สีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินซีดขาว “ถ้าหาก ถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าตายล่ะก็…”
“เจ้าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับข้า ท่าป๋าหั่นหลิน ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง นับแต่วินาทีที่เจ้ามองดูข้าดื่มยาขับเลือดลงไป พวกเราก็มิเกี่ยวข้องอันใดกันอีก เจ้าอย่ามารบกวนคนในครอบครัวข้าอีกต่อไป”
พูดจบ ไม่ให้โอกาสท่าป๋าหั่นหลิน หันหลังเดินจากไปทันที
ไทเฮาพาคนมายืนรอที่บริเวณลานของเรือน ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน ขยับฝีเท้า หวังจะไปห้ามหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ “เย่ว์เอ๋อร์”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หูทวนลม เดินอ้อมร่างของนางไป ก้าวเท้ายาวตรงไปยังประตูใหญ่
ไทเฮามองนางเดินออกไปด้วยความฉงน พอได้สติคืนมา เดินกลับเข้าเรือนด้วยความกังวล
ท่าป๋าหั่นหลินกำลังฉีกยิ้มไร้สติ
ไทเฮาประหลาดใจ รีบเดินเข้าไปหา ถามด้วยความร้อนรนว่า “ลูก เจ้าฟังแม่นะ เย่ว์เอ๋อร์นาง…”
“เสด็จแม่”
ท่าป๋าหั่นหลินยิ้มพร้อมเรียกนาง ดวงตามีน้ำตารื้นออกมา “ในใจของเย่ว์เอ๋อร์ยังมีข้าอยู่ ข้าต้องรีบหายโดยเร็ว ให้นางยอมรับข้าอีกครั้ง”
ไทเฮาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตกใจ น้ำเสียงตระหนกกว่าครั้งไหน “ลูกแม่ แม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเย่ว์เอ๋อร์ทำร้ายจิตใจเจ้า แต่ภายหน้ายังอีกยาวนาน รอเจ้าหายดีแล้ว อย่างไรก็ยังมีโอกาสได้พบหน้านาง เจ้าอย่าถลำตัวเข้าไปจนออกมาไม่ได้เลย”
ท่าทางของท่าป๋าหั่นหลินผิดปกติมาก ไทเฮาคิดว่าเขารับไม่ไหว จนเสียสติไป จนทำให้พูดเช่นนี้ออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินเข้าใจดี จึงได้ยิ้มทั้งน้ำตาว่า “เสด็จแม่ ท่านได้โปรดวางพระทัย ข้ามิเป็นอะไร ข้าเพียงแต่ดีใจมากเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าชาตินี้เย่ว์เอ๋อร์จะยกโทษให้ข้า ข้า ข้า ข้า ข้าต้องรีบหายดี”
พูดจบ สั่งบ่าวรับใช้ให้พยุงร่างตนเดินไปมาในห้อง
ไทเฮามองเขาด้วยความสงสัย คิดถึงท่าทางเมื่อครู่ของหวงฝู่เย่าเย่ว์ อย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าลูกของตนตีความว่าเย่ว์เอ๋อร์อภัยให้แล้วได้อย่างไร
หวงฝู่เย่าเย่ว์คิดอยู่หลายวัน ในที่สุดจึงได้รวบรวมความกล้า ใช้ข้ออ้างว่ามาดูว่าท่าป๋าหั่นหลินตายแล้วหรือยังเพื่อมาหาเขา ระหว่างทางมาได้บอกตัวเองตลอด ว่าตนมาดูว่าเขาตายหรือยัง หากเขาใกล้ตายแล้ว ลูกที่ตายไปแล้วของนางก็จะมีคนไปดูแล แต่ว่า เหตุใด เมื่อเห็นใบหน้าซูบผอมและร่างกายโอนเอนของเขา ใจของตนจึงได้เจ็บนัก นี่ไม่ควรเลย นางเกลียดเขา หวังให้เขาตายโดยเร็วมิใช่หรือ
ควบม้าเร็วกลับมายังจวน นอนราบบนเตียงของตน จึงได้ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา เสียงร้องไห้อันเจ็บปวดดังสนั่นเสียงจนบ่าวรับใช้่ด้านนอกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงาน นั่งนิ่งอยู่ในเรือนตลอดบ่าย
นับแต่วันนั้น ไม่มีผู้ใดในจวนอ๋องไปหนานเฉิงอีกเลย
หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายของท่าป๋าหั่นหลินกลับมาเป็นดังเดิม
ไทเฮายินดียิ่งนัก เจรจากับเขา หวังจะไปขอบน้ำใจเมิ่งเชี่ยนโยวถึงที่
ท่าป๋าหั่นหลินห้ามนางไว้ “เสด็จแม่ เรื่องขอบคุณให้ข้าไปเถิด ท่านรออยู่ที่จวน รอข้ารับเย่ว์เอ๋อร์กลับมาเป็นพอ”
เดิมทีไทเฮาไม่เชื่อ แต่เห็นท่าทางมั่นใจเช่นนั้นของเขา จึงไม่ได้ขัด เพียงแต่ตรัสอย่างกังวลว่า “ลูกแม่ หากเจ้าอยากสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์กลับมาอีกครั้ง ต้องมีร่างกายที่เข็งแรงก่อน เจ้าอย่าเป็นดังเช่นครั้งก่อนอีก แม่รับไม่ไหวอีกแล้ว”
“เสด็จแม่วางพระทัย เมื่อก่อนข้าคิดว่าไม่มีหวัง ดังนั้น ร่างกายจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน บัดนี้ข้ารู้ว่าเย่ว์เอ๋อร์ยังมีใจให้ข้า ข้าจะต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี”
ไทเฮาเห็นว่าเขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ไม่เหมือนว่าจะไปตาย จึงได้วางพระทัย พระพักตร์มีรอยยิ้มออกมา โบกพระหัตถ์ให้เขา “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็รีบไปเถิด”
ท่าป๋าหั่นหลินตอบรับ ก้าวเท้าเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปถึงนอกเรือน รับรู้ถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ ราวกับว่าได้เกิดใหม่อีกครั้ง รีบกระโดดขึ้นหลังม้า ตรงไปยังจวนอ๋องฉีทันที
ผ่านมาหลายเดือน นายประตูเห็นเขาอีกครั้ง ราวกับว่าได้พบกับคนคุ้นเคยอย่างนั้น เห็นเขาเดินเข้ามาไม่ใกล้ไม่ไกล ราวๆ สิบจั้ง ก็รีบกล่าวทักทายเขา “ฮ่องเต้รัฐอิง ท่านได้โปรดหยุดตรงนี้ด้วย”
ท่าป๋าหั่นหลินกระโดดลงม้า ไม่ทำให้เขาลำบากใจ ยืนนิ่ง ยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าวว่า “ไปรายงานก่อน บอกว่าข้ามาแล้ว”
นายประตูมองเล็กน้อย เห็นว่าเขาไม่มีท่าทีว่าจะเดินต่อ จึงได้วางใจและไปรายงานที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว
วันนี้กั๋วจื่อเจี้ยนหยุดพักการเรียน หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยกำลังประลองวิชาอยู่กับหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น จึงได้สั่งชิงหลวนว่า “ไปบอกเฮ่าเอ๋อร์และรุ่ยเอ๋อร์ ว่าให้ไล่ตีท่าป๋าหั่นหลินออกไป ไม่ต้องออมมือ”
ชิงหลวนรับคำ ส่งต่อคำสั่งนางให้ทั้งสองคน
ทั้งสองได้ยินดังนั้น รีบเดินตรงไปยังด้านหน้าทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นร่างทั้งสองเดินออกไปด้านนอก จึงได้กลับมายังห้องของตน
ทั้งสองออกมาจากประตู เห็นท่าป๋าหั่นหลินห่างออกไปสิบจั้ง ไม่พูดจา เข้าโจมตีพร้อมกันทันที
ท่าป๋าหั่นหลินมีความหวัง แน่นอนว่าเขาไม่ยอมถูกโจมตี ทำร้ายร่างกายของตนเองเป็นแน่ จึงได้ใช้วิชา ต่อสู้กับทั้งสองคน
บ่าวรับใช้ในจวนเห็นดังนั้น อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินดังนั้น จึงได้ชะงักเล็กน้อย
พวกหมิงเย่ว์เห็นท่าทางเหล่านั้น จึงได้มองตากัน เม้มปาก หมิงเย่ว์เอ่ยว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ให้ข้าไปดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมาเป็นปกติ ทำเสื้อผ้าให้หมิงเอ๋อร์ต่อไป น้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้อง เขารนหาที่ตายเอง โทษผู้อื่นมิได้”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางคิดผิด หลังจากที่หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยประลองวิชากับท่าป๋าหั่นหลินไปห้าหกสิบกระบวนท่าแล้ว กลับไม่สามารถเอาชนะเขาได้
ทั้งสองจึงได้เข้าใจ ว่าครั้งก่อนท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้โต้ตอบ มิเช่นนั้น ทั้งสองคงจะทำร้ายเขาไม่ได้
ผ่านไปอีกหลายสิบกระบวนท่า กลับดูไม่ออกว่าผู้ใดแพ้ชนะ หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยไร้ซึ่งท่าทางดูหมิ่นเขา ปรับสีหน้า ตั้งใจสู้กับเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน นั่งดื่มชากันอยู่ในเรือนอย่างสบายใจ ฟังรายงานจากบ่าวรับใช้เป็นระยะ
“จะยกโทษให้เขาเช่นนี้หรือ” หลังหวงฝู่อี้เซวียนดื่มชา วางแก้วชาลง ถามขึ้น
“แล้วอย่างไร หรือว่าเจ้าจะออกโรงไปตีเขาให้ตายเอง”
สถานะของท่าป๋าหั่นหลินพิเศษ สถานะของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เหมาะที่จะจัดการกับเขาเอง มิเช่นนั้นครั้งก่อนที่เขามาเมืองหลวง คงไม่เพียงแค่บาดเจ็บกลับไป แต่คงต้องหามกลับไป
“แต่ว่า ทางเสด็จพ่อและเสด็จแม่นั้น…”
“นั่นเป็นเรื่องของเขา มิใช่เรื่องของเรา พวกเรารอดูอะไรสนุกๆ ก็พอ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีอะไรจะพูด ลูกสาวของตน เขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของนางได้อย่างไร ใจของนางที่มีต่อท่าป๋าหั่นหลินยังตัดใจไม่ได้
แม้จะพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ฝนหมึก หยิบกระดาษออกมา วาดรูปหนึ่งมอบให้ชิงหลวน “รอพวกเขาสู้กันเสร็จแล้ว มอบรูปนี้ให้ท่าป๋าหั่นหลิน”
ทั้งสามคนสู้กันราวหนึ่งชั่วยาม ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ สุดท้ายทั้งหมดต่างทรุดลงที่พื้นอย่างไรเรี่ยวแรง หายใจหอบเหนื่อย
ชิงหลวนเดินออกไปจากจวน กล่าวกับหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อเฟยให้ท่านทั้งสองเข้าไปเจ้าค่ะ”
ทั้งสองพยุงร่างขึ้นมา ถลึงตาให้ท่าป๋าหั่นหลิน เดินโอนเอนเข้าไปในจวน
ชิงหลวนมอบกระดาษที่มีภาพวาดให้แก่ท่าป๋าหั่นหลิน “ซื่อจื่อเฟยมอบให้ท่าน นางให้ท่านกลับไป ดูรูปนี้ก่อนแล้วค่อยมาเจ้าค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินรับมาด้วยความงุนงง อดกลั้นความรู้สึกสงสัยเอาไว้ พยายามพยุงร่างขึ้นมา พยุงตัวให้มั่นคง จึงเดินไปแก้เชือกผูกม้าอีกทาง กระโจนขึ้นม้า กลับหนานเฉิง
ไทเฮาเห็นว่าเขานอกจากเสื้อผ้าจะสกปรกยุ่งเหยิงแล้ว ไม่ได้มีที่ใดบาดเจ็บ พระทัยที่กังวลอยู่จึงได้วางลง ยิ้มพร้อมสั่งคนวังไปเตรียมน้ำร้อน เพื่อให้ท่าป๋าหั่นหลินชำระร่างกาย
เมื่อชำระร่างจนสะอาด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา มองดูภาพวาดบนนั้น ขมวดคิ้วครุ่นคิด เมิ่งเชี่ยนโยวมอบภาพนี้ให้เขาหมายความมว่าอย่างไร ครุ่นคิดเช่นนี้จนกระทั่งมืดค่ำ ก็ยังคิดไม่ออก จึงได้จดจำภาพเอาไว้ในหัว จากนั้น ก็เผาภาพทิ้งเสีย
หลังนอนหลับเต็มที่ กินอาหารเช้าแล้ว กล่าวกับไทเฮาเล็กน้อย จากนั้นก็ควบม้าไปยังจวนอ๋องทันที
นายประตูห้ามเขาเอาไว้ตั้งแต่ห่างจากประตูจวนสิบจั้ง แต่ว่า ครั้งนี้รับเชือกผูกม้าของเขามาแล้ว กดเสียงต่ำเอ่ยข้างหูเขาว่า “ซื่อจื่อเฟยบอกว่า วันนี้นายน้อยทั้งสองไปกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว ไม่มีผู้ใดห้ามท่าน ท่านสามารถตรงไปยังเรือนหลักได้ขอรับ”
พูดจบ หยิบเชือกมา จูงม้า หวังจะผูกไว้กับต้นไม้
ท่าป๋าหั่นลินเข้าใจทันที จึงได้ยืดตัวขึ้น เดินผ่านร่างเขาไป ตรงไปในจวน
นายประตูรีบตะโกนตามหลังเขาว่า “เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ท่าป๋าหั่นหลินทำเป็นไม่ได้ยิน เดินเร็วกว่าเดิม กว่านายประตูทิ้งเชือกในมือลง วิ่งตามเขามา เขาก็ได้เข้าไปด้านในเสียแล้ว
นายประตูยืนโวยวายอยู่ด้านนอก ทำให้บ่าวรับใช้ในจวนต่างมองมา
ท่าป๋าหั่นหลินเดินตรงเข้าไปยังเรือนหลัก
หลิงหลงเห็นเขาบุกเข้ามายังเรือนหลัก สีหน้าเปลี่ยนไป รีบไปรายงานทันที
อ๋องฉีได้ยินดังนั้น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที เดินออกไปด้านนอก หยิบท่อนไม้ข้างกายมาด้วย ไม่พูดสิ่งใด ทุบเข้าไปที่ร่างท่าป๋าหั่นหลินทันที
ท่าป๋าหั่นหลินเดินถอยหลังทันที “ท่านปู่ ท่านฟังข้าก่อน ข้า…”
เรียกได้คำเดียว ท่อนไม้ก็ได้ลอยมาแล้ว
ท่าป๋าหั่นหลินหลบไม่ทัน จึงถูกตัวเข้า จนโอดร้อง โอ้ย ออกมา ทำเอาบ่าวในเรือนต่างตกใจจนตัวสั่น
พร้อมกันนั้นมีคนวิ่งมาหยิบท่อนไม้ขึ้นมาอย่างชำนาญ มอบคืนให้อ๋องฉี
ท่าป๋าหั่นหลินกัดฟัน เดินถอยลัง “ท่านปู่ ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ท่านใจเย็นๆ ก่อน ข้า…”
ท่อนไม้ลอยผ่านอากาศมาพร้อมเสียงลม
ท่าป๋าหั่นหลินเอนตัวหลบ
บ่าวรับใช้หยิบขึ้นมาอีกครั้ง
อ๋องฉีรับมา หรี่ตาลง โบกไม้ขว้างมาทางท่าป๋าหั่นหลิน
ท่าป๋าหั่นหลินหันหลังเดินออกจากเรือนหลัก เดินตรงไปอีกทางอย่างไม่ตระหนก
อ๋องติดตามมาด้านหลังอย่างไม่ลดละ