจวนอ๋องมีคุณธรรม เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ก็จะไม่ทำให้เขาลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาเป็นตายเช่นนี้ จะต้องช่วยเขาอย่างสุดกำลัง หากท่านตกลง ก็ขอให้สั่งคนส่งเขาไปยังเมืองหลวง หากไม่ตกลง กระหม่อมก็คงช่วยได้เพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายังคงตัดสินพระทัยไม่ได้ นั่งนิ่งไม่ตรัสอะไร
เมิ่งเจี๋ยไม่กล้ารบเร้า จึงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ รอคำตอบจากนาง
ผ่านไปสองก้านธูป มองดูท่าป๋าหั่นหลินที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ไทเฮาจึงได้ถอนใจออกมา “ก็ได้ ทำตามที่ผู้แทนเมิ่งว่า พวกเราไปยังเมืองหลวงรัฐอู่กัน หากฮ่องเต้หายดี พวกเราจะขอบคุณซื่อจื่อเป็นที่สุด นับถือเขาเป็นผู้มีพระคุณไปตลอดชีวิต แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ก็ขอให้ผู้แทนเมิ่งเขียนจดหมายขึ้นมาอีกฉบับ ให้เย่ว์เอ๋อร์ยอมพบหน้าเขา ให้เขาได้สมหวัง…”
นี่สำหรับกรณีที่แย่ที่สุดแล้ว เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า “ขอไทเฮาวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำตามนั้น”
ไทเฮาพยักหน้าช้าๆ “ต่อจากนี้เรื่องราชกิจต่างๆ รบกวนท่านผู้แทนเมิ่งด้วย เราสองแม่ลูกคงจะ…”
คำต่อไปไทเฮาไม่ได้ตรัสต่อให้จบ แต่เมิ่งเจี๋ยเข้าใจว่านางต้องการหมายถึงอะไร จึงได้อ้าปากเล็กน้อย หวังจะเอ่ยคำปลอบโยน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร
ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว จึงไม่ได้ลังเลอีก ไม่นานไทเฮาทรงจัดการคนดูแลข้างกายและคนที่ต้องดูแลไปตลอดทาง จากนั้นก็พาทุกคนออกจากวังหลวงอีกครั้ง
หลายวันต่อมา คนของเมิ่งเจี๋ยได้มาถึงเมืองหลวง เข้าพบเมิ่งเชี่ยนโยว มอบจดหมายให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวอ่านจบ จึงได้สั่งให้คนพาเขาไปพัก ส่วนตนนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องครู่ใหญ่ จึงได้ให้ชิงหลวนเรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา เมื่อปรึกษากับเขาแล้ว ทั้งสองจึงได้ควบม้า พาโจวอันและองครักษ์ลับยี่สิบนายออกจากเมืองหลวง มุ่งตรงไปยังชายแดน ไทเฮาเห็นว่าทั้งสองมาแล้วจริงๆ ซาบซึ้งเสียจนน้ำพระเนตรไหลอาบ ไม่ได้ตรัสอะไร เสียงสะอื้น “ขอบใจซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมากที่เมตตา ไม่ถือสาเอาความ รีบเดินทางมาช่วยลูกข้า”
หลังจากที่ทั้งสองทำความเคารพแล้วนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออก เมื่อเห็นว่าท่าป๋าหั่นหลินลมหายใจโรยริน ก็ตกใจไม่น้อย รีบขึ้นรถม้า วางมือลงบนชีพจรของเขา
ชีพจรเบามาก แทบจะจับไม่พบ
ทุกคนกลั้นหายใจ มองนางด้วยความหวัง หวังว่าจะได้ยินข่าวดีจากปากของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วชิดกัน ความเจ็บปวดของท่าป๋าหั่นหลินเป็นเพียงเรื่องรอง เรื่องสำคัญคือตัวเขาไม่มีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เช่นนี้ ต่อให้เป็นยาดีอย่างไรก็รั้งชีวิตเขาไว้ไม่ได้
วางมือของเขาลง มองดูใบหน้าที่ผอมซูบของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เอ่ยว่า “ท่าป๋าหั่นหลิน เจ้าฟังให้ดี ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าสามารถใช้ชีวิตโลดโผนดังเช่นเมื่อก่อนได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าไขว่คว้าเย่ว์เอ๋อร์อีกครั้ง”
ราวกับปาฏิหาริย์ สิ้นคำของนาง ขอบตาของท่าป๋าหั่นหลินมีน้ำตาไหลออกมา เปลือกตาขยับเล็กน้อย
ไทเฮาป้องพระโอษฐ์ด้วยความยินดี น้ำพระเนตรไหลรินออกมาดั่งไข่มุก หลายวันมานี้ นางมองดูลูกชายที่อ่อนแรงลงในทุกคืนวัน ใจของนางเจ็บปวดเพียงใดเดาได้ไม่ยาก บัดนี้ ท่าป๋าหั่นหลินมีปฏิกิริยาแล้ว นั่นหมายความว่าลูกชายของนางได้หลุดจากเส้นแห่งความตายแล้ว
ดูปฏิกิริยาของท่าป๋าหั่นหลิน เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ลงจากรถม้า หยิบยาออกมาจากห่อยาสมุนไพรที่โจวอันนำมาด้วย สั่งให้โจวอันจุดไฟต้มยาตรงนั้น
คนติดตามของไทเฮาคือหัวหน้าขันทีฮูรวมทั้งขันทีและนางกำนัลที่รับใช้ในตำหนักชิงเซวียนยี่สิบราย คนดูแลข้างกายคือคนของท่าป๋าหั่นหลิน คนของท่าป๋าหั่นหลินรู้จักหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ดังนั้นจึงนอบน้อมกับพวกเขามาก ส่วนจากวังทั้งยี่สิบคนนำด้วยหัวหน้าขันทีฮูไม่รู้จักพวกเขา แต่ดูจากท่าทางของไทเฮาก็รู้ได้ว่าสถานะของพวกเขาไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงได้เคารพนอบน้อม เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้โจวอันจุดไฟต้มยา จึงได้รีบเข้าไปช่วยเหลือ
ไทเฮาทรงคัดสรรมาเป็นคนติดตาม จะต้องเป็นคนที่สนิทและไว้ใจได้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ห้ามปราม
เมื่อต้มเสร็จแล้ว ทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว จึงได้นำมาถวาย
นางกำนัลสองสามคนเข้ามา ค่อยๆ ถวายให้ท่าป๋าหั่นหลิน
“อาการเช่นนี้ของเขา ไม่สะดวกเดินทาง หาที่พักที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
แน่นอนไทเฮาเห็นด้วยกับนาง
คนกลุ่มหนึ่งเดินหน้าไปหลายสิบลี้ มาพักอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง
อาการของท่าป๋าหั่นหลินร้ายแรงกว่าที่ตนคิดเอาไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนชื่อยาเอาไว้หลายชนิด มอบให้โจวอัน สั่งให้เขาไปนำมาจากในเมือง
ไม่นานโจวอันก็มารายงาน “ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยไปถามแล้ว ยาเหล่านี้ไม่มีในเมืองนี้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เจ้ารีบกลับไปคูน้ำริมเมืองที่เราผ่านมา ตรงนั้นมีร้านยาเต๋อเหริน ที่นั่นคงมียาเหล่านี้ ”
โจวอันรับคำสั่งพาองครักษ์ลับสองนายไปด้วย
สองวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เว้นว่าง หยิบเข็มเงินขึ้นมา ตรวจวัดให้ท่าป๋าหั่นหลินสองครั้ง
วันที่สาม ท่าป๋าหั่นหลินสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงไม่ลืมตา
แต่เท่านี้ก็เป็นความหวังให้ไทเฮาแล้ว ทั้งยังมีความรู้สึกซาบซึ้งต่อเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างมาก
ผ่านไปสองวัน ท่าป๋าหั่นหลินแม้ว่าจะยังไม่ลืมตา ตาว่าสีหน้าดีขึ้นมามาก
เมิ่งเชี่ยนโยวเรียนไทเฮาว่า “ร่างกายของเขาดีขึ้นมากแล้ว พวกเราออกเดินทางกลับเมืองหลวงกันเดี๋ยวนี้เถิดเพคะ”
ไทเฮาไม่ได้ตกพระทัย หลังจากที่ทุกคนเก็บของหมดแล้ว จึงได้ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังเมืองหลวง
ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนอ๋อง เพียงแต่กล่าวกับพระชายาอย่างเร่งรีบเท่านั้น ส่วนที่ว่ามาทำอะไรนั้น ยังไม่ได้บอกชัดเจน พระชายาไม่วางพระทัย เมื่อถามพ่อบ้านแล้ว จึงได้เรียกตัวคนที่เมิ่งเจี๋ยส่งตัวมา
ทั้งสองทำหน้าที่เพียงส่งจดหมายเท่านั้น เรื่องอื่นไม่รู้มากนัก ไม่ได้พูดรายละเอียดที่มีประโยชน์มากนัก
พระชายาเป็นกังวลมากขึ้น
หลังอ๋องฉีกลับมา ได้ยินดังนั้น จึงได้เรียกทั้งสองมาอีก ถามว่าช่วงนี้รัฐอิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่
ทั้งสองจึงได้บอกเรื่องที่ท่าป๋าหั่นหลินหมดสติไป
โบกมือ รอจนทั้งสองออกไปแล้ว อ๋องฉีทุบโต๊ะ พูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “เขาจะเป็นหรือตายอย่างไร เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย ลืมเรื่องที่เขาทำกับเย่ว์เอ๋อร์แล้วหรือ ยังกล้าไปรักษาให้เขา”
เมื่อพูดถึงท่าป๋าหั่นหลิน พระชายาเองก็ไม่พอใจเช่นกัน พยักหน้าเห็นด้วย “เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์เองไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ คนเช่นนี้ต่อให้ตายอีกพันครั้ง หมื่นครั้ง ก็ยังไม่พอที่จะชดใช้สิ่งที่ทำต่อเย่ว์เอ๋อร์ได้ ยังจะไปช่วยเขาเพื่ออะไรกัน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังหยอกเล่นกับหมิงเอ๋อร์อยู่ในบริเวณเรือนหวงฝู่สือเมิ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ท่านพี่ เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ ตอนนี้รู้สึกไม่สบาย อยากกลับไปนอนพักสักครู่”
หวงฝู่สือเมิ่งแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับพักสักหน่อยเถิด หากยังมีที่ใดไม่สบายที่ใด ก็ให้คนในเรือนมาบอกข้า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับ กลับเรือนของตนไป
ดูร่างของนางลับตาไป หวงฝู่สือเมิ่งถอนหายใจ
ยี่สิบวันต่อมา คนกลุ่มหนึ่งกลับมายังเมืองหลวง
ฟ้ามืดแล้ว จวนที่พักที่ซื้อไว้ครั้งก่อนได้ขายไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเล็กน้อย จึงได้กล่าวกับไทเฮาว่า “หม่อมฉันมีจวนอยู่ที่หนานเฉิง หากท่านมิรังเกียจ สามารถพาคนไปพักที่นั่นได้เพคะ”
ไทเฮาหวังเช่นนั้นมาก หลังจากขอบคุณอย่างจริงใจแล้ว จึงได้ติดตามนางไปยังหนานเฉิง
ตระกูลเมิ่งย้ายออกนอกเมืองไปแล้ว ในจวนเหลือเพียงบ่าวใช้ดูแลบ้านไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา จึงได้เข้ามาต้อนรับด้วยความยินดี “นายหญิง กลับมาแล้วหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ชี้ไปทางกลุ่มคนกล่าวว่า “ต่อจากนี้พวกเขาจะมาพักที่นี่ พวกเจ้ารีบไปจัดห้องเร็ว”
ปกติแล้วบ่าวใช้ดูแลบ้านขยันขันแข็งมาก ปัดกวาดเช็ดถูในบ้านอย่างสะอาด ไม่นานก็เก็บกวาดห้องออกมาได้
ท่าป๋าหั่นหลินฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ยังคงอ่อนแรงอยู่ ไทเฮาสั่งให้คนพยุงเขาลงมา ตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปยังห้องที่ทำความสะอาดแล้ว
คนทั้งหมดเข้าพักเรียบร้อย หลังสั่งให้บ่าวใช้ดูแลบ้านทำอาหารเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลับมายังจวนอ๋อง
เมื่ออ๋องฉีได้ยินเช่นนั้น จึงได้สั่งคนไปเรียกตัวพวกเขามา
ทั้งสองมองตากัน เมิ่งเชี่ยนโยวมอบจดหมายของเมิ่งเจี๋ยให้หวงฝู่อี้เซวียน จึงได้มายังเรือนหลัก
อ๋องฉีนั่งเครียดอยู่บนเก้าอี้ พระชายาไร้ซึ้งใบหน้ายิ้มแย้ม
ทั้งสองเข้าห้องไป ทักทายทักสองด้วยความเคารพ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”
อ๋องฉีกล่าวโทษพวกเขา “ท่าป๋าหั่นหลินจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวกับจวนอ๋องของเรา พวกเจ้าทั้งสองลืมแล้วหรือว่าเขาทำกับเย่ว์เอ๋อร์เช่นไร”
เมื่อเห็นอ๋องฉีโกรธ ทั้งสองไม่กล้านั่งลง หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับ “เสด็จพ่อขอรับ ท่าป๋าหั่นหลินในตอนนั้น ก็มีความลำบากใจที่เลี่ยงมิได้อยู่เช่นกัน”