บทที่ 1537 ประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ตอนนี้ตรงนี้ไม่มีใครสงสัยในข่าวกรองของโพ่จวินแล้ว

ส่วนโพ่จวินก็เริ่มสงสัยนิดหน่อยว่าข่าวของตัวเองมีปัญหาอะไรรึเปล่า เพราะรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย ในใจไม่มีมความมั่นใจ ถึงอย่างไรช่องทางข่าวสารของกองทัพองครักษ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ข้างล่างพูดอะไรมาก็เชื่ออย่างนั้น ตอนนี้พอได้ยินรายงานของซือหม่าเวิ่นเทียน ก็พบว่าเป็นความจริงแล้ว ในใจมีความมั่นใจขึ้นมาทันที

ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆ นอกตำหนักดาราจักรก็มีเสียงคนดังขึ้น เตือนว่า  “ฝ่าบาท ถึงเวลาเข้ารประชุมราชสำนักแล้ว!”

ประมุขชิงหันกลับมาตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “สมควรตาย! ไม่เห็นรึไงว่าข้าติดธุระ? ให้พวกเขารอก่อน!”

คนที่อยู่ตรงประตูตกใจทันที ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ฝ่าบาทโมโห ซ่างกวนชิงโบกมือให้เล็กน้อย ทำให้คนคนนั้นรีบถอยออกไป

เมื่อเห็นความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ตัวเอง โพ่จวินก็ถอนหายใจเบาๆ อีก เสร็จแล้วถึงได้เล่าสิ่งที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาให้ฟังอย่างละเอียด

หลังจากเล่าเรื่องราวจบแล้ว โพ่จวินที่สรุปผลการรบก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นบ้างนิดหน่อย เริ่มตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “ธงพยัคฆ์น้ำเงินของหนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงทัพแตกแล้ว ประหารคนไปห้าแสนกว่า จากนั้นก็นำคนไล่สังหารทหารหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงที่หลบหนี หลังจากโจมตีจนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ในอึดใจเดียว ถึงได้ถอนกำลัง! ส่วนความเสียหายของกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินห้าหมื่นก็สูงถึงแปดส่วนขอรับ แทบจะโดนโจมตีจนพิการ มีเพียงคนจำนวนหมื่นนิดๆ ที่รอดชีวิตจากการเข่นฆ่านี้ บนตัวของคนที่รอดก็แทบจะบาดเจ็บทุกคน ตอนนี้กำลังรอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิมขอรับ!” พูดจบก็กุมหมัดต่อประมุขชิงอย่างหนักแน่น สื่อว่ารายงานจบแล้ว

แต่ละคนที่อยู่ในตำหนักพูดไม่ออก ถ้าไม่ตกใจก็ตกตะลึง ต่างก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ แววตาวูบไหว ยังคงจมอยู่ในเหตุการณ์ที่โพ่จวินรายงานให้ฟัง

ศึกเลือดหนึ่งสนาม ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งสองฝ่ายมีคนตายไปเกือบหกแสน นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ?

ต่อให้ไม่เห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่าศึกนี้ดุเดือดขนาดไหน แสดงว่าคนต้องตายราวกับฝนตกถึงได้รบตายไปหกแสนกว่าภายในเวลาครึ่งชั่วยาม แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อฆ่าคนจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ต้องเห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่ากำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นเศร้าสลดและเร้าใจขนาดไหน ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อสู้ตายแล้ว

และภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ทหารที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่งหมื่นยังกล้าเป็นฝ่ายรุกโจมตีอีก ไล่ตามโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหลายแสนจนหลบหนีพ่ายแพ้ มันช่าง…

โดยเฉพาะตามที่บอกในรายงาน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะรวมตัวกันตะโกนเสียงดังบอกว่ายอมล่อศัตรู ให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไปและเก็บร่างกายอันมีค่าไว้ล้างแค้นให้พวกเขา!

เมื่อได้ยินรายงานนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่สะเทือนใจ!

ทุกคนแอบทอดถอนใจ ใช่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต มีหรือที่จะยืนหยัดอยู่ในวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หนึ่งล้านได้นานขนาดนั้น มีหรือที่จะยืนหยัดได้จนชัยชนะมาถึง

ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ฟังคำโน้มน้าว กลับมาพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ศึกนี้เรียกได้ว่าร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ทหารทุกคนเชื่อฟังคำสั่งจริงๆ!

ในตำหนักดาราจักร ทุกคนยืนเงียบอยู่ที่เดิม ราวกับเอาตัวไปอยู่ในสนามรบเอง ยากที่จะดึงตัวออกมาจากเหตุการณ์นั้น!

อู๋ฉวี่เป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา บอกไม่ถูกว่ามีสีหน้าอย่างไร มีทั้งความตกตะลึงและความสะท้อนใจ และก็มีความละอายด้วย!

จะไม่ให้ละอายใจคงยาก เพราะเขารู้ว่าลูกน้องคนสำคัญทุกคนของน่านฟ้าระกาติงล้วนออกไปจากหน่วยองครักษ์ขวาของเขา การนำทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปทำศึกแบบนี้ได้ ทั้งยังโดนกำลังทหารหมื่นกว่าไล่สังหารจนทหารที่แข็งแกร่งหลายแสนคนหนีหัวซุกหัวซุน แบบนี้ทำเขาเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ!

ในฐานะที่มีพื้นเพมาจากผู้บัญชาการทัพใหญ่ พอได้ฟังก็ย่อมรู้ว่ากุญแจสำคัญของความพ่ายแพ้นี้อยู่ตรงไหน

เขาจำชื่อ ‘เหยียนชุน’ นั่นได้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องฉีกร่างคนคนนี้ทั้งเป็นแน่นอน  ไม่น่าเชื่อว่าจะแพ้ยับเยินขนาดนี้จนทำให้คนอื่นได้ชื่อเสียงบารมีไป!

หลังจากนั้นนานมาก ประมุขชิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ แล้วหรี่ตาบอกว่า  “ห้ามหมื่นคน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านพ่ายแพ้ กองทัพองครักษ์ยังไม่เคยมีตัวอย่างแบบนี้มาก่อน ช่างเป็นขุนพลพยัคฆ์จริงๆ! มีพรสวรรค์ของนายพล!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ทุกคนย่อมรู้ว่าประมุขชิงกล่าวชมใคร

ทว่าใครจะคิดว่าตอนหลังประมุขชิงจะกล่าวเสริมอีก “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้โดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่นึกไม่ถึงว่าจะบัญชาการกำลังพลกองมังกรดำได้คล่องแคล่วตามใจประสงค์ นึกไม่ถึงว่าเขาจะดูแลจัดการกองมังกรดำได้ลึกซึ้ง กองทัพห้าวหาญชาญศึกที่มีพลังรบองอาจกลุ่มนี้ได้ผ่านพิธีชำระล้างจากศึกเลือดครั้งนี้แล้ว ล้วนกลายเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญกันหมด ในอนาคตถ้ามีการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา ก็เกรงว่าจะไม่ฟังคำสั่งใครแล้วนอกจากหนิวโหย่วเต๋อ ปัญหานี้เก็บไว้ไม่ได้ โพ่จวิน เดี๋ยวกลับไปกระจายกำลังพลกลุ่มนี้ออกไปด้วย หน่วยองครักษ์ขวายังรับคนได้อีกครึ่งหนึ่ง”

นี่ตัดสินว่าเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญเลยเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงแอบสบตากันอีกครั้ง ต่างก็เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นของประมุขชิง ในใจพวกเขาแอบปลงอนิจจัง นึกไม่ถึงว่ากำลังพลที่เพิ่งสร้างผลงานการรบที่ดังเกริกก้องจะโดนจับแยกกันแล้ว แต่ที่จริงกำลังพลกลุ่มนี้ก็สร้างผลงานการรบโดดเด่นเกินไป ถึงแม้ศักยภาพรายบุคคลของกำลังพลกลุ่มนี้จะยังไม่เก่งกาจสักเท่าไร แต่ของแบบนี้ก็เพิ่มกันได้ ถ้าลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาทีละก้าว กำลังพลกลุ่มนี้ก็จะกุมอำนาจทางทหารที่มากกว่าเดิม อาศัยแค่ที่คนกลุ่มนี้ตะโกนบอกว่าจะสละชีพเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ารวมตัวกันขึ้นมาจะเกิดผลลัพธ์อะไรที่คาดเดาได้ยากรึเปล่าล่ะ? นี่ต่างหากสาเหตุสำคัญที่ฝ่าบาทต้องกระจายกำลังพลกลุ่มนี้

ที่จริงไม่ว่าใครก็เข้าใจทั้งนั้น สำหรับฝ่าบาทแล้ว พลังรบของกำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้สำคัญเท่าอำนาจที่มั่นคงของฝ่าบาทเลย

แน่นอน ทั้งสองไม่คัดค้านสิ่งนี้เช่นกัน เพราะตราบใดที่เป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องประมุขชิงได้ ก็เท่ากับเป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องพวกเขาได้เช่นกัน

และทั้งสองก็ฟังความหมายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งออกเช่นกัน การกระจายกำลังพลออกจากกันก็เท่ากับว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ต้องตายแล้ว!

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แสดงออกว่ายินดีจะรับกำลังพลครึ่งหนึ่งเอาไว้

“ฝ่าบาท…” เห็นได้ชัดว่าโพ่จวินยังมีอะไรจะพูดอีก

“หืม?” แต่ประมุขชิงทำเสียงเหมือนสงสัย พลันจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สบตากับโพ่จวินพลางเม้มริมฝีปากแน่น เขาจึงต้องกลืนสิ่งที่พูดกลับลงไป แล้วกุมหมัดคารวะขานตอบอย่างยากลำบากว่า “ขอรับ!”

เขาอยากจะอาศัยสิ่งนี้สร้างทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่เขาก็เข้าใจความคิดของประมุขชิงเช่นกัน เรื่องบางเรื่องเขาสามารถต่อต้านประมุขชิงได้ แต่รื่องบางเรื่องก็ไม่อาจขัดคำสั่ง ตราบใดที่เรื่องนั้นเป็นประโยชน์ต่อประมุขชิงในการควบคุมใต้หล้า เพียงแต่บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ

ประมุขชิงหันกลับไปมองเกาก้วนอีก “ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ถ้ามีหลักฐานว่าหนิวโหย่วเต๋อออกนอกลู่นอกทางจริงๆ ก็ลงโทษตามกฎ!”

“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ

“เข้าประชุมราชสำนักเถอะ!” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเดินก้าวยาวออกไป แล้วทุกคนก็เดินตามหลัง

เวลาเข้าประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ขุนนางหลายร้อยเข้ามาในตำหนักฟ้าดินแล้ว

ในบรรดาคนพวกนี้มีบางส่วนที่กุมอำนาจที่แท้จริงฝ่ายต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ รวมทั้งผู้ตรวจการใหญ่ที่ควบคุมแต่ละหน่วยของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาด้วย ที่มากกว่านั้นคือสมาชิกที่อยู่ในระดับและตำแหน่งที่ว่างงาน รวมทั้งเซี่ยโห้วท่าด้วย แต่ในบรรดาคนพวกนี้เซี่ยโห้วท่าโดดเด่นที่สุด เพราะมีเขาคนเดียวที่มีเก้าอี้นั่ง กำลังนั่งค้ำไม้เท้าพลางหรี่ตาอย่างสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งชิดมุมข้างหน้า ทว่าสิ่งนี้ก็ทำให้มองเห็นเกียรติยศแล้ว ใครใช้ให้หลานสาวของเขาเป็นราชินีสวรรค์ล่ะ หลานสาวเขามีศักดิ์เป็นภรรยาที่นั่งตีเสมอกับราชันสวรรค์ได้

เวลาประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ยังไม่เห็นประมุขชิงออกมา ทุกคนกำลังรอเงียบๆ บางครั้งพวกอ๋องสวรรค์ที่อยู่หน้าสุดก็เอียงหน้าสบตากัน ในใจพวกเขาเข้าใจดี ว่าประมุขชิงเลื่อนเวลาประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าคงจะรู้เรื่องนั้นแล้ว

จนกระทั่งโพ่จวิน อู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนโผล่หน้ามา ทุกคนก็รู้ว่าประมุขชิงกำลังจะโผล่ออกมาแล้ว

บนบัลลังก์ฟ้าดินที่สูงส่ง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาด้านล่างบัลลังก์ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็ยืนบนบันไดที่ต่ำลงมาไม่กี่ขั้น ทั้งสี่กึ่งยืนเข้าหาบัลลังก์กึ่งยันเข้าหาขุนนางใหญ่ที่ยืนเรียงแถวเป็นรูปตัวอักษร ‘八’ ในตำหนัก เอียงหน้ามองข้างบนก็จะเห็นคนที่นั่งบนบัลลังก์ เอียงหน้ามองข้างล่างก็จะเห็นขุนนางใหญ่ในตำหนัก

ส่วนผู้ตรวจการใหญ่ยี่สิบคนของกองทัพองครักษ์ก็แบ่งเป็นสี่กลุ่ม ไปยืนอยู่สี่มุมในตำหนักใหญ่ สายตากวาดมองกลุ่มคนในตำหนักเป็นระยะ ไม่เหมือนคนที่เข้าร่วมการประชุม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่เฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของขุนนางใหญ่ในตำหนักมากกว่า

ผ่านไปไม่นาน ประมุขชิงก็เดินออกมาจากตำหนักด้านหลังโดยมีซ่างกวนชิงติดตาม พอเดินมาถึงบัลลังก์ฟ้าดิน ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ ประมุขชิงยืนอยู่หน้าบัลลังก์แล้วมองสำรวจกลุ่มคนในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม

ทันใดนั้น กลุ่มขุนนางใหญ่ในตำหนักก็ทำความเคารพอย่างมีระเบียบ กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะฝ่าบาท!”

“ยืนขึ้น!” ประมุขชิงกล่าว ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลง

ซ่างกวนชิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงดังว่า “ถ้ามีเรื่องก็รายงาน ถ้าไม่มีเรื่องก็ถอยออกไป!”

ด้านล่างเงียบงันอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่รับตำแหน่งแต่ในนามก็ก้าวออกนอกแถวมาถามว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยได้ยินมาว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นของน่านฟ้าระกาติงปะทะกัน ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ขอรับ?”

“ฮึ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วกล่าวเสียงดังก้องตำหนัก “ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน สาเหตุที่มาเข้าประชุมช้าก็เพราะเรื่องนี้ เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ข่าวเจ้าไวเหลือเกินนะ ครั้งหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สงสัยข้าจะต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าเสียแล้ว”

เขาพูดแดกดันอย่างไม่ปรานี ทำให้คนคนนั้นที่เงยหน้าสบตาโดยตรงต้องก้มเหลือบตาลงเล็กน้อย “ข้าน้อยมิบังอาจ!”

เซี่ยโห้วท่าที่นั่งลงช้าๆ หลับตาพักผ่อน สี่อ๋องสวรรค์ที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ทำท่าทางเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ที่จริงทุกคนก็รู้ว่าผู้ถามคือคนของหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าไม่มีการชี้แนะจากสี่ท่านนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาถาม

ในตำหนักใหญ่เงียบลงเล็กน้อย เซี่ยโห้วท่าที่หลับตาพักผ่อนพลันลืมตาเหลือบมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง ขุนนางใหญ่บางคนที่ได้รับสัญญาณจากเขาก้าวออกนอกแถวทันที แล้วก้าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอกล่าวโทษท่านโหวเซวียนหยวนจัว!”

“อ๋อเหรอ!” ประมุขชิงกวาดสายตามองเซวียนหยวนจัวที่ยืนเงียบไปสะทกสะท้านแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

คนคนนั้นกล่าวอย่างโมโหว่า “เรื่องของน่านฟ้าระกาติง ข้าน้อยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ตามที่ข้าน้อยรู้มา เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงบังคับแต่งงานกับผู้หญิงของแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวง เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกเลือดกัน ถ้าแม้แต่คนแบบนี้ก็ยังกล้าใช้งาน ก็จะเห็นได้ว่าท่านโหวเซวียนหยวนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งโหวเลย ข้าน้อยขอเสนอให้ถอดเซวียนหยวนจัวออกจากตำแหน่งโหวขอรับ”

สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวเซวียนหยวนจัว “เซวียนหยวนจัว เป็นอย่างนี้รึเปล่า?”

เซวียนหยวนจัวก้าวออกจากแถว “ข้าน้อยไม่ทราบสถานการณ์ขอรับ” ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แก้ตัวให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ทันที

ขุนนางตำแหน่งว่างคนนั้นตำหนิทันทันทีว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกน้องเจ้า เจ้าจะไม่รู้สถานการณ์เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีใครรายงานเจ้าเลย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าเจ้าไม่ตั้งใจทำหน้าที่ท่านโหว เปลี่ยนให้คนมีความสามารถมาทำดีกว่า”

เซวียนหยวนจัวตอบว่า “ที่ข้าบอกว่าไม่รู้สถานการณ์ก็เพราะว่าข่าวตีกันมั่ว เพราะเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ข้าไม่อาจนำเรื่องที่ปนกันมั่วซั่วมาพูดเรื่อยเปื่อยบนการประชุมราชสำนักหรอก หลังจากประชุมราชสำนักแล้วข้าจะไปตรวจสอบทันที หลังจากตรวจสอบแล้วก็ย่อมรายงานโดยละเอียดได้”

………………………