ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั้นและผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็กลั้นหายใจมองดูซากสัตว์ถิ่นร้างที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจที่สั่นไหวของพวกเขาขมวดแน่น ซากทุกซากนี้ล้วนเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ในบรรดานั้นมีบางส่วนที่พวกเขาดูแล้วว่าเป็น ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ซึ่งยอดฝีมือก็ยังยากที่จะสังหารได้
“เรียบร้อยแล้ว มีเท่านี้นี่แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงในที่สุด “ตีราคาเถิด”
“ได้ๆๆ จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่ พวกเราจะตีราคาให้อย่างละเอียดเลย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม พูดแล้วเขาก็ควบคุมซากสัตว์ถิ่นร้างซากหนึ่งในค่ายกลห้วงมิติให้ลอยไปยังด้านบนสุด “นี่คือซากอันสมบูรณ์ของ ‘อสูรควันพันโอษฐ์’ พวกเราหอจิตฟ้าสามารถจ่ายได้หกพันห้าร้อยศิลาอสนี” พูดแล้วเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง สังเกตสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ราคาที่พวกเราหอจิตฟ้าเสนอไม่แย่กับจ้าวเทพอยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดประเมิน หากแต่เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ต่อไป”
“ได้ พวกเราดูกันต่อเถิด” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เอ่ยว่า “ซากสัตว์ถิ่นร้างซากนี้คือ ‘อูฐภูเขามหานคร’ แก่นชีวิตถูกทำลาย แต่ส่วนอื่นๆ ล้วนสมบูรณ์ดี พวกเราหอจิตฟ้าจ่ายให้ได้สามพันหนึ่งร้อยศิลาอสนี”
พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้รับผิดชอบประเมินราคาในหอจิตฟ้าเท่านั้น
กับผู้ที่สามารถหยิบเอาซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกว่าร้อยร่างออกมาได้ในคราวเดียวเช่นนี้ พวกเขาก็มิกล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเองก็เคยได้ยินมาก่อนว่ามี ‘ผู้เหินทะยานจ้าวเทพ’ ที่แกร่งกล้าอย่างยิ่งจำนวนหนึ่งที่บุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานานถึงหมื่นล้านปี สังหารสัตว์ถิ่นร้างฝูงใหญ่ แต่กลับสามารถเอาชนะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้ โดยทั่วไปแล้วกลับสังหารได้ยากยิ่ง
“จ้าวเทพผู้ลึกลับท่านนี้คงจะบุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างมาเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว จึงล่าสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าเป็นจักรพรรดิเทพสักท่านล่าสังหารแล้วจัดแจงให้เขามาเจรจาการค้าที่นี่กันเล่า” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้มีการคาดเดาขึ้นมา
ความจริงก็คือซากสัตว์ถิ่นร้างกว่าร้อยร่างนี้ มีซากจำนวนมากพอสมควรที่ต่างก็มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นต่างก็ยังยากที่จะสังหารได้จึงจะถูกต้อง
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังการเสนอราคาครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วแอบพยักหน้า
หอจิตฟ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ก็ยังคงตรงไปตรงมา สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ที่ตนล่าสังหารมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบหกตน ตนเองก็เข้าใจกระจ่างเพียงแค่สิบห้าตนในนั้นเท่านั้นเอง อย่างน้อยราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างสิบห้าตนนี้ที่ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เสนอให้ก็ยังมี ‘สามัญสำนึก’ อยู่! สำหรับสัตว์ถิ่นร้างอื่นๆ เล่า อ้างอิงจากระดับความยากในตอนที่ตนล่าสังหาร ในบรรดานั้นก็มีหลายตนที่ยามที่ตนสำแดงวิถีอากาศ ก็มีบ้างที่มีพลังคุกคามถึงชีวิตตนได้ ทั้งยังถูกบีบให้แสดงวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมากวาดล้าง
ตนเองห้ำหั่นครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีความเข้าใจในพลังยุทธ์ของพวกมันขึ้นมาบ้าง ก็สามารถประเมินราคาคร่าวๆ ได้
ดูท่าทางเรื่องราคานี้ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
“ซากสุดท้ายนี้ อสูรเขมือบเมฆทะมึน ข้ารับผิดชอบประเมินราคาสินค้าอยู่ที่นี่ก็เพิ่งจะเคยเห็นซากอสูรเขมือบเมฆทะมึนเป็นครั้งแรก ซากสมบูรณ์ดี เพียงแต่แก่นชีวิตแตกสลาย หอจิตฟ้าของข้าสามารถให้ราคาห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกแปดพันศิลาอสนี”
“ซากสัตว์ถิ่นร้างทั้งหมดเป็นราคาทั้งสิ้นสิบหกชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกสามพันศิลาอสนี” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นพูด ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีราคาต่ำสุดสองพันกว่าศิลาอสนี ราคาสูงสุดสูงกว่าเก้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่น
‘หยกแก้วคละถิ่น’ นั้นว่ากันว่าเป็นสิ่งที่บรรพเทวะสามท่านตกผลึกและเจียระไนขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในค่าเงินของทั้งโลกเทพ ส่วน ‘ศิลาอสนี’ นั้นเป็นสิ่งที่บ่มเพาะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในโลกเทพ ก็พบเห็นได้ยากยิ่งเช่นกัน
“ถ้าหากจ้าวเทพไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ต่อราคานี้ หอจิตฟ้าของข้าก็สามารถซื้อซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ในราคานี้ได้” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง ราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างที่กำหนดเอาไว้นี้ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง กำหนดราคาอย่างง่ายดายโดยอ้างอิงจากชนิดและระดับความสมบูรณ์ของซาก
“เอาล่ะ ก็เป็นราคานี้แหละ ข้าเชื่อมั่นในชื่อเสียงของหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ฮ่าฮ่า จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าที่มีเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นอดที่จะเอ่ยอย่างตื่นเต้นมิได้ “ขอบังอาจถามจ้าวเทพท่านนี้สักหน่อย ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ มีหลายร่างทีเดียวที่พบเห็นได้ยากยิ่ง สังหารได้ยากเป็นที่สุด จ้าวเทพล่าสังหารตามลำพังทั้งหมดเลยหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง มิเอ่ยวาจา
“อา เป็นข้าที่ปากมากไปเอง” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้นี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากตอบคำถามจึงแสดงความขอโทษขอโพยในทันที
เพียงไม่นาน
ผู้ดูแลหญิงรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา นางโบกมือคราหนึ่ง ก็เห็นเพียงแค่หยกแก้วสีเทากึ่งโปร่งแสงชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยมา หยกแก้วสีเทาเหล่านี้มีขนาดครึ่งฝ่ามือ ตัดเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บางอย่างยิ่ง กลิ่นอายจางๆ ที่ปกคลุมทุกก้อนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันบริสุทธิ์กว่า ‘พลังคละวิถี’ เสียอีก แม้กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ แต่กลับมิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงแต่อย่างใด ต้องรู้ไว้ว่าพลังคละวิถีนั้นสามารถกัดกร่อนร่างกายและวิญญาณได้ หยกแก้วนั้นบริสุทธิ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้เป็นอันตรายเลย ในทางกลับกันกลับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
หยกแก้วคละถิ่นชนิดนี้กลับเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบหกก้อนล่องลอยอยู่ทั้งหมด ด้านข้างยังมีศิลาอสนีก้อนแล้วก้อนเล่า ศิลาอสนีนั้นมีสีทองระยิบระยับจับตา มีขนาดใหญ่ประมาณนิ้วมือ แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากันหมด ไม่เพียงแต่ระยิบระยับจับตาเท่านั้น ถึงขนาดที่ยังมีสายฟ้าสีทองแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งดีว่าหยกแก้วคละถิ่นนี้เป็นขนาดมาตรฐานที่บรรพเทวะคละถิ่นเจียระไนขึ้นมา หยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาอสนีหนึ่งหมื่นก้อนได้พอดี
“จ้าวเทพท่านนี้ หยกแก้วคละถิ่นและศิลาอสนีอยู่ที่นี่หมดแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วโบกมือคราหนึ่งเก็บเข้าไปจนหมดก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าอยากจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นของหอจิตฟ้าของพวกเจ้า เจ้าช่วยข้าจัดการให้ทีสิ”
“จ้าวเทพต้องการจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติหรือ ได้สิเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงเอ่ยขึ้นในทันใด
“ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ จะจัดแจงห้องหับให้จ้าวเทพเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ”
มีหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นแขกผู้มั่งคั่งอย่างแน่นอน!
ถึงแม้ว่าเมืองเจียงหยวนจะเป็นเมืองใหญ่ระดับบนสุดของทั้งโลกเทพ แต่ผู้แกร่งกล้าที่งานชุมนุมประมูลสมบัติดึงดูดมาได้นั้นก็มีขีดจำกัด ผู้มั่งมีอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นที่มาประมูลสมบัติคนหนึ่งแล้ว ก็ย่อมต้องจัดแจงให้ดีๆ อยู่แล้ว
“จ้าวเทพมีที่พักในเมืองเจียงหยวนแล้วหรือยังเจ้าคะ ถ้าหากไม่มี ก็อยู่เสียที่หอจิตฟ้าของข้า ภายในหอจิตฟ้ามีลานเล็กที่เลิศหรูอยู่มากมาย งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ใกล้มาถึงแล้ว จ้าวเทพพักเสียที่นี่ พอถึงเวลาพวกเราก็สามารถแจ้งให้จ้าวเทพทราบได้ อีกทั้งที่หอจิตฟ้าก็ยังปลอดภัยอย่างปน่นอน ไม่มีผู้ใดกล้ามาสามหาวที่หอจิตฟ้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้พูด
“ก็ดี เช่นนี้ก็อยู่ที่หอจิตฟ้าของพวกเจ้าก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……
หอจิตฟ้ามีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง อาคารมากมายทอดยาวต่อเนื่องกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพักอาศัยอยู่ชั่วคราวภายในลานเล็กแห่งหนึ่งในนั้น
ระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาเยี่ยมเยียนเมืองเจียงหยวนแห่งนี้รอบหนึ่ง ลิ้มชิมรสอาหารเลิศรสมากมาย พร้อมกันนั้นเขาก็ศึกษาหยกแก้วคละถิ่นนี้โดยละเอียด แต่กลับค้นพบว่านอกจากการ ‘หล่อเลี้ยงวิญญาณ’ และ ‘หล่อเลี้ยงร่างกาย’ ที่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ตัวหยกแก้วคละถิ่นนี้เองก็ยังมีความเร้นลับอีกมากมาย เป็นการใช้งานที่พิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่งของ ‘พลังคละวิถี’
“หยั่งรู้ไม่ทะลุปรุโปร่งในระยะเวลาอันสั้น รอจนธุระในคราวนี้เสร็จเรียบร้อยก่อน พอกลับไปถึงเมืองจวิ้นซานแล้วค่อยศึกษาอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ วันเวลาที่โลกแห่งนี้ ตอนนี้เขาก็ตัดสินใจอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซานแล้ว เพราะว่ามีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เขาก็สามารถไปมายังเมืองใหญ่แห่งใดๆ ได้อย่างง่ายดาย อาศัยอยู่ในเมืองเล็กที่อิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอสักแห่งหนึ่งก็ยังอาจมีเรื่องวุ่นวายน้อยกว่าสักหน่อย
เมืองใหญ่ระดับยอดสุดเช่นเมืองเจียงหยวนพรรค์นี้ ก็มียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาทุ่มเทสุดกำลังก็ยังไม่สามารถสู้ได้อยู่
แต่ที่เมืองจวิ้นซานนั้น ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไร้ซึ่งศัตรู
“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ภายนอกลานบ้านมีน้ำเสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังกุมหยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งพลางรับสัมผัสอย่างละเอียดอยู่ภายในลานเล็กอันงามหรูนี้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขาก็พลิกมือเก็บหยกแก้วคละถิ่นขึ้น เดินไปถึงประตูลานบ้านแล้วดึงประตูลานบ้านเปิดออก ก็มองเห็นผู้ดูแลหญิงคนนั้นยืนอยู่ด้านนอก
“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ “อีกหนึ่งชั่วยามงานชุมนุมประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้จ้าวเทพก็ไปได้แล้วนะเจ้าคะ”
“ดีเลย รบกวนนำทางด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ และถึงขนาดที่ปกปิดเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายด้วย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ก็เพราะเป็นกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเปิดเผยตัวตน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ เขาอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซาน จึงไม่อยากจะก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายเกินไป
เพียงไม่นาน
ที่ชั้นยอดสุดของหอจิตฟ้า ก็คือสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ สถานที่จัดงานชุมนุมชิงสมบัมีอาณาบริเวณกว่าร้อยลี้ ตอนนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว จึงเต็มไปด้วยความคึกคัก
“จ้าวเทพ เดินมาทางนี้เจ้าค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในครอบครองค่อนข้างมาก จึงเป็น ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ของหอจิตฟ้า ผู้ดูแลหญิงผู้นั้นนำทางมาถึงยังห้องส่วนตัวแห่งหนึ่ง ที่นี่มีห้องส่วนตัวอยู่มากมาย ซึ่งต่างก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานะและพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือไม่ก็ต้องมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงพอ จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปข้างในได้
ภายในห้องส่วนตัว
มีสุราผลไม้ชั้นเลิศ ทั้งยังมีสาวใช้ชุดเขียวอีกคนหนึ่งคอยท่าอยู่ที่นี่ด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปข้างใน เขานั่งขัดสมาธิลงข้างตั่ง สามารถมองลงไปยังงานชุมนุมเบื้องล่างทั่วทั้งงานได้ สาวใช้ชุดเขียวผู้นั้นช่วยรินสุราชั้นเลิศส่งให้ “จ้าวเทพอยากจะรับประทานสิ่งใดก็สามารถสั่งมาได้เลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบม้วนสาส์นที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา บนม้วนสาส์นบันทึกลำดับสมบัติล้ำค่าที่จะประมูลสมบัติกันในคราวนี้เอาไว้โดยละเอียด พอมองดูแล้วสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าหอจิตฟ้าจะปล่อยข่าวออกไปแล้ว เกี่ยวกับว่างานชุมนุมประมูลสมบัติคราวนี้มีสมบัติล้ำค่าประเภทใดบ้าง แต่เมื่อเห็นรายละเอียดแล้วก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
“ขายตำราระดับจักรพรรดิสามเล่มพร้อมกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่ตนจะต้องคว้ามาให้ได้นั้นขายพร้อมกันกับตำราผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอีกสองเล่ม! เช่นนี้แล้วราคาของตำราสามเล่มก็ย่อมแพงขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“หยกแก้วคละถิ่นที่ข้าเตรียมเอาไว้ในครั้งนี้ค่อนข้างมาก ก็น่าจะได้มาครอบครองอยู่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
“เตร๊ง…”
เสียงระฆังเป็นท่วงทำนองดังขึ้น ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติก็เงียบลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วิญญาณสั่นสะท้าน
งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
…………………………………………..