ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 28 การล่ากลางความรกร้าง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูม้วนสาส์นแล้วก็ลอบทอดถอนใจ

โลกใบนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ แม้กฎเกณฑ์จะมีข้อบกพร่อง แต่จำนวนผู้แกร่งกล้ายังมากกว่าหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเสียอีก! ทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามคนที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย

ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ทั้งแปดคนนี้ ตามรายงาน มีจักรพรรดิเทพช่วงต้น จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองคน และมีจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ผู้ที่สามารถสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาทะลุทะลวงได้มีเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของสองคนนั้นไม่เคยเล็ดรอดออกมาเลย! เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีเคล็ดวิชาหลบหนีรักษาชีวิตพรรค์นี้ ก็ไม่อยากจะเผยแพร่เคล็ดวิชาของตนออกมาเลย

“ห้าชนิดที่เผยแพร่อยู่ในโลกภายนอกนั้น มีสามชนิดที่เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น อีกสองชนิดเป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

“คัมภีร์เหล่านี้แทบจะถูกขุมอำนาจใหญ่เก็บสะสมเอาไว้หมดแล้ว”

“คิดอยากได้คัมภีร์เหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนต้องเข้าร่วมกับขุมอำนาจใหญ่แล้วอุทิศตนด้วยความภักดี หรือถึงขั้นต้องทำคุณประโยชน์มหาศาล”

ในโลกใบนี้

ในบรรดาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ยังนับว่าได้มาค่อนข้างง่าย เพราะถึงอย่างไรจ้าวเทพก็มีมากมายยิ่งนัก นอกจากนี้อาศัยคัมภีร์ ต่อให้บำเพ็ญจนมีจ้าวเทพเกิดขึ้นมาจริงๆ สำหรับขุมอำนาจใหญ่แล้วก็ไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด ส่วน ‘คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพ’ นั้นได้มายากเสียยิ่งกว่ายาก อย่างสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานก็เก็บสะสมคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเอาไว้ถึงสามชนิดเลยทีเดียว และวางเอาไว้ในชั้นสูงสุดของหอสะสมคัมภีร์ทั้งสิ้น!

จะต้อง ‘จงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง’ เท่านั้น! จึงจะมีหวังได้คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพมา

“คัมภีร์ผู้เหินทะยานทั้งห้าชนิดนี้ ยังได้มายากกว่าคัมภีร์ของชาวโลกเทพเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า วัตถุหาได้ยากจึงจะล้ำค่า! ยอดฝีมือเก้าจุดเก้าส่วนของโลกเทพล้วนแต่เป็นชาวโลกเทพซึ่งบำเพ็ญสายเลือด ดังนั้น ‘คัมภีร์จักรพรรดิเทพ’ ทางด้านการฝึกสายเลือดจึงมีมากมาย แต่คัมภีร์ของผู้เหินทะยานกลับน้อยกว่ามากทีเดียว!

“จะต้องจงรักภักดีและสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกต่อต้านขึ้นมา

ในเมืองจวิ้นซาน เขาก็แค่รับหน้าที่ในยามว่างเท่านั้น! มิอาจนับได้ว่าจงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง จึงย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะพลิกอ่านคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพได้

ขุมอำนาจที่สามารถเก็บสะสมคัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพได้ ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเมืองจวิ้นซานมากทีเดียว! เมืองจวิ้นซานอยู่ในโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็แค่นับได้ว่าเป็นขุมอำนาจที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญแห่งหนึ่งเท่านั้น

“มีเพียงสองวิธีเท่านั้น”

“วิธีหนึ่งก็คือได้สมบัติล้ำค่าที่เพียงพอจะทำให้ขุมอำนาจใหญ่ตาเป็นมันอย่างมาก และทำการแลกเปลี่ยน”

“อีกวิธีหนึ่งก็คือ บัดนี้ในหอจิตฟ้าแห่ง ‘เมืองเจียงหยวน’ กำลังจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติระดับยอดอยู่ ในจำนวนนั้นก็มีคัมภีร์ผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เล่มหนึ่งก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ข้าจะไปเข้าร่วมประมูลสมบัติแล้วซื้อคัมภีร์เล่มนั้นมา หรืออาจถึงขั้นไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำ คิดหาวิธีศึกษาสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด

ไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่น่ะหรือ

ขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่มั่งคั่งมาก คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งเป็นรากฐานของขุมอำนาจใหญ่! ทว่าจงรักภักดีแล้วก็จะศึกษาน่ะหรือ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีแรงดึงดูดมากพอจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนได้

“เฮ้อ”

“ตอนนั้นข้าเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็ได้เสียสละร่างแยกไปร่างหนึ่ง มิได้พกสมบัติล้ำค่าอะไรติดตัวมาด้วยเลย”

“แม้แต่หอกยาวที่ข้าใช้อยู่เล่มนี้ ก็เป็นของที่สกุลอวี้เฟิงมอบให้ ยากจนเกินไปแล้ว มิอาจไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่ได้เลย! ทำได้เพียงคิดหาวิธีสะสมสมบัติล้ำค่า เพื่อไปเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น

งานชุมนุมประมูลสมบัติ

ยิ่งมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดเข้าร่วมมากเท่าใด ท้ายที่สุดจึงจะดันราคาขึ้นไปได้สูงพอ

ดังนั้นหอจิตฟ้าจึงจงใจปล่อยข่าว ประกาศเรื่องวัตถุล้ำค่าบางอย่างที่จะนำมาประมูลออกมาก่อนแล้ว! เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของโลกเทพ บวกกับการประกาศอย่างเหิมเกริม ถึงตอนนั้นการประมูลสมบัติก็จะยิ่งดุเดือดเข้าไปใหญ่

“งานชุมนุมประมูลสมบัติจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งพันสองร้อยปีข้างหน้า เมืองเจียงหยวนห่างจากเมืองจวิ้นซานไกลลิบ โดยสารเรือใหญ่ก็ต้องใช้เวลากว่าล้านปี งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็ประกาศออกมานานแสนนานแล้ว ทว่าหากข้าสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมากลับสามารถไปถึงได้อย่างรวดเร็ว เวลาก็ยังสบายๆ ในเวลาหนึ่งพันสองร้อยปีนี้ พยายามสะสมสมบัติล้ำค่าให้ได้มากที่สุด การจะสะสมสมบัติล้ำค่า…ก็มีแต่ต้องไปบุกฝ่าความรกร้างเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจออกมา

ความรกร้างนั้นอันตรายมาก

แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดทั้งหลายก็ล้ำค่ายิ่งนัก หลายตัวมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญสายเลือดของชาวโลกเทพ

“ชิงอิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุรากับศิษย์อยู่ จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

“ข้าเตรียมจะเก็บตัว หากเจ้ามีเรื่องสำคัญอันใดก็สามารถส่งสารตรงมาหาข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง จากนั้นก็พยักหน้ารัว “เจ้าค่ะ การเก็บตัวของท่านอาจารย์เป็นเรื่องเร่งด่วน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

ตนจะไปล่าสัตว์ท่ามกลางความรกร้าง รอจนถึงหนึ่งพันสองร้อยปีให้หลัง ก็จะไปยังเมืองเจียงหยวนเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติ! ระยะเวลาช่วงนี้สำหรับคนภายนอกแล้วก็แจ้งว่าเป็นการ ‘เก็บตัว’ ก็แล้วกัน! ต่อให้มีเรื่องสำคัญ เมื่อศิษย์ส่งสารมา ตนแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกไปก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“อาจารย์จะเก็บตัวแล้ว” ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกหดหู่ขึ้นมา “การเก็บตัวครั้งหนึ่งคงจะต้องนานกว่าร้อยล้านปีเลยกระมัง เกรงว่าอาจารย์ยังมิทันได้ออกมา ประมุขสมาคมจิตมารก็คงจะบุกสังหารมาแล้ว”

ลูกหลานที่มิใช่สายตรงของสกุลอวี้เฟิง คนในตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร อาจจะยังสามารถหนีไปได้

แต่บุคคลระดับสูงคนสำคัญของวงศ์ตระกูลอย่างและบุตรธิดาของ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ เกรงว่าประมุขสมาคมจิตมารคงจะไม่ปล่อยไปแน่

……

หลังจากศิษย์จากไปแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประกาศออกไปว่าจะเก็บตัว!

ภายในห้องเงียบ ร่างกายสั่นเครือคราหนึ่ง รูปร่างก็พลันเปลี่ยนแปรไป กลายเป็นหนุ่มน้อยชุดดำรูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญคนหนึ่ง

“ไป” ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วอันตรธานหายไปในนั้นทันที

เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นกลางความรกร้างแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองจวิ้นซานลิบลับ หากใช้เรือใหญ่บินไป ก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายแสนปีจึงจะไปถึงที่แห่งนี้ได้

“การล่ากลางความรกร้าง”

รอยแยกสีดำกลางอากาศกะพริบวาบคราหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็ลอดออกมาจากในนั้น แล้วยืนอยู่กลางอากาศพลางหันมองไปยังความรกร้างรอบกาย “สำหรับข้าแล้ว สัตว์ถิ่นร้างทั่วไปนั้นมีราคาต่ำยิ่งนัก หากจะหาก็ต้องหาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด! หากโชคดี พบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปก็ถือว่าโชคดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ

ความรกร้าง…

หากพูดถึงอันตราย นั่นก็คือเป็นอันตรายมากต่อชาวโลกเทพส่วนใหญ่ เพราะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพยังคงมีอยู่มากมาย

สำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นจักรพรรดิเทพ ความรกร้างก็เหมือนกับทางอันราบรื่น! เพราะสัตว์ถิ่นร้างนั้นแทบจะไม่มีพลังระดับจักรพรรดิเทพเลย! ดังนั้นอย่างเรือใหญ่ลำหนึ่งของเมืองจวิ้นซานสามารถบินมาถึงเมืองไม้บูรพาได้ในเวลาสองพันกว่าปี ก็ไม่กังวลว่าจะประสบกับอันตราย เพราะระหว่างทางแทบจะไม่มีโอกาสได้พบกับภัยคุกคามของระดับจักรพรรดิเทพเลย ระดับจักรพรรดิเทพโดยทั่วไปนั้นล้วนแต่เป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด’ ระดับต่ำทั้งสิ้น

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ร่างกายล้วนแต่แปรมาจากกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น! ร่างกายล้วนปรากฏขึ้นมาแล้ว แม้จะเป็นระดับต่ำ แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าในโลกใบนี้แล้ว ก็แทบจะเป็นสมบัติล้ำค่าไปหมด! มีจำนวนมากที่สามารถใช้บำเพ็ญพลังสายเลือดได้! แม้แต่สำหรับผู้เหินทะยาน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญของพวกเขาเช่นเดียวกัน

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่ปรากฏขึ้นจากวิถีอากาศ ราคาก็คงจะเหนือกว่าคัมภีร์ของผู้เหินทะยานลิบลับ!

“น่าเสียดาย”

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ มีสติปัญญาสูงส่งยิ่งนัก ผู้แกร่งกล้าในโลกเทพมีมากเกินไปแล้ว สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้จึงไม่ท่องไปทั่วความรกร้างตามอำเภอใจอย่างโง่งม แล้วซ่อนตัวอยู่แทบจะทั้งหมด บางตัวก็ลี้ภัยจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

เช่นจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้น

จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด นอกจากนี้หากบรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามไม่ออกหน้า  ผู้ใดก็ทำอะไรจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วมิได้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่อ่อนแอหลายสิบตนสวามิภักดิ์ต่อสำนักของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว!

สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำที่กล้าท่องไปท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพังนั้น…

โดยทั่วไป ล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน ยากจะสังหารได้

“หากสามารถสังหารได้ตัวหนึ่ง เช่นนั้นก็จะได้กำไรมากมายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำอาจจะสำแดงพลังออกมาได้ธรรมดาๆ แต่ร่างกายก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงยากนักที่จะสังหารมัน ยากลำบากกว่าสังหารชาวโลกเทพและผู้เหินทะยานที่มีพลังทัดเทียมกันมากมายยิ่งนัก! ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัย ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็อาจจะพอมีหวังที่จะรับมือกับตัวที่อ่อนแอที่สุดในจำนวนนั้นได้บ้าง

น่าเสียดายที่หาไม่พบเลย

……

ความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล สัตว์ถิ่นร้างระดับ ‘จ้าวเทพขั้นสุดยอด’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอยู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดสุดแล้ว จำนวนก็มีน้อยยิ่งนัก

มิเช่นนั้นแล้ว พวกที่มีพลังระดับจ้าวเทพก็คงไม่กล้าบุกฝ่าความรกร้างเพื่อเคี่ยวกรำแล้ว

“สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอดหายากเกินไปแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาอาศัยบริเวณอากาศเป็นฝ่ายออกตามหาเอง หลังจากตามหาได้หนึ่งปีกว่า ในที่สุดก็พบสัตว์ถิ่นร้างตนหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบแห่งหนึ่ง

………………………………..