ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 29 เมืองเจียงหยวน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

การควบคุมกลิ่นอายของสัตว์ถิ่นร้างนั้นย่ำแย่เกินไป ต่อให้เก็บงำมากยิ่งกว่านี้ เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถสัมผัสและจัดการได้อย่างง่ายดาย นี่คือระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอด

“สิ้นเปลืองเวลาไปหนึ่งปีกว่าๆ ทำการเสาะหา ในที่สุดก็พบกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเข้าตนหนึ่งเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจึงมีมูลค่าสูงพอ เพราะนี่หมายถึงเกือบจะสุดยอดของสัตว์ถิ่นร้าง อีกทั้งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพทั่วไปจึงสามารถสังหารได้ แน่นอนว่าผู้เหินทะยานระดับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั่วไปก็มีหวังที่จะทำได้สำเร็จเช่นกัน “ยังดีที่ข้ามีเวลาหนึ่งพันสองร้อยปี เชื่อว่าจะสามารถสังหารสัตว์ถิ่นร้างได้มากพอ”

พรึ่บ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินทะยานเคลื่อนผ่านทะเลสาบแห่งนี้โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว

ตอนที่เหินทะยานไปถึงบริเวณท้องฟ้าสักแห่งหนึ่งเหนือทะเลสาบ

“พรวด!” เงาร่างโปร่งแสงใหญ่มหึมาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางทะเลสาบในทันใด เงาร่างโปร่งแสงของมันยาวถึงสิบกว่าลี้ การพุ่งออกมานี้ก็รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วเงาร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มก็ห่อหุ้มร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใด!

“แคว่ก!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือขวาคราหนึ่ง

รอยแยกห้วงอากาศเส้นหนึ่งก็แผ่ลงมา ทาบทับลงบนร่างมหึมาที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงร่างนั้น บนร่างกึ่งโปร่งแสงนี้ยังมีใบหน้าอยู่ใบหน้าหนึ่ง การโจมตีนี้ ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มร่างนั้นกลายเป็นคลื่นตลอดร่าง ทำให้พลังการโจมตีนี้ถูกถอนไปอย่างสมบูรณ์ แต่อัตราเร็วของมันก็ช้าลงเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปในทันที ถอยหลังออกไปตามรอยแยกที่ห่อหุ้มอยู่อย่างรวดเร็ว

“จ้าวเทพช่วงสุดยอดหรือ ฮ่าฮ่า ยากนักที่จะได้พบกับอาหารอันโอชะเช่นนี้” ใบหน้าบนร่างกายอันโปร่งแสงขนาดมหึมาบิดเบี้ยว เสียงโครมครามดังก้องทั่วฟ้าดิน

เสียงยังคงดังสนั่น

มันบินทะยานเข้ามาอีกครั้ง ร่างโปร่งแสงของมันคล้ายกับไม่ได้รับแรงต้านทานใดๆ อัตราเร็วในการเหินทะยานรวดเร็วอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเคล็ดวิชาเหินทะยานวิถีอากาศก็ยังเร็วขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้อยากจะหนี จุดประสงค์ของเขาคือเพื่อสังหารสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ต่างหาก

“ปัง ปัง ปัง…”

สัตว์ถิ่นร้างตนนี้พุ่งปะทะไม่หยุด หมายจะห่อหุ้มคุมขังตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เป็นเป้าหมาย สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศต่างๆ มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็มิอาจทำร้ายสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ได้เลย “สัตว์ถิ่นร้างตนนี้มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดแข็งแกร่งเหลือเกิน การโจมตีของข้าก็เป็นการเกาตรงที่คันให้มันล้วนๆ แข็งแกร่งกว่าร่างมังกรค้างคาวของจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่มากนัก” ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มนั้นกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่งก็ทำให้พลังการโจมตีทั้งหมดลดลงไปจนสิ้น

“ยังสามารถซ่อนตัวได้จริงๆ ไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วดีกว่า” สัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมานี้พูดขึ้นมาในทันใด พร้อมกันนั้นร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มของมันกลับแยกออกเป็นเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะเส้นไหมโปร่งแสงที่แยกแปรออกมามีมากมายเกินไป ร่างกายของมันจึงหดเล็กลงไปเล็กน้อยด้วยเหตุนี้

เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนมหาศาลแน่นขนัดห่อหุ้มเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมดสิ้น

“หืม”

นิ้วมือที่ยื่นออกมาของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับเบาๆ

พรึ่บ

ฟองห้วงอากาศขนาดมหึมาฟองหนึ่งห่อหุ้มสัตว์ถิ่นร้างที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงตนนี้เอาไว้ในทันใด อีกทั้งยังห่อหุ้มเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นเอาไว้อีกด้วย ทันใดนั้นฟองห้วงอากาศก็หดเล็กลงกลายเป็นจุดดำ! แล้วระเบิดจนหมดสิ้นภายใต้นิ้วมือนิ้วหนึ่ง หลังจากระเบิดแล้วก็เผยตัวสัตว์ถิ่นร้างที่มิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเส้นผมออกมา

“ตายเสีย” สัตว์ถิ่นร้างตนนี้อับอายจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่มันแยกออกมากระหวัดรัดเกี่ยวกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เกี่ยวกระหวัดกันเป็นแส้โปร่งแสงเก้าอัน

ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ…

แส้โปร่งแสงเก้าอันมีพลังคุกคามอันดุร้ายเป็นที่สุด ฟาดฟันตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างอุกอาจครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ถึงแม้ว่าพลังคุกคามจะโหตเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ในความเป็นจริงแล้วด้วยพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านทานขึ้นมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะเขาสามารถหลบซ่อนตัวได้อย่างสบายๆ

“ถึงแม้ว่าสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่การรักษาชีวิตของตัวมันนั้นก็แข็งแกร่งเหลือเกิน เคล็ดวิชาวิถีอากาศของข้ามิอาจทำร้ายมันได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ ถ้าหากสามารถทำร้ายได้ สิ้นเปลืองเวลาก็ยังอาจจะสามารถเอาชีวิตได้ แต่จะทำร้ายก็ยังทำร้ายมิได้เลย! เช่นนั้นห้ำหั่นนานกว่านี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลา

“ข้ายังทำร้ายมันมิได้ ในบรรดาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด มันก็คงจะนับได้ว่าเป็นส่วนน้อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยคาดเดา

ใช่แล้ว

ถึงแม้ว่าจะมาออกล่าในถิ่นรกร้าง แต่เขาก็มิได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ถิ่นร้าง ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ มาได้อย่างเพียงพอ

หนึ่งก็คือข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างที่สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานเปิดเผย มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเพียงน้อยนิดยิ่งนัก สองก็คือหอจิตฟ้าสามารถซื้อหาข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างโดยละเอียดจำนวนมากพอได้ แต่ก็มีมูลค่าสูงพอดูเลยทีเดียว อีกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการจะอาศัยสิ่งนี้ขัดเกลาตนเองสักคราหนึ่งด้วย! ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ได้พบเข้ากับสัตว์ถิ่นร้างของ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเหยื่อของเขาทั้งสิ้น ไม่รู้ข้อมูลเลย ถึงอย่างไรก็ยิ่งมีผลในการขัดเกลาดีขึ้นมิใช่หรือ

สำหรับอันตรายเล่า

สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อเขาเลย

“เอาล่ะ มันก็มีเคล็ดวิชาแค่นี้เท่านั้นแหละ มิได้มีผลในการขัดเกลาอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว

ปัง…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางสัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมาตนนั้น สัตว์ถิ่นร้างตนนั้นยังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง แต่เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นก็โจมตีตรงเข้าใส่วิญญาณของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้แล้ว

พร้อมกันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้หมัดหนึ่งโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ หมัดนี้เป็นเพียงแค่การปกปิดเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงหากโลกเทพนี้มีผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่สามารถย้อนเวลามาถึงภาพเหตุการณ์การต่อสู้นี้ เคล็ดวิชาวิญญาณนั้นมิอาจมองเห็นได้ ภายใต้การย้อนเวลาก็สามารถมองเห็นได้แค่เพียงว่าตนโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จนตายภายในหมัดเดียว!

“พลั่ก” หมัดหนึ่งกระแทกโจมตี

ใบหน้าบนร่างกายโปร่งแสงขนาดมหึมาของสัตว์ถิ่นร้างกลับเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมาในทันใด จากนั้นร่างกายก็ถูกหมัดหนึ่งกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปไกล กลิ่นอายของมันกลับลดฮวบลงไปอย่างฉับพลัน กลิ่นอายวิญญาณสลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ

ปัง…

ร่างกายใหญ่มหึมากระแทกลงบนผิวทะเลสาบทำให้น้ำในทะเลสาบจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นขึ้นมา ร่างกายของมันอ่อนยวบล่องลอยไปบนผิวทะเลสาบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับซากของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เอาไว้ ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วก็เก็บเข้าไปไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์

ล้อเล่นแล้ว

เคล็ดเขตลวงโลกเทียมของเขาที่หุบเขาเขี้ยวหัก เผ่ามรณะทมิฬที่เป็นระดับจักรพรรดิขั้นกลางและแม่ทัพเทพของชนพื้นเมืองดั้งเดิมจำนวนหนึ่งต่างก็ยังต้องจ่อมจมลงไป! ระดับจักรพรรดิขั้นกลางนั้นก็เทียบเท่ากับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ของโลกแห่งนี้ ผู้แกร่งกล้าจักรพรรดิเทพช่วงกลาง มีบางส่วนที่อาจจะสามารถต้านทานได้ แต่ตนนี้ยังเป็นเพียงแค่จ้าวเทพช่วงสุดยอด อีกทั้งยังเป็นสัตว์ถิ่นร้างสามัญธรรมดาที่มีอุปนิสัยโหดเหี้ยม ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว

ดังนั้นสัตว์ถิ่นร้างที่โหดเหี้ยม แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเลย เขาสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ ที่เขาห้ำหั่นอยู่นี้ก็เพียงเพื่อขัดเกลาวิถีอากาศเท่านั้น!

“ไปหาตัวต่อไปดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสาะหาต่อไป

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

สัตว์ถิ่นร้างจ้าวเทพช่วงสุดยอดนั้นยากจะพบเห็นได้จริงๆ หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงล่าไปตนหนึ่งแล้ว ปกติก็จะสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำการเสาะหาต่อไปได้

เมื่อถึงตอนที่ห่างจากวันจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติของหอจิตฟ้าอีกหนึ่งเดือน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยหยุดลง

“ควรไปยังเมืองเจียงหยวนได้แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางท้องฟ้าสูง รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นที่ด้านข้าง เขาก็ก้าวเข้าไปภายในนั้น

ผ่านการสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสามครั้งเพื่อการปรับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นสำคัญ ถึงอย่างไรเขาก็รู้เพียงแค่ตำแหน่งที่ตั้่งคร่าวๆ ของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น

“ถึงแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนทะยานด้วยความเร็วสูง อยู่ห่างๆ ก็มองเห็นปราการเมืองมโหฬารสูงตระหง่านแห่งหนึ่งเบื้องหน้า เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ในระดับยอดสุดของทั้งโลกเทพแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับมัน เมืองจวิ้นซานก็เป็นเมืองเล็กจ้อยอันแสนห่างไกลแล้วจริงๆ

พรึ่บ

เขาแปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งลอยไปถึงบริเวณประตูเมือง ยามรักษาการณ์ที่อยู่ที่ประตูเมืองมองผู้ที่เข้ามายังเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ผู้แกร่งกล้าจากภายนอกที่มายังเมืองเจียงหยวนมีจำนวนมากมายยิ่งนัก มีเรือใหญ่จำนวนหนึ่งมาเยือนอยู่เป็นประจำ

“หอจิตฟ้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอาคารสูงตระหง่านกว่าพันลี้ตรงหน้า ด้านหลังยังมีหมู่อาคารยาวต่อเนื่องกัน ประกอบกันเป็น ‘หอจิตฟ้า’ แห่งเมืองเจียงหยวน

ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีอาณาบริเวณกว้างขวางโอ่อ่ากว่า แต่เค้าโครงก็เหมือนกับหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังชั้นที่สามของหอสูงตรงหน้าแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

“ข้ามีซากสัตว์ถิ่นร้างอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องการจะขายให้กับหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกับผู้ดูแลคนหนึ่งโดยตรง

“ซากสัตว์ถิ่นร้างหรือ” ผู้ดูแลที่ต้อนรับเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ามีพลังยุทธ์เป็นเช่นไรบ้าง”

“จ้าวเทพช่วงสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เชิญตามข้ามา”

ผู้ดูแลตกตะลึง ซากสัตว์ถิ่นร้างที่ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพผู้หนึ่งนำมาขาย เป็นถึงระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เชียวหรือ เขานำทางตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปบนระเบียงทางเดิน เคลื่อนผ่านอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่า ในที่สุดก็เข้ามาภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูบริเวณรอบๆ แล้วก็ลอบรำพึง “หอจิตฟ้าชั้นที่สามของทางเมืองจวิ้นซานแบ่งออกเป็นโถงตำหนักเพียงแค่สามแห่งเท่านั้น แต่ที่นี่กลับมีอยู่หลายสิบแห่ง ผู้ดูแลก็มีอยู่มากมายกว่าร้อยคน”

“จ้าวเทพท่านนี้ โปรดแสดงซากสัตว์ถิ่นร้างที่ท่านต้องการขายออกมาด้วย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั่งอยู่ที่นั่น ด้านหน้ายังมีค่ายกลห้วงมิติล่องลอยอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นห้วงมิติที่มีอาณาเขตเพียงแค่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ห้วงมิติที่บีบอัดอยู่ภายในกลับมีอาณาเขตถึงร้อยลี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง

ฟึ่บๆๆ…

ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยคว้างตรงเข้าไปภายในค่ายกลห้วงมิติแห่งนั้น สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ที่ตัวใหญ่ก็มีรูปลักษณ์คล้ายกิ้งก่าความยาวกว่าสามสิบลี้ ที่ตัวเล็กก็มีความยาวเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตรราวกับแมลง กลิ่นอายก็แตกต่างกัน แต่ละตัวที่ลอยเข้าไปก็ล่องลอยอยู่ภายในค่ายกลห้วงมิติ

“อะไรกันนี่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองคนที่รับผิดชอบประเมินสิ่งของมองดูฉากนี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้างเพียงพริบตาเดียวก็มีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเกินกว่าสิบร่างแล้วที่ลอยเข้าไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังลอยเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วย ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะตายไปกันหมดแล้ว แต่กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

“ที่แท้แล้วมีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดมากน้อยเพียงใดกันแน่ เป็นเขาล่าสังหารแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดเลยหรือ” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้ต่างพากันกลั้นหายใจ

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลที่เขาค่อยๆ ทยอยขว้างเข้าไปก็เพราะเป็นกังวลว่าหากโยนออกไปในคราวเดียวแล้วจะอุดกั้นทางเข้าค่ายกลห้วงมิติ เขาล่าสังหารพวกมันเหล่านี้ก็เพียงเพื่องานชุมนุมประมูลสมบัติที่จะตามมาในภายหลังเท่านั้นเอง!

……………