ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 32 กระต่ายตื่นตูม

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ตนเองก็เพียงแค่ยื่นข้อเสนอให้เท่านั้น อีกทั้งเงื่อนไขก็ยังดียิ่งนัก ถึงขนาดที่เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อีกฝ่ายโกรธเคือง เขาก็ยังจงใจถ่ายเสียง และมิให้เสียงแพร่กระจายออกไปกระทบกับอีกฝ่าย

“เอี๊ยด” ประตูห้องส่วนตัวเปิดออก

สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จ้าวเทพท่านนี้ ตอนนี้งานชุมนุมประมูลสมบัติกำลังดำเนินไปอยู่ ได้โปรดอย่ามารบกวนแขกผู้มีเกียรติภายในห้องส่วนตัวเลยนะเจ้าคะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองห้องส่วนตัวปราดหนึ่งก่อนจะหันหน้าเดินไป

หลังจากที่ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปด้วยสายตาแล้วจึงกลับไปยังห้องส่วนตัว

ภายในห้องส่วนตัว

มีเงาร่างในอาภรณ์ดำตัวหลวมโพรกนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ตลอดร่างของเขาปกคลุมด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดสีเขียว บนใบหน้าเต็มไปด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดอันบิดเบี้ยว อัปลักษณ์เป็นที่สุด นัยน์ตาทั้งคู่ก็ราวกับอำพันสีเหลือง แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายจางๆ เขามองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวที่เดินเข้ามาผู้นั้นอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ดูแลหญิงจะค่อนข้างเคารพนบนอบ แต่ก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง พวกนางต่างก็เป็นผู้ดูแลของหอจิตฟ้า ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อแขกด้วยความเคารพ แต่บรรดาแขกเหรื่อก็ไม่กล้าลงมือกับบรรดาผู้ดูแลเหล่านี้

“จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นจากไปแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้เอ่ยรายงาน

“เฮอะ หอจิตฟ้าควรจะรักษาข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติเอาไว้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์แบบนะ ข้าเพิ่งจะประมูลตำราสามเล่มนั้นมาได้ เขาหาตัวข้าพบแล้วได้อย่างไรกัน” เงาร่างอาภรณ์ดำนี้เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีเหลืองเข้มดุจอำพันจ้องมองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียว

ผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวกลับกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “จักรพรรดิเทพ ชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้านั้นไม่มีข้อกังขาเลย หอจิตฟ้าดูเหมือนว่าจะกระจายตัวอยู่ในปราการเมืองทุกแห่งทั่วทั้งโลกเทพ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติมาก่อนเลย นอกจากนี้ ท่านจักรพรรดิเทพเพิ่งจะประมูลได้ จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ก็มาถึงที่นี่แล้ว เกรงว่าคงจะอาศัยพวกเคล็ดการสะกดรอยค้นพบตัวตนของท่านจักรพรรดิเทพ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอจิตฟ้าของข้าเลยเจ้าค่ะ! เรื่องที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้า ขอท่านจักรพรรดิเทพได้โปรดอย่าเอ่ยถึงอีกเลยนะเจ้าคะ”

เงาร่างอาภรณ์ดำส่งเสียงเฮอะเสียงหนึ่งแล้วก็มิได้พูดอะไรอีก

ตัวเขาเองก็เข้าใจกระจ่างดีว่าหอจิตฟ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากเพียงใด แล้วจะรั่วไหลได้อย่างไรกัน ต่อให้รั่วไหลก็ไม่มีทางรวดเร็วถึงเพียงนี้อยู่แล้ว

“จ้าวเทพผู้หนึ่งหรือ” เงาร่างอาภรณ์ดำมองลงไปยังการประมูลสมบัติที่กำลังดำเนินอยู่ภายในสถานที่จัดงานชุมนุม แต่ความคิดมากมายกลับพรั่งพรู “จ้าวเทพพลังยุทธ์ต้อยต่ำ น่าจะยังไม่สามารถสะกดรอยได้ เบื้องหลังของเขาคงจะมีจักรพรรดิเทพท่านไหนอยู่สักท่านหนึ่ง หรือว่านอกจากน้องโลหิตทมิฬที่กำลังไล่ล่าสังหารข้าแล้ว ยังมีจักรพรรดิเทพคนอื่นเพ่งเล็งข้าอยู่อีกหรือ”

นัยน์ตาดุจอำพันของเงาร่างอาภรณ์ดำนั้นมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง

“สมควรตาย! ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ร่างไร้ทลายเพลิงทองมาไว้ในมือแล้ว มีตำราการบำเพ็ญศาสตร์นี้เป็นแหล่งอ้างอิง เชื่อว่าข้าก็จะสามารถหลอมแปรควบคุมไข่มุกทองคำดำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาน้องโลหิตทมิฬจะทำอะไรข้าได้อีกเล่า” นัยน์ตาของเงาร่างอาภรณ์ดำสาดประกายเยียบเย็น “หึๆ ไม่ว่าจะยังมีจักรพรรดิเทพท่านไหนจับจ้องข้า กาเหว่าภูษา ผู้ที่จะหัวเราะจนถึงนาทีสุดท้ายได้ก็ยังคงเป็นข้าเช่นเคย”

ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แววตาของเงาร่างอาภรณ์ดำก็ยังเยียบเย็นเป็นอย่างยิ่ง แววตาก็ยังมีความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลัง ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ท่านนั้น ที่แท้แล้วมีพลังยุทธ์เช่นไรก็ยังรู้ไม่กระจ่างชัดนัก

พละกำลังการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่น โดยทั่วไปแล้วต่างก็ไม่เชี่ยวชาญการสะกดรอย แน่นอนว่าบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นจำนวนหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิเทพ โดยทั่วไปแล้วฝีมือในการสะกดรอยต่างก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง! ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ รู้สึกว่าบุคคลระดับนั้นคงไม่น่าจะมาคิดบัญชีกับเขา เพราะว่าเพียงแค่ออกคำสั่งเสียงหนึ่ง เขาก็ยอมก้มหัวอย่างเชื่อฟังแล้ว

“ผู้ที่ชื่อว่าจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ จักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขา เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงจะมิได้แข็งแกร่งไปกว่าข้าสักเท่าใดนักหรอก! อย่างมากก็แค่เชี่ยวชาญในการสะกดรอยเท่านั้นกระมัง” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพึมพำ

ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ฝืมือการสะกดรอยก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว

……

กลับไปถึงห้องส่วนตัวของตน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตรงหน้าตั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลง พลางยกจอกสุราขึ้นจิบอึกหนึ่ง สาวใช้ด้านข้างช่วยรินสุราเพิ่มให้ในทันใด

“ผู้ที่ประมูลตำราสามเล่มรวมถึงคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศไปได้ผู้นั้นเป็นคนบ้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างเดือดดาล รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายออกจะ ‘เกินไป’อยู่บ้าง แต่เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าขณะนี้อีกฝ่ายกำลังเป็น ‘กระต่ายตื่นตูม’ เขาไปเจรจาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อีกฝ่ายกลับเผยความรู้สึกไม่เป็นสุขและความหวาดหวั่นที่ถูกพบตัว

ถ้าหากในใจสงบ ก็ย่อมสามารถเจรจาต่อรองดีๆ ได้อยู่แล้ว

‘กระต่ายตื่นตูม’ ตัวหนึ่ง การคุกคามใดๆ ก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายระแวดระวังอย่างหาใดเปรียบอยู่แล้ว!

“คราวนี้มาประมูลสมบัติที่หอจิตฟ้า แต่กลับไม่สามารถประมูลคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้ไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงผิดหวังอยู่บ้าง เขาพลิกดูม้วนสาส์นที่บันทึกลำดับการประมูลสมบัติตรงหน้า ถึงอย่างไรก็เข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้แล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติระดับนี้ แม้กระทั่งโลกเทพก็ยังนานๆ ครั้ง จึงจะมีได้สักคราหนึ่ง ย่อมไม่มีทางกลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่างานชุมนุมประมูลสมบัตินี้ สมบัติล้ำค่ามากมายต่างก็มีแรงดึงดูดต่อประชากรโลกเทพเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง กลับมีแรงดึงดูดเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง!

“เอาชิ้นนี้ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกใจสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

อย่างช้าๆ…

ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สามสิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ จักรพรรดิเทพ ชายชราอาภรณ์เงินชี้หอกยาวเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ด้านข้าง หอกยาวเป็นสีทองอร่ามตาตลอดทั้งเล่ม แต่บนปลายหอกกลับมีพื้นผิวสีแดงโลหิต “ทุกท่านล้วนรู้จักหอกเทพเปลวทองกันดีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นแห่งตระกูลจินเซิ่งหลอมขึ้นมาเองกับมือในตอนนั้น เมื่อใดที่ถูกทิ่มแทงเข้าไป ตลอดร่างก็จะราวกับถูกแผดเผา ทำลายร่างกายได้อย่างมหาศาล ฮ่าฮ่า หอกเทพพรรค์นี้ก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว ราคาต่ำสุดคือหยกแก้วคละถิ่นห้าสิบก้อน ราคาที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มประมูลสมบัติได้!”

“ห้าสิบเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

“ห้าสิบสองชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องในทันใด

ฟังดูแล้วหอกเทพเปลวทองนี้มีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก เป็นถึงสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นเบื้องหลังตระกูลจินเซิ่ง หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ผู้นั้นหลอมขึ้นมาเองกับมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกเทพต่างก็รู้กระจ่างกันดีว่าบรรพเทวะคละถิ่นท่านนั้นได้หลอมอาวุธขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อลูกหลานรุ่นหลังของตน ในบรรดาอาวุธเหล่านั้น ‘หอกเทพเปลวทอง’ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะสามัญธรรมดาได้หลอมเอาไว้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

ว่ากันว่า ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ มีพลพรรคอยู่กลุ่มหนึ่ง ยอดฝีมือภายในนั้นดูเหมือนว่าแต่ละคนต่างก็มีหอกเทพเปลวทองกันทั้งสิ้น ร่วมมือกันขึ้นมาแล้วก็ยังสามารถสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตีอันน่าหวาดหวั่นได้

ลำพังแค่หอกเทพเปลวทองเล่มหนึ่งก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว แต่ตามปกติแล้วก็มีแต่บรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้นที่จะเห็นอยู่ในสายตา

ต่อให้ความเป็นมายิ่งใหญ่กว่านี้แล้วอย่างไรเล่า เหล่าผู้แกร่งกล้าสนใจอาวุธที่มีส่วนช่วยส่งเสริมพลังยุทธ์ของตนเองมากกว่า

“ห้าสิบแปดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”

“หยกแก้วคละถิ่นหกสิบชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เสนอราคาออกไปเช่นกัน

หลังจากที่เขาเสนอออกไปแล้วกลับไม่มีการเสนอราคาตามมาอีกเลย

หอกเทพเปลวทองเล่มนี้ย่อมต้องถูกเขาประมูลมาไว้ในมืออยู่แล้ว เพราะว่าอาวุธมาตรฐานชิ้นหนึ่งที่เป็นของภายในตระกูลจินเซิ่ง ในความเป็นจริงแล้วที่สืบทอดต่อกันมาก็มีอยู่มากพอสมควรแล้ว ราคาโดยทั่วไปน้อยนักที่จะสูงเกินกว่าหยกแก้วคละถิ่นหกสิบก้อน

สิ่งที่มีจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วราคาก็ค่อนข้างนิ่งกว่า

จะมีก็แต่พวกที่พบเห็นได้ยากถึงขนาดที่เกิดขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยากที่จะมีชิ้นที่สองปรากฎขึ้นมาอีก ราคาก็บอกได้ยากแล้ว

พบเจอกับสิ่งที่อยากได้เป็นที่สุด ราคาจะเพิ่มเป็นเท่าตัวก็เป็นไปได้

เพียงไม่นาน

หอกเทพเปลวทองเล่มนั้นก็ถูกส่งมาถึงยังห้องส่วนตัวของตงป๋อเสวี่ยอิง

“อืม” เมื่อกุมหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ หอกยาวก็หนักแน่นราวกับภูเขาสูงพันลี้แห่งหนึ่งภายในโลกเทพ ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรอย่างรวดเร็ว สัมผัสรับรู้แทรกผ่านทุกอณูของหอกยาว หอกยาวดูเหมือนจะหลอมแปรอย่างง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่หนึ่งในสามผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ก่อกำเนิดโลกเทพแห่งนี้หลอมขึ้นมากับมือตนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นอาวุธมาตรฐาน แต่ก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

เมื่อหลอมแปรแล้วหอกเทพเล่มนี้ยามอยู่ในมือก็เบาลง เขาขัดเกลาโดยละเอียดรอบหนึ่ง “วัสดุของหอกยาวเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนผสมอยู่ด้วยใช่หรือไม่”

อาวุธเทพคละถิ่น ‘ชิงเหอ’ ของตนเล่มนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนเป็นองค์ประกอบหลัก อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจดัดแปลงขึ้นเพื่อตน ทว่าหอกเทพเล่มนี้มีเม็ดทรายอลวนเป็นส่วนผสมอยู่น้อยกว่า  เมื่อเทียบกันแล้ววัสดุที่ใช้ก็ธรรมดากว่า แต่หลังจากที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหลอมขึ้นมาแล้ว พูดถึงความทนทานของอาวุธเพียงอย่างเดียว ‘หอกเทพเปลวทอง’ เล่มนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าหอกเทพชิงเหอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการแสดงพลังคละวิถีมากเท่ากับหอกเทพชิงเหอ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆแล้วเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยความแข็งแรงของวัสดุของหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ เกรงว่าก่อนที่จะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็คงยากที่จะทำลายได้ อีกทั้งเมื่อปลายหอกนี้แทงทะลุศัตรูก็มีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด ก็นับเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว”

มีอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ก็สามารถสำแดงวิชาหอกของตนออกมาได้

เคล็ดวิชาวิถีอากาศของตนจำนวนมากพอสมควรต่างก็มีผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อสำแดงด้วยหอกยาว

……

งานชุมนุมประมูลสมบัติดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลากว่าครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในครั้งนี้ ทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าดาวเด่นอีกด้วย

“เมื่อการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงิน พูดพลางยิ้มน้อยๆ “ฮ่าฮ่า เชื่อว่าจักรพรรดิเทพจำนวนมากคงจะรอคอยกันไม่ไหวแล้ว เชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบกันดีว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งสิ้นกว่าพันชนิด ยังมีบางส่วนที่ถูกผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วและเจ้าลัทธิค้ำฟ้าคุ้มครองเอาไว้อีกด้วย ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกซากล้วนล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากหนึ่ง”

พูดแล้วเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ห้วงมิติด้านบนก็บิดเบี้ยว ภายในห้วงมิติที่บิดเบี้ยวก็มีซากศพซากหนึ่งล่องลอยอยู่

โลกเทพ ทุกฝ่ายต่อสู้ห้ำหั่นกัน เหล่าผู้แกร่งกล้าและเหล่าผู้เหินทะยานของโลกเทพห้ำหั่นกันก็แล้วไปเถิด พวกเขาล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านั้นก็เพื่อปีนป่ายไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกเช่นกัน

………………………………