“เหลวไหล!” 

 

 

อ๋องฉีตบโต๊ะแรง ตะคอกเสียงดัง “เป็นถึงฮ่องเต้ จะมีเรื่องทุกข์ใดได้” 

 

 

พระชายาพยักหน้าเห็นด้วย  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนำจดมายออกมา มอบให้อ๋องฉี “นี่เป็นจดหมายที่เจี๋ยเอ๋อร์เขียนให้พวกเรา ต้นสายปลายเหตุของเรื่องได้เขียนอย่างชัดเจนแล้วขอรับ เสด็จพ่อได้โปรดอ่านอย่างละเอียด” 

 

 

อ๋องฉีทำเสียงไม่พอพระทัย พร้อมกับกระชากจดหมายมา เปิดอ่าน อย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบแล้ว จึงได้วางจดหมายไว้บนโต๊ะ “ต่อให้เขามีความลำบากใจแล้วมันอย่างไร เขาทำเช่นนั้นกับเย่ว์เอ๋อร์ ต่อให้ตายก็ยังน้อยไป” 

 

 

“ท่าป๋าหั่นหลินมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนใหญ่ก็เกิดจากพวกเรา ความหมายของเจี๋ยเอ๋อร์คือ เขาไม่ต้องการให้จวนอ๋องของเราได้ชื่อว่าฆ่าคน ดังนั้นลูกและโยวเอ๋อร์จึงได้เจรจากัน และรีบไปช่วยชีวิตเขาขอรับ” 

 

 

อ๋องฉีไม่เงียบไปครู่หนึ่ง ยังคงตรัสด้วยความโกรธว่า “สิ่งใดที่หมายความว่าจวนอ๋องของเราต้องได้ชื่อว่าฆ่าคนตาย ตอนนั้นเป็นเขาเองที่ออกจากเมืองหลวงไปแต่โดยดี พวกเจ้าคิดมากกันไปเองโดยแท้” 

 

 

ตอนนั้นที่เย่ว์เอ๋อร์กลับมา อ๋องฉีเจ็บปวดใจเสียจนอยากจะเอาดาบฆ่าท่าป๋าหั่นหลินเสีย บัดนี้ความเกลียดของเขาก็ไม่ได้ลดลง และยังไม่ยอมอภัย หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน ไม่กล่าวสิ่งใด 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินว่าทั้งสองกลับจวนมา จึงได้ลงมาจากเตียง จัดแจงเสื้อผ้า จากนั้นเดินไปยังเรือนของทั้งสอง เดินไปได้ครึ่งทาง ก็คิดได้ว่าไม่เหมาะ ลังเลเล็กน้อย จึงได้หันหลังกลับเรือนของตนไป 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งผ่านมาพอดี เห็นท่าทางลังเลของนางทั้งหมด  

 

 

วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวไปยังหนานเฉิงด้วยตนเอง  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินฟื้นขึ้นมาแล้ว เห็นนางมา จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ท่านแม่ยาย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือมา ทำท่าทางว่า ‘อย่าเลย’ “เรียกขานเช่นนี้ หม่อมฉันรับไม่ไหว ฮ่องเต้รัฐอิงเรียกหม่อมฉันว่าซื่อจื่อเฟยเช่นเดิมเถิด” 

 

 

สีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินเปลี่ยนไป “ท่านแม่ยายบอกเองมิใช่หรือ ว่าหากข้าสามารถโลดแล่นได้ดังเดิม จะอนุญาตให้ข้าไขว่คว้าเย่ว์เอ๋อร์อีกครั้ง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้าตกใจออกมา “ฮ่องเต้แห่งรัฐอิง นี่เจ้าไปเยี่ยมประตูแห่งความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จนทำให้เสียสติไปแล้วเช่นนั้นหรือ เจ้าเคยทำร้ายเย่ว์เอ๋อร์เช่นนั้น ข้าจะยอมให้เจ้าไขว่คว้านางอีกได้อย่างไร” 

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกลับคำพูด ไม่เพียงแต่ท่าป๋าหั่นหลิน แม้แต่ไทเฮาก็ยังตกพระทัย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าตึงไม่พูดจา นั่งลงจับชีพจรให้เขา เขียนรายการยาออกมาใหม่ สั่งให้คนไปเอายามา 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินจึงได้สติกลับมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านแม่ยาย เหตุใดท่านจึงกลับคำพูด ข้า ข้า ข้า…” 

 

 

ไทเฮารีบช่วย “ซื่อจื่อเฟย จะผิดมหันต์เช่นไร ล้วนเป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น ท่านจะตีจะด่าอย่างไรก็ได้ แต่คำที่ได้เอ่ยออกไปแล้ว ท่านจะกลับคำได้อย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอมรับ “ไทเฮาเพคะ ทำสิ่งใดไว้ต้องมีหลักฐาน ผู้ใดเป็นพยานได้ว่าข้าเคยกล่าวเช่นนั้นจริงหรือ” 

 

 

ไทเฮาชะงักไป 

 

 

“ในเมื่อไม่มี เช่นนั้นแสดงว่าหม่อมฉันมิเคยกล่าวเช่นนั้น ดังนั้น ต่อจากนี้ คำพูดเหล่านี้ ท่านและฮ่องเต้แห่งรัฐอิงขออย่าได้เอ่ยขึ้นมาอีกเลยเพคะ ระวังว่าอารมณ์ของหม่อมฉันจะร้อนขึ้น ไม่รักษาให้ฝ่าบาทขึ้นมา พวกท่านจะได้มิคุ้มเสีย” 

 

 

ไทเฮาเปิดและปิดพระโอษฐ์สลับกัน ตรัสไม่ออก 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเบิกตาโต พูดไม่ออกเช่นกัน 

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังฉงน เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นเดินออกไป คิดถึงท่าทางที่ทั้งสองเบิกตาโพลง ทำหน้าประหลาดใจ มุมปากก็ได้ยิ้มยินดีออกมา 

 

 

เมื่อกลับมายังจวน คิดเล็กน้อย จึงได้ไปที่จวนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งเหม่ออยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา จึงได้ลุกขึ้นขานเรียกว่า “ท่านแม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ ยื่นมือออกมาลูบหัวนาง ยิ้มพร้อมถามว่า “คิดสิ่งใดอยู่อย่างนั้นหรือ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “วันนี้อากาศดี ข้าอยากตากแดด มิได้คิดสิ่งใดเจ้าค่ะ” 

 

 

“ไปกันเถิด เข้าเรือนกัน แม่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินตามเข้าเรือน 

 

 

ทั้งสองนั่งลง  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยว่า “หลายวันก่อนแม่ออกไป เพราะท่านน้าของเจ้าส่งจดหมายมา ความว่าท่าป๋าหั่นหลินอาการแย่ แม่และพ่อจึงได้ไปยังชายแดน…” 

 

 

ยังพูดไม่จบ ถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์ตัดบท “ท่านแม่พูดเรื่องนี้เพื่ออันใดกัน ลูกและเขามิได้มีความเกี่ยวข้องกันนานแล้ว ข้าไม่ต้องการรับรู้เรื่องใดๆ ของเขา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก ถอนหายใจ หยิบจดหมายออกมาจากชายเสื้อ มอบให้นาง “นี่เป็นจดหมายที่น้าของเจ้ามอบให้แม่ เจ้าอ่านดูก่อนเถิด” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ลังเลเล็กน้อย จึงได้รับจดหมายมา เปิดออก อ่านอย่างช้าๆ สีหน้าเปลี่ยนไปตามเนื้อหาบนจดหมาย  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง ไม่ปล่อยให้คลาดแม้แต่สีหน้าเดียว  

 

 

อ่านจบ วางจดหมายลงบนโต๊ะ ครู่ใหญ่หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงได้เอ่ยออกมา “ต่อให้เขามีความทุกข์ใจแล้วมันอย่างไร ลูกของข้าเอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว” 

 

 

เรื่องนี้เป็นปมที่นางทำใจไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรปลอบนางเช่นไร  

 

 

สองแม่ลูกนั่งเงียบอยู่ด้วยกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้นว่า “ท่าป๋าหั่นหลินฟื้นแล้ว แม่ได้จัดการให้เขาพักที่หนานเฉิง หากเจ้าห่วงเขา ก็ไปเยี่ยมเขาเสียสิ” 

 

 

“ใครว่าข้าเป็นห่วงเขากัน” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดเสียงสูง น้ำเสียงมีความไม่สบอารมณ์ 

 

 

พูดจบแล้ว จึงคิดได้ว่ากิริยาของตนไม่เหมาะ จึงได้เอ่ยขอโทษเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

“ท่านแม่ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา ลูบหัวนาง “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าถามตัวเอง ว่าเจ้าตัดใจจากเขาได้จริงหรือ หากจริง เช่นนั้นหลายวันนี้ที่เจ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว หมายความเช่นไรกัน” 

 

 

“ท่านแม่ ข้า…” หวงฝู่เย่าเย่ว์หวังอธิบาย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นลูกของแม่ แม่รู้ดีว่าใจเจ้าคิดอะไรอยู่ แม้ว่าแม่เกลียดเขาแทบตาย อยากฉีกร่างเขาทิ้งเสีย แต่หากต่อจากนี้เขาทำดีกับเจ้า รักเจ้าจากใจจริง แม่ก็สามารถลืมเรื่องเก่าได้” 

 

 

หลายวันติดกัน เมิ่งเชี่ยนโยวไปหนานเฉิงทุกวัน เปลี่ยนรายการยาให้ท่าป๋าหั่นหลินทุกวัน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินอาการดีขึ้น สามารถลุกขึ้นนั่งพิงได้ 

 

 

ไทเฮาซาบซึ้งนัก แทบจะคุกเข่าลงต่อนาง 

 

 

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่าป๋าหั่นหลินไม่เรียกเขาว่าแม่ยายอีก เพียงแค่ทุกครั้งที่นางมา อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้านหลังนาง หวังจะเห็นร่างของอีกคน เมื่อเห็นว่าไม่มี ก็มีสีหน้าผิดหวังเสียจนทนดูไม่ได้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น จับชีพจร จัดยาให้เขาดังเดิม 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งเหม่อนานขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งไปเยี่ยมหมิงเอ๋อร์ที่เรือนหวงฝู่สือเมิ่งก็น้อยลง 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งไม่วางใจ จึงได้มาหานาง เห็นนางนอนแช่อยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน สายตาเหม่อลอยไปยังที่ไกล เป็นกังวลยิ่งนัก ยื่นมือมาทาบบนหน้าผากนาง “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายที่ใดหรือ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เก็บสายตาลง มองนาง ถามเสียงอุบอิบว่า “พี่ใหญ่ว่าข้าควรให้อภัยเขาหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงได้เข้าใจว่านางหมายความถึงผู้ใด จึงได้ถามเสียงเบาว่า “เจ้าคิดอยากอภัยเขาเช่นนั้นหรือ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ เมื่อก่อน ข้าเกลียดเขามา เกลียดมาก เกลียดมากๆ เกลียดมากที่สุด หวังจะเห็นเขาไม่ตายดี หวังว่าชีวิตนี้จะไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก แต่เมื่อได้ยินว่าเขาอาการหนัก ไม่รู้ว่าเหตุใด ใจของข้าช่างเจ็บ เจ็บมาก เจ็บมากที่สุด เจ็บจนควบคุมไม่ได้ ราวกับว่าหัวใจของข้าถูกเฉือนไปอย่างนั้น” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมา “ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่ข้าควบคุมมิได้ ข้าเกลียดเขามากไม่ใช่หรือ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งถอนใจ ย่อตัวลง โอบหัวของนางมาไว้ในอกตน “เย่ว์เอ๋อร์ จะทรมานตัวเองเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน ฟังพี่ เจ้าไปเยี่ยมเขาเถิด” 

 

 

เสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์สะอื้นขึ้น ยื่นมือออกมาโอบเอวนาง “แต่ว่า เขาฆ่าลูกของข้า” 

 

 

พูดจบ น้ำตาไหลรินออกมา เสียงร้องไห้ดังขึ้น ความเจ็บปวดที่เก็บเอาไว้ในใจตั้งแต่กลับมา บัดนี้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจนสิ้น  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกอดนาง ลูบหัวนางเบาๆ ปล่อยให้นางร้องไห้ดังเท่าที่ทำได้ 

 

 

หลายวันต่อมา หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้บอกคนในจวน ควบม้าไปยังหนานเฉิง  

 

 

นายประตูจำนางได้ รีบเข้ามารับหน้า “ท่านหญิงน้อย มาแล้วหรือขอรับ” 

 

 

“แขกที่มาพักอยู่ที่ใด” หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นเชือกผูกม้าให้เขา พร้อมถาม  

 

 

“พักที่เรือนหลักขอรับ ข้าน้อยพาท่านไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

“ไม่ต้อง เจ้าดูแลม้าให้ดี ไม่นานข้าจะกลับมา” 

 

 

นายประตูยืนที่เดิม หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้าไป 

 

 

ในเรือนมีคนกำลังทำความสะอาด เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา เงยหน้ามอง เมื่อเห็นชัดว่าเป็นผู้ใด จึงตกใจมาก “ฮอง ฮองเฮาเพคะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำหูทวนลม เดินตรงไปยังเรือนหลัก 

 

 

คนระหว่างทางมองนางด้วยความตกตะลึง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินสามารถลงมาจากเตียงได้แล้ว บัดนี้มีบ่าวสองคนพยุงเขาค่อยๆ เดินในห้อง หัวหน้าขันทีฮูวิ่งเข้ามา ไม่ได้ทำความเคารพ “ฝ่าบาท ฮอง ฮองเฮามาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ร่างของท่าป๋าหั่นหลินขยับเล็กน้อย  

 

 

ไทเฮาผุดลุกขึ้นมา ถามด้วยความยินดี “เย่ว์เอ๋อร์มาหรือ” 

 

 

สิ้นเสียง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ได้เปิดม่านเดินเข้ามา 

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ” 

 

 

ไทเฮาเข้ามาต้อนรับด้วยความประหลาดใจ  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินยืนที่เดิม แน่นิ่งราวกับเสียสติไปแล้ว  

 

 

“คารวะไทเฮาเพคะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์คารวะนาง นอบน้อมเสียจนห่างเหิน  

 

 

ฝีเท้าไทเฮาชะงักลง “เย่ว๋เอ๋อร์ เจ้า…” 

 

 

“ข้ามีเรื่องจะพูดกับฮ่องเต้รัฐอิง ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่เพคะ” 

 

 

ไทเฮาชะงัก จะนั้นพยักหน้า “สะดวก สะดวก” 

 

 

ตรัสจบ จึงเดินออกไปอย่างไม่ลังเล  

 

 

คนที่เหลือเห็นเช่นนั้น จึงเดินตามออกไปด้านนอก  

 

 

คนที่คิดถึงอยู่ทุกคืนวันมาปรากฏตัวตรงหน้า ปากของท่าป๋าหั่นหลินสั่นด้วยความตื่นเต้นอยู่นาน จึงได้พูดออกมาด้วยเสียงสั่น “เย่ว์เอ๋อร์” 

 

 

มุมปากของหวงฝู่เย่าเย่ว์ยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงด้วยความเย้นหยัน “ฮ่องเต้รัฐอิง ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตจะเดินมาถึงจุดนี้ได้” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเม้มปาก เอ่ยอย่างระวังว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า…” 

 

 

ยังพูดไม่จบ หวงฝู่เย่าเย่ว์ตัดบทเขา “ฮ่องเต้รัฐอิงพูดถูก ข้าเกลียดท่าน วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อจะมาดูให้เห็นว่าท่านอาการแย่จริงหรือไม่ ดูที ฮ่องเต้รัฐอิงรักตัวกลัวตายยิ่งนัก วันนี้จึงยังได้สบายดีอยู่ ช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง”