บทที่ 1538 ขุนพลพยัคฆ์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เพิ่งจะพูดจบ ก็มีขุนนางอีกคนโผล่ออกมาหัวเราะลั่นสามที แล้วชี้เขาพร้อมพูดแดกดันว่า “ช่างน่าขัน! เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว หลังจากได้รับข่าวก็ควรจะสั่งให้คนไปสืบรายละเอียดทันทีสิ ยังจะรอให้การประชุมราชสำนักจบแล้วค่อยสืบรายละเอียดอีก เจ้านี่ทำหน้าที่ท่านโหวแบบผ่อนคลายจริงๆ!”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ได้สั่งให้คนไปสืบในทันที?”

“นี่เจ้าพูดเองนะว่าจะสืบรายละเอียดหลังจากการประชุมราชสำนักจบ”

“จับผิดคำพูดที่ตกหล่นของข้าเพื่อมาพิสูจน์ว่าข้ามีความผิดเหรอ?”

“ดี! ในเมื่อสืบแล้ว เช่นนั้นสืบได้ผลลัพธ์รึยังล่ะ?”

“ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น การจะสืบให้ได้ผลไม่ต้องใช่เวลารึไง?”

“หากสืบแล้วพบว่าฉู่จื่อซานมีปัญหาจริงๆ ท่านโหวเซวียนหยวนจะทำยังไง?”

ขุนนางใหญ่ตำแหน่งว่างกลุ่มหนึ่งทยอยกันก้าวออกมา พากันใช้ปากล้อมโจมตีเซวียนหยวนจัว ประชิดเข้ามาติดกัน หมายจะกดดันให้เซวียนหยวนจัวยอมให้คำสัญญา แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ประมุขชิงก็กล่าวว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ในเมื่อเซวียนหยวนจัวบอกแล้วว่าหลังจากสืบจะพูดอีกที เช่นนั้นก็รอสืบให้ชัดแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นใครเป็นใครมองปราดเดียวก็เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเถียงกันตรงนี้ไม่จบไม่สิ้น พอแล้ว คุยประเด็นต่อไป!”

มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ทุกคนนับว่าดูออกแล้ว ว่าเดิมทีฝ่าบาทไม่ได้คิดจะลงโทษเซวียนหยวนจัวอยู่แล้ว เลยกดเรื่องนี้เอาไว้ข้างๆ เสียเลย

แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่ก็คืออำนาจพิเศษที่ประมุขชิงมีคนเดียวเท่านั้น ขอเพียงหาเหตุผลได้นิดหน่อยก็สามารถตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้เรื่องนี้คืบหน้าช้าหรือเร็ว ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าร่างกายไม่สบาย แล้วขอออกจากการประชุมกลางคัน เจ้าก็จะฝืนดึงตัวอีกฝ่ายไว้เพื่อสืบเรื่องราวให้ชัดเจนไม่ได้

พวกขุนนางใหญ่ที่เพิ่งใช้ปากโจมตีเมื่อครู่นี้มองพวกที่ยืนอยู่แถวหน้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่านพวกนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็ทำได้เพียงหุบปากไป

สี่อ๋องสวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าคนที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้คือคนของพวกเขา เมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดอย่างพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะออกหน้าเองทุกเรื่อง ย่อมมีคนกระโดดออกหน้าก่อนอยู่แล้ว จากนั้นพวกเขาค่อยตัดสินใจตามสถานการณ์อีกทีว่าจะออกโรงเองหรือไม่

และทั้งสี่คนก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เป็นเพราะเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานจริงๆ เซวียนหยวนจัวอาศัยข้ออ้างนี้ ไม่ว่าใครตะยั่วยุอย่างไรเขาก็ยืนยันหนักแน่นว่ายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ไม่มีใครพูดได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ที่ตัวเองเพิ่งรู้มาจะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย เซวียนหยวนจัวจึงยืนนิ่งไม่ลนลาน ถ้าเรื่องนี้ยังไม่เปิดโปงอย่างถึงที่สุด ก็ไม่มีใครทำอะไรเซวียนหยวนจัวได้ มีแต่ต้องรอให้ได้ผลลัพธ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

การประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ที่น่าเกรงขามไร้ที่เปรียบในจินตนาการของผู้คนในใต้หล้า ยุติการถกเถียงโวยวายลงชั่วคราว เริ่มหัวข้อประชุมใหม่แล้ว

หลังจากการประชุมราชสำนักจบลง กลุ่มขุนนางก็ทยอยกันเดินออกมา

“ท่านโหวเซวียนหยวน!” อันถู เทพประจำดาวดินวอกที่กำลังเดินลงบันไดเรียกเซวียนหยวนจัวเอาไว้

เซวียนหยวนจัวหันไปมอง แล้วหันตัวไปต้อนรับทันที กุมหมัดคารวะบอกว่า “เทพประจำดาว!”

เทพประจำดาวดินวอกอันถูกล่าวเสียงเรียบว่า “กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าสืบหารายละเอียดสักหน่อยแล้วกัน”

“ขอรับ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยรับ เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะท่านนี้คือผู้บังคับบัญชาของตัวเอง

อันถูขานรับ “อืม” แล้วเดินออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ขณะที่มองดูเงาหลังของเขา เซวียนหยวนจัวก็ได้รับแรงกดดันแล้ว เทพประจำดาวดินวอกไม่เหมือนตำแหน่งว่างของพื้นที่อื่นที่แม้แต่เทพประจำดาวก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ด้วย อีกฝ่ายเป็นคนของจอมพลสายวอกอย่างแท้จริง และเป็นลูกน้องของอ๋องสวรรค์ก่วงด้วย เขาได้รับความลำบากเมื่อโดนขนาบอยู่ตรงกลาง แล้วฉู่จื่อซานก็ดันก่อเรื่องแบบนี้อีก การที่เทพประจำดาวดินวอกส่งคนมาช่วยสืบก็ย่อมไม่มีเจตนาดีอะไรอยู่แล้ว

“ท่านโหวเซวียนหยวน!” ด้านข้างมีคนเรียก

เซวียนหยวนจัวหันไปมอง เห็นแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่เฝ้าวังสวรรค์ อีกฝ่ายเอียงหน้าบอกใบ้เขา เขามองตามไปทางนั้น เห็นผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่ของหน่วยองครักษ์ขวากำลังยืนอยู่ใต้ชายคาตำหนักฟ้าดิน เขาถึงได้ยืนอยู่กับที่ รอให้ขุนนางคนอื่นๆ ออกไปให้หมดก่อน

ตำหนักหลังของตำหนักฟ้าดิน จู่ๆ ประมุขชิงก็ก้าวออกมาแสยะยิ้ม “เซี่ยโห้วท่า วันนี้เขาขยันเข้าประชุมราชสำนักขึ้นเยอะเลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะกระโดดออกมาประสมโรงด้วย อย่าบอกนะว่าเขาอยากจะเข้ามากวนน้ำให้ขุ่น? เจ้ามองอยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า เจ้าคิดว่ายังไง?”

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างหลังเขาโดยห่างเพียงหนึ่งก้าวตอบอย่างเคารพว่า “ตามที่บ่าวเห็น ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้อยากจะกวนน้ำให้ขุ่น แต่อยากจะเตือนฝ่าบาท”

ประมุขชิงตอบอ้อ แล้วถามอีกว่า “หมายความว่ายังไง?”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ให้คนของเขากระโดดออกมาเปิดเผยว่าเซวียนหยวนจัวกับหนิวโหย่วเต๋อทำศึกเพราะแย่งผู้หญิงกัน แต่กลับซักไซ้หาความรับผิดชอบเพียงเซวียนหยวนจัว แต่ไม่ถามหาความรับผิดชอบจากหนิวโหย่วเต๋อ แบบนี้กำลังเป็นการเตือนฝ่าบาทว่า คนอื่นๆ ไม่เอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อเลยด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวจะดังได้อย่างไร”

ประมุขชิงหยุดฝีเท้า นอกจากฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วที่เอ่ยชื่อหนิวโหย่วเต๋อออกมา คนอื่นๆ ก็ไม่เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ เขาถามอย่างสงสัยว่า “ทำแบบนี้มีเจตนาอะไร?”

“ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือขอรับ? ครั้งก่อนข้าน้อยเคยเอ่ยกับฝ่าบาท ครั้งก่อนภายนอกมีข่าวลือนี้แล้ว บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” ซ่างกวนชิงตอบ

“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ประมุขชิงกล่าว

ซ่างกวนชิงเอ่ยเบาๆ ว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”

ประมุขชิงนิ่งชะงัก หรี่ตาครุ่นคิดอย่างช้าๆ แล้วเริ่มแสยะยิ้ม “พวกเขาฝันหวานเกินไปแล้ว!” จากนั้นเหล่ตาบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ต้องทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวเสีย”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

“เซี่ยโห้วท่า…ตาจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ยังนึกว่าเขามีเจตนาดีอะไรจริงๆ เสียอีก ที่แท้ก็อยากกวนน้ำให้ขุ่นเท่าไรก็ยิ่งดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วเอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไป

และในตอนนี้ ทัพพิการของหนิวโหย่วเต๋อก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งน่านฟ้าระกาติงเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติอีก จึงสั่งให้นำกำลังพลไปหลบที่ตลาดสวรรค์ของดาวจิ่วหวนที่อยู่ใกล้ๆ กันก่อน รอให้เบื้องบนมาตรวจสอบ ที่จริงทัพเป่ยโต้วก็ไม่มีทางส่งคนตามมาคุ้มกันฝั่งนี้ได้ทันเวลาเช่นกัน ต่อให้น่านฟ้าระกาติงจะบ้าระห่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางทำเรื่องประเภทโจมตีตลาดสวรรค์อีกแน่นอน ทว่าคำสั่งนี้ตรงกับความคิดของเหมียวอี้พอดี สมปรารถนาเขาแล้ว เขาย่อมปฏิบัติตามคำสั่งในทันที รีบเร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน

ทำไมถึงรีบเร่งขนาดนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ว่าอวิ๋นจือชิวถูกคนของตำหนักคุ้มเมืองพาตัวไปแล้ว

ที่จริงตอนที่อวิ๋นจือชิวเพิ่งถูกพาตัวไป เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้ส่งข่าวให้เหมียวอี้แล้ว แต่จนใจที่ตอนนั้นเหมียวอี้กำลังอยู่ในศึกเลือด ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้เลย

และข่าวที่แพ่บนตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็แพร่ไปยังจุดต่างๆ ในดาราจักรอย่างรวดเร็ว แม้แต่กองมังกรดำที่อยู่ฝั่งอุทยานหลวงก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน

ใต้ศาลาเย็นบนไหล่เขา หยางชิ่งเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้ารันทดอย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก

คนอื่นได้ยินเพียงว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกกัน แต่เขาแค่ได้ยินครั้งก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เลยมายืนมองท้องฟ้าเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงนี้

หน้าอกหยางชิ่งค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น แต่จู่ๆ ร่างกายก็สั่นสะท้าน “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกุมที่หัวใจ แล้วใช้มืออีกข้างจับเสาศาลา โซเซก้มหน้าพลางหอบหายใจ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าน้อยไม่มีค่าพอจะไปวางแผนให้เขา…”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ลูกชายสามคนของตระกูลโค่วเดินตามหลังโค่วหลิงซวีไปที่หอสามรากฐาน

“หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของข้าจริงๆ!” โค่วเจิงที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจยาว

โค่วฉินที่อยู่ข้างกันบอกว่า “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองอีก มิหนำซ้ำ ข้าก็ได้ยินมาว่าที่หนิวโหย่วเต๋อชนะได้ก็เป็นเพราะแม่ทัพน่านฟ้าระกาติงที่ชื่อว่า ‘เหยียนชุน’ ไร้ความสามารถ ไม่อย่างนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อคงตายหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!”

“เจ้านี่ช่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จริงๆ!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะยาวพูดแดกดัน แล้วชี้เขาพร้อมบอกว่า “คนที่พูดแบบนี้กับเจ้าก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เป็นพวกที่ไม่เคยสู้สุดชีวิตบนสนามรบมาก่อน! ตอนอยู่บนสนามรบสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า โอกาสแวบผ่านไปผ่านมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อตัวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถ้าพลาดขึ้นมาเมื่อไร แค่คิดก็รู้ถึงผลที่จะตามมาแล้ว ทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำ ‘หน่วยกล้าตาย’ มุ่งตรงไปหาฉู่จื่อซานล่ะ ชัดเจนแล้วว่าต่อให้ฉู่จื่อซานไม่นำทัพออกรบ เขาก็จะยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตฉู่จื่อซานอยู่ดี สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าตอนนั้นเขาคว้าโอกาสดีๆ ในการรบได้แล้ว แล้วตอนหลังก็หาจุดอ่อนนิดหน่อยเพื่อทำให้วุ่นวาย เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ไม่ลังเลที่จะสั่งให้กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งละทิ้งความได้เปรียบของตัวเอง ต่อให้จะโดนโจมตีตายทั้งกองทัพแต่ก็ต้องสู้สุดชีวิต เจ้ารู้รึเปล่าว่าในฐานะแม่ทัพหลักนั้นจะต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวขนาดไหน ต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนกว่าจะออกคำสั่งนี้ได้?

เมื่อเจอเหตุไม่คาดคิดอีกครั้งก็ตัดความหวังสุดท้ายในการคว้าชัยชนะของทัพใหญ่อย่างไม่ลังเล ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พวกนั้นกับมือตัวเอง เพื่อจะให้ทัพใหญ่ทนได้อีกสักหน่อย เมื่อเห็นว่าทัพจะโดนโจมตีจนตายหมด เขาก็ใช้อุบายก่อกวนทำให้ขวัญกำลังใจกองทัพฝ่ายศัตรูปั่นป่วน แล้วคว้าชัยชนะได้ในรวดเดียว จากนั้นก็ใช้กำลังพลที่เหลือรอดอยู่หมื่นกว่าไล่สังหารทัพที่แข็งแกร่งหลายแสน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการทำสิ่งนี้ต้องใช้ความกล้าขนาดไหน? เขาทำแบบนี้ก็เพียงเพื่อโจมตีทัพฝ่ายศัตรูให้แตกพ่าย ไม่ให้โอกาสศัตรูโจมตีกลับอีก! สุดท้ายก็คว้าผลงานการรบไว้ได้อย่างมั่นคง! ผู้บัญชาการทัพที่คว้าโอกาสดีในการรบได้หนึ่งครั้งก็ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์  ผู้บัญชาการทัพที่สามารถคว้าโอกาสในการรบได้ทุกครั้งนั้นถือว่ายอดเยี่ยม และเขาก็ไม่ใช่แค่คว้าโอกาสดีที่ผ่านมาเพียงชั่วแวบเดียวได้ทุกครั้ง เวลาที่ไม่มีโอกาสเขาก็สร้างโอกาสขึ้นมาเองด้วย นี่คือคุณสมบัติที่หาได้จากตัวผู้บัญชาการทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น และไม่ใช่ว่าว่าได้มาเพราะโชคช่วยด้วย นี่คือขุนพลพยัคฆ์ ได้คนแบบนี้คนเดียวก็เท่ากับเลี้ยงทัพใหญ่หนึ่งล้าน เข้าใจมั้ย?”

โค่วฉินตะลึงค้างไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะอย่างเถียงไม่ออก “ลูกได้รับการชี้แนะแล้ว”

โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ค่อนข้างมีมาด เมื่อเห็นท่านพ่อสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาก็เหมือนจะไม่อยากให้น้องชายลำบาก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านพ่อ ทำไมไม่เห็นท่านอาถัง?”

โค่วหลิงซวีเอนตัวกับเกาอี้ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าให้เขาไปหาเหวินหลานแล้วไปดาวจิ่วหวนด้วยกันแล้ว”

โค่วเจิงแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อยอมเสียทุกอย่างเพื่อก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนั้นคืออวิ๋นจือชิว ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ อย่าบอกนะว่าท่านพ่อยังมีความคิดจะให้ใครแต่งงานกับเขาอีก?”

“นี่ก็คือข้อได้เปรียบของคนที่รู้เหตุการณ์ก่อน อีกสามอ๋องคงจะกำลังคุ่นคิดหาวิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” โค่วหลิงซวีหัวเราะเบาๆ “แน่นอน เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์พวกเราย่อมล้มเลิกไม่ได้”

สามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก มีบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าในเมื่อพูดแดกดันอีกสามอ๋องแล้วแต่ทำไมตัวเองไม่ละทิ้งวิธีการนี้

โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “วันนี้ตอนที่ไปวังสวรรค์ ข้าบังเอิญได้ยินเกาก้วนกับลูกน้องของเขากำลังพูดเรื่อง ‘ลูกสาวบุญธรรม’ ของตระกูลหนึ่ง สิ่งนี้เตือนข้าได้ดีมาก ข้าอยากจะเห็นว่าอีกสามอ๋องจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสนใจ ก็เลยให้เฒ่าถังไปจัดการแล้ว”

ทีแรกสามพี่น้องก็งุนงงก่อน จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน โค่วเหมี่ยนถามว่า “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อให้เหวินหลานพาท่านอาถังไปหาอวิ๋นจือชิว?”

“เหวินหลานรู้จักไม่ใช่เหรอ ให้คนคุ้นเคยเจอหน้ากันจะได้คุยง่าย” โค่วหลิงซวีตอบอย่างเกาไม่ถูกที่คัน

โค่วฉินขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อจะรับแม่หม้ายคนนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม? หรือว่าจะให้ท่านอาถังรับนางเป็นลูกบุญธรรม?”

โค่วหลิงซวีเหล่ตมอง แล้วเอานิ้วเคาะผิวโต๊ะแรงๆ พร้อมถามว่า “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

…………………………