ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 31 ตำรา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

งานชุมนุมประมูลสมบัติเริ่มต้น ผู้จัดการก็คือชายชราอาภรณ์เงินคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิเทพเยี่ยน’ เจ้าของหอจิตฟ้าแห่งเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ เขาอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานชิ้นแรกอย่างช่ำชองยิ่ง บอกเล่าประโยชน์ต่างๆ มากมาย แล้วก็บอกราคาต่ำสุด เพียงไม่นานก็เริ่มต้นเสนอราคาประมูลสมบัติครั้งแล้วครั้งเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเอง จิบสุราไปพลาง ชมดูการต่อสู้แย่งประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าไปพลาง

“…ฮ่าฮ่า พูดอะไรมากมายเช่นนี้ หากพูดมากไปอีก เกรงว่าจักรพรรดิเทพมากมายก็จะพากันร้อนรนเสียแล้ว นี่ก็เตรียมตัวจะเริ่มต้นประมูลสมบัติ แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ขอเตือนประโยคหนึ่ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ มิได้ปรากฏโฉมต่อโลกมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว หากพลาดเม็ดนี้ไป เกรงว่าไม่รู้อีกเนิ่นนานเท่าใดจึงจะมีเม็ดใหม่ปรากฏขึ้นมาในโลกเทพอีก หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่เกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้วตลอดกาลก็เป็นได้” ชายชราอาภรณ์เงินพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ราคาประมูลสมบัติต่ำสุดสามร้อยชิ้นหยกแก้วคละถิ่น ราคาทุกครั้งเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มกันเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกตะลึง

นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ ทั้งยังเป็นชิ้นที่ราคาตั้งต้นแพงที่สุดอีกด้วย ถึงแม้ว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานจะมีราคาสูง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้ราคาเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนกว่าๆ เท่านั้นเอง

ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมเต็มไปด้วยความเงียบสงัด

เงียบงันไปเป็นเวลาหลายอึดใจ ในที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “สามร้อยเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

หลังจากการเสนอราคานี้ก็มีการเสนอราคาตามติดมาอย่างรวดเร็ว

“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยห้าก้อน”

……

“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยสามสิบก้อน”

เสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตะตะลึงเพราะเหตุนี้ เพียงแต่ว่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่มีส่วนช่วยเหลือต่อการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่นเป็นอย่างมากพรรค์นี้มีแรงดึงดูดต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงน้อยนิดจนสามารถมองข้ามได้

ราคาสุดท้ายของ ‘ไข่มุกทองคำดำ’ ชิ้นนี้พุ่งทะยานไปถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อน!

ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะส่งเสียงจุ๊ปากชื่นชม แต่เขาก็รู้ว่าสมบัติล้ำค่าปิดงานของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่ง! ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ราชันย์อนธการอมตะโจมตีบนเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่งก็หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ โลกเทพแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะมิได้มีความเชี่ยวชาญในการหลอมหุ่นเชิดเหมือนกับราชันย์อนธการอมตะ แต่กับการใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านี้ก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ย่อมนำไปสู่ราคาที่สูงเสียจนเกินจริงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

******

สมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกขายออกไปอย่างต่อเนื่อง

“นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบเก้าของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้” ชายชราอาภรณ์เงินชี้ตำราสามเล่มที่ลอยอยู่ด้านข้างพร้อมแผ่ระลอกคลื่นของตัวเองออกมา “นี่คือต้นฉบับตำราการบำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นสามเล่ม แบ่งออกเป็นร่างไร้ทลายเพลิงทอง เงาฉาย และคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ในบรรดาตำราเหล่านี้ คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศก็คือตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศ ตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศนั้นพบเห็นได้ยากเป็นที่สุด ส่วนอีกสองเล่มเป็นตำราในระดับจักรพรรดิเทพ ร่างไร้ทลายเพลิงทองนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาชีวิต ถ้าหากสามารถบำเพ็ญได้สำเร็จแล้วความมั่นใจในการรักษาชีวิตรอดเมื่อเผชิญกับอุปสรรคก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ส่วนเงาฉายเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร”

ชายชราอาภรณ์เงินยิ้มพลางกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศ “ต่อให้ตนเองมิอาจใช้ได้ ก็สามารถซื้อเอาไว้เก็บเป็นสมบัติภายในตระกูลของตนได้ สะสมเอาไว้เป็นขุมทรัพย์ของตระกูล ตำราระดับจักรพรรดิเทพพรรค์นี้สามารถเพิ่มพูนพื้นฐานของขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งได้ สามารถบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าออกมาเพิ่มมากขึ้นได้ จำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน หรือว่าครั้งต่อไปจะยังมีตำราจำหน่ายออกมาอีก แต่อยากจะพบเจอตำราสามเล่มนี้ได้ก็ยากเย็นแล้ว เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ ราคาขั้นต่ำคือหยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อน! ทุกครั้งต้องเพิ่มราคาไม่ต่ำกว่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งชิ้น! เริ่มการประมูลสมบัติได้!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งแอบโมโห

โมโหที่อีกฝ่ายจำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน! ต้องรู้ไว้ว่า ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ตำราเหล่านี้มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อตัวพวกเขามากมายสักเท่าใดนัก แต่สามเล่มรวมกันขึ้นมาแล้ว จะนำมาใช้เสริมคลังขุมทรัพย์ของขุมอำนาจของพวกเขาก็ไม่เลวเลย เพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่งยอมจ่ายแล้ว

รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

ตามปกติแล้วฝ่ายที่ราคาขั้นต่ำสูงต่างก็ไม่มีทางเสนอราคาง่ายๆ ราคาเช่นนี้ ผู้ที่สามารถเสนอราคาขึ้นมาได้ ตามปกติแล้วก็ต้องเป็นขุมอำนาจของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบเอ็ดก้อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเสนอราคาออกนำไปก่อน เขาสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในใจก็คาดหวังรอคอย หากผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ล้วนไม่เสนอราคาออกมาเลยจะเป็นการดีที่สุด

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบห้าก้อน” น้ำเสียงบาดหูเล็กน้อยสายหนึ่งดังขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น หัวใจขมวดรัดเล็กน้อย วุ่นวายเสียแล้วสิ! เรื่องราวย่อมไม่มีทางเป็นไปตามที่ใจคนปรารถนาได้ทั้งหมด ก็ได้แต่พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว คราวนี้ตำราสามเล่มขายพร้อมกันก็ทำให้ตนรู้สึกเฉยๆ เป็นอย่างยิ่งจริงๆ

“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบหกก้อน” เสียงกังวานอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีผู้ที่ต้องการจะครอบครองตำราสามเล่มนี้มากถึงสามฝ่ายแล้ว

คิดไปคิดมาก็เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง

เช่นสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน เก็บสะสมตำราระดับจักรพรรดิเทพมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งบัดนี้ก็เพิ่งจะได้เพียงแค่สามชนิดเท่านั้น ตำราสามเล่ม แม้กระทั่งขุมอำนาจที่ค่อนข้างใหญ่จำนวนหนึ่งก็ต้องจิตใจสั่นไหวเพราะสิ่งนี้แล้ว

“หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบก้อน” น้ำเสียงบาดหูนั้นเสนอราคาเพิ่มในทันใด

เงียบสงบไปทั่ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกรามแล้วเอ่ยปากในทันใด “หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อน!” จะเพิ่มราคาก็ยกระดับให้มากสักหน่อย เพื่อจะให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่แน่ว่าก็อาจจะถึงขีดจำกัดราคาที่ตนตั้งไว้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงก็เป็นได้

และการเสนอราคาในครั้งนี้ก็คือขีดจำกัดของตนแล้ว! ขายซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นได้หยกแก้วคละถิ่นมาเก้าสิบหกก้อนกับอีกสามพันศิลาอสนี แต่วันเวลาที่ตนออกล่าอยู่ที่ดินแดนรกร้างมาหนึ่งพันสองร้อยปี, ยามที่ล่าสังหารสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น ก็ได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของผู้แกร่งกล้าที่ถูกสัตว์ถิ่นร้างสังหาร รวมกันขึ้นมาแล้วตนก็ประมาณว่าน่ามูลค่าน่าจะเกือบๆ ห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกระมัง

“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนก็สูงพอแล้ว ควรจะสิ้นสุดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดหวัง เขาได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์เท่านั้นแล้ว

“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน” น้ำเสียงอาจหาญนั้นดังขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าซีดเผือดในทันใด

พลาดเสียแล้ว!

สมบัติล้ำค่าหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่เพียงพอ

เวลาเคลื่อนผ่านไปก็ยังไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา

“ยังมีสูงกว่านี้อีกหรือไม่” ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบพลางพูดเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม

ไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา

“หากไม่มีราคาที่สูงกว่าแล้ว ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ก็สิ้นสุดการประมูลสมบัติแล้ว” ชายชราอาภรณ์เงินค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ พลางมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาในที่สุดพร้อมโบกมือคราหนึ่ง “เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ประมูลสมบัติสิ้นสุดแล้ว! เริ่มการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไปได้”

ยามที่เขาโบกมือ ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างก็เก็บตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มขึ้นมาแล้วร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็มีสมบัติล้ำค่าชิ้นใหม่ ไหสุราหน้าตาแปลกประหลาดใบหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ชายชราอาภรณ์เงินก็เริ่มต้นอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไป

……

แต่ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เป็นสุขสักเท่าใดนัก เขาก็รู้ว่าเรื่องราวในโลกยากจะเป็นไปได้ตามใจนึกทั้งหมด แต่ว่าราคาสุดท้ายคือหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน! ขาดเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นสามก้อนเท่านั้น ขาดอีกเพียงนิดเดียวแค่นี้เท่านั้นเอง! ทำให้ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงทุกข์ระทมเป็นอย่างยิ่ง

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเคร่งขรึมพลางรับสัมผัสอย่างละเอียด

เป็นถึงยอดฝีมือระดับวิถีอากาศขั้นสุดยอด โดยเฉพาะในตอนนี้ระดับขั้นของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว การโคจรกฎเกณฑ์ของโลกเทพนี้ เขาก็ศึกษาจนเข้าใจอย่างกระจ่างชัดยิ่งขึ้นแล้ว สายเหตุปัจจัยสายแล้วสายเล่าในบรรดานั้นเขาก็สามารถตรวจสอบล่วงรู้ได้เช่นกัน คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่จะต้องได้มาครอบครองให้จงได้มาถูกผู้อื่นช่วงชิงไป นี่ก็เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน! ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถตามสายเหตุปัจจัยนี้ ค้นพบว่าสายเหตุปัจจัยก็เชื่อมต่ออยู่ภายในห้องส่วนตัวอีกแห่งหนึ่งของสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติแห่งนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่ได้ครอบครองตำราสามเล่มนั้นก็อยู่ภายในห้องส่วนตัวแห่งนั้นนั่นเอง

พูดถึงพลังยุทธ์

เขาเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่สำหรับการควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ผิวเผินเกินไป พูดถึงการสะกดรอยนั้นเกรงว่าเขาจะสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายบางคนเลยทีเดียว อย่างเช่นระดับความร้ายกาจของการสะกดรอยของ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ที่ดินแดนจิตโลกานั้นยังร้ายกาจกว่าบรรดายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกไปจากห้องส่วนตัว

“จ้าวเทพไม่ประมูลสมบัติแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ชุดเขียวภายในห้องส่วนตัวเอ่ยถาม

“ออกไปเดินเล่นสักหน่อยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก”

สาวใช้ชุดเขียวก็ย่อมมิกล้าซักไซ้ต่อไปอีก ได้แต่คอยท่าอยู่ภายในห้องส่วนตัว

ออกมาจากห้องส่วนตัวแล้ว

เดินไปตามทางเดิน ด้านข้างก็มีห้องส่วนตัวอื่นๆ อยู่อีก

ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะต่างคนต่างเสนอราคา แต่ด้วยวิธีการของหอจิตฟ้า ลำพังแค่ฟังเสียงก็ย่อมไม่มีทางแยกแยะได้อยู่แล้วว่าเป็นห้องส่วนตัวห้องไหนที่เสนอราคา

สำหรับ ‘เหตุปัจจัย’ นั้นหอจิตฟ้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

“ห้องนี้แหละ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาถึงด้านนอกห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตรงเข้าไปอย่างค่อนข้างเกรงอกเกรงใจ เสียงส่งผ่านเข้าไปภายในห้องส่วนตัวแห่งนี้ “ข้าคือจ้าวเทพเมฆาเขียว อยากจะใช้หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนซื้อต้นฉบับตำราการบำเพ็ญคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ หรือว่าจะให้หยั่งรู้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้สักครั้งก็ได้ หยั่งรู้ครั้งหนึ่งจะให้จ่ายราคาเท่าไหร่ก็สามารถเสนอมาได้เต็มที่เลย”

เสียงส่งผ่านเข้าไปเพียงแค่ในห้องส่วนตัว มิได้กระจายออกไปภายนอก

ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย

หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนเพียงเพื่อคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ราคาก็สูงพอสมควรเลยทีเดียว! ต่อให้อีกฝ่ายต้องการจะเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ ตนศึกษาครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!

“ไสหัวไป!” น้ำเสียงห้าวหาญที่ค่อนข้างจะโกรธเคืองสายหนึ่งส่งถ่ายออกมา พร้อมกันนั้นก็ยังได้ยินเสียงก่นด่า “หอจิตฟ้าของพวกเจ้ารักษาความลับกันเช่นนี้หรือ ให้เขาไสหัวไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเสีย!”

…………………………………