ตอนที่ 2033 ล้มเหลว…

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2033 ล้มเหลว…

จางเซวียนพยายามทำแบบเดียวกันกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีก 3 อันที่เหลือ แต่ลงท้ายมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อไม่มีทางเลือก จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น

“ดูเหมือนสิ่งประดิษฐ์ของปรมาจารย์ขงจะได้การยอมรับแม้แต่จากหอเทพเจ้า…” จางเซวียนพึมพำ เขามองศพทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะยิ้มกับตัวเอง “ถึงเจ้าพวกนี้จะไม่มีของล้ำค่า แต่อย่างน้อยร่างของพวกเขาก็ถือเป็นทรัพย์สมบัติแล้ว!”

ศพเหล่านี้สามารถถูกหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ และนั่นคือทรัพย์สมบัติล้ำค่าสำหรับเขา “ได้เวลาทำงานเสียที”

จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เขาถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วแล้วตั้งต้นทำงานกับศพที่อยู่ตรงหน้า

…..

บนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปในมิติเบื้องบน…

แอ๊ดดดด!

ประตูที่อยู่ในเงามืดถูกเปิดออก ชายสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งผลุบเข้าไปอย่างร้อนใจ เขาเดินตรงไปยังใจกลางห้องโถงที่มืดมิด พื้นที่นั้นถูกประดับประดาด้วยแสงเทียนวิบวับ เห็นแผ่นหลังสูงสง่าของร่างหนึ่งได้อย่างเลือนรางที่บริเวณใจกลางห้อง

“นายท่าน” ชายเสื้อคลุมสีดำทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม

“เป็นอย่างไรบ้าง?” ร่างสูงสง่านั้นตั้งคำถามโดยไม่เคลื่อนไหว

“ล้มเหลว…ทั้ง 4 คนถูกฆ่าตาย!” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบพร้อมกับตัวสั่น

ตอนแรกที่ได้ข่าว เขาไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง ต้องตรวจสอบหลายครั้งกว่าจะกล้านำข่าวนี้มาแจ้ง

นั่นคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนจากหอเทพเจ้า! ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะถูกนักรบเสมือนอมตะสังหาร…

เรื่องนี้เหลือเชื่อมากสำหรับเขา

“พวกนั้นตายหมด?” ร่างสูงสง่าตั้งคำถาม ไม่มีความประหลาดใจอยู่ในน้ำเสียงนั้นแม้แต่น้อย

เขาพยักหน้าราวกับคาดเดาผลลัพธ์แบบนี้ไว้แล้ว จากนั้นก็พูดต่อ “สมกับเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ เขาโชคดีจริงๆ…ก็เหมือนกับชายผู้นั้นนั่นแหละ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งสนใจ…”

ชายเสื้อคลุมสีดำก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวขณะฟังเจ้านายของเขาพึมพำ ไม่กล้าขัดจังหวะเพราะเกรงจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

“นายท่าน ดูเหมือนเขาจะกลับสู่สำนักดาบเมฆเหินแล้ว” ชายเสื้อคลุมสีดำรายงาน

“ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่สำนักดาบ ก็ยังไม่ต้องทำอะไร” ร่างสูงสง่าสั่งการ

“ขอรับ นายท่าน…” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบอย่างนอบน้อม “แล้วถ้าเขาไม่ยอมออกจากสำนักดาบ เราควรทำอย่างไร?”

“เขาจะต้องออกมาเร็วๆนี้แหละ” อีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจ

“เข้าใจแล้ว นายท่าน…ผมจะจับตามองเขาและจัดการทันทีที่เขาออกจากที่นั่น” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบ

“ดี คราวหน้าส่งคนที่เก่งกว่านี้ไปนะ เหมือนกับครั้งก่อนนั่นแหละ ผมต้องการตัวเขาเป็นๆ จะบาดเจ็บหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เขาต้องยังหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผม” ร่างสูงสง่าสั่งการ

“ขอรับ นายท่าน!” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงาม ก่อนจะออกจากห้อง

ในเวลาเดียวกัน ร่างสูงสง่านั้นก็ค่อยๆจางลง ก่อนจะเลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิด

…..

ไม่มีทางที่จางเซวียนจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหอเทพเจ้า ตอนนี้เขากำลังนวดหว่างคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะลุกขึ้นยืน

“ศพของนักรบอมตะตัวจริงทั้งสามยังพออยู่ในวิถีที่เราจัดการได้ แต่สำหรับศพของนักรบอมตะขั้นสูง วรยุทธของเรายังอ่อนด้อยเกินไป…”

จางเซวียนใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการขัดเกลาศพของนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้งสามคนให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ แต่เมื่อมาถึงร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ

“จิตวิญญาณของเรายังอ่อนด้อยไปหน่อย” จางเซวียนส่ายหน้า

เขาตามหาหนังสือเทคนิควรยุทธเพื่อยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้แล้ว แต่เมื่อมาถึงการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ ก็ไม่โชคดีแบบนั้น

ในเวลานี้ จิตวิญญาณของจางเซวียนยังมีวรยุทธแค่ระดับเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ หากไม่มีศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าที่สมบูรณ์พอ เขาก็ไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้

สำนักดาบเมฆเหินให้ความสำคัญเฉพาะกับศิลปะเพลงดาบและเจตจำนงเพลงดาบ พวกเขาไม่ใส่ใจการยกระดับพลังงานของจิตวิญญาณมากนัก จึงแทบไม่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธของจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงยังห่างไกลจากการประมวลศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง

เราต้องหาทางยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้ได้ จางเซวียนคิดขณะเก็บศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ

ที่เขาต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณก็ไม่ใช่เพื่อการขัดเกลาศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงด้วย

ถึงเขาจะยังรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธได้ไม่มากพอสำหรับการประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง แต่ด้วยหนังสือที่พอหาได้ จางเซวียนก็พอมีความเข้าใจในวรยุทธขั้นนี้อยู่บ้าง

ก็เหมือนกับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณในครั้งนั้น ทั้งจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณของเขาจะต้องกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบ การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงจึงจะประสบความสำเร็จ

ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดกับนักรบคนอื่นๆ เพราะพวกเขาไม่เคยฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณมาตั้งแต่แรก วรยุทธของพลังปราณจึงมีความสำคัญมากกว่า ด้วยเหตุนี้ นักรบเหล่านั้นจึงประสานจิตวิญญาณให้กลมกลืนกันกับพลังปราณได้ง่ายกว่าจางเซวียน

สำหรับจางเซวียน เขาต้องสร้างความสมดุลระหว่างวรยุทธของจิตวิญญาณกับวรยุทธของพลังปราณให้ได้เพื่อนำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธ ซึ่งเรื่องนั้นจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เสมอกับพลังปราณได้แล้วเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เรื่องด่วนที่สุดในเวลานี้ก็คือค้นหาหนังสือเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณ!

เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็เดินออกจากห้องลับแห่งนั้น

ในเมื่อเขาเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินและเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก

หานเจี้ยนชิวยืนรออยู่ด้านนอกห้องลับ เมื่อเห็นจางเซวียนออกมา ก็รีบตั้งคำถามพร้อมกับยิ้มให้ “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็ได้อยู่…เจ้าสำนักหาน ไม่ทราบว่าในบรรดา 6 สำนักใหญ่ สำนักไหนที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถาม

เขาอ่านหนังสือทั้งหมดที่มีในสำนักดาบเมฆเหินแล้ว ซึ่งหากพูดกันตามตรง ก็ไม่มีหวังเลยที่จะรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงของจิตวิญญาณได้จากที่นี่ เพราะนักรบส่วนใหญ่ในทวีปที่ถูกลืมให้ความสำคัญเฉพาะกับวรยุทธของพลังปราณ จางเซวียนจะต้องตามหาสำนักที่เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณให้ได้ ไม่อย่างนั้น ก็คงยากมากที่จะหาหนังสือที่จำเป็นสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จ

“คือ…”

หานเจี้ยนชิวดูจะไม่เข้าใจเหตุผลที่จางเซวียนตั้งคำถาม เขาครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “ถ้าผมจะต้องพูดถึง 1 ใน 6 สำนักใหญ่ที่มีทักษะเชี่ยวชาญที่สุดในศาสตร์ของจิตวิญญาณ ก็ไม่น่าจะเป็นที่อื่นนอกจากตำหนักคว้าดาว พวกเขาสามารถสื่อสารกับเทพเจ้า และทำได้ถึงขนาดใช้บรรณาการเชื้อเชิญเทพเจ้าให้ลงมายังมิติเบื้องล่างได้ด้วย ผมคิดไม่ออกว่ามีกลุ่มอำนาจไหนที่จะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณมากกว่าพวกเขา”

“ตำหนักคว้าดาว?” จางเซวียนพยักหน้า

เขาเคยได้ยินชื่อตำหนักนี้มาแล้วหลายครั้ง

“6 สำนักใหญ่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะของตัวเอง ซึ่งตำหนักคว้าดาวไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆที่เหลือ เหล่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวไม่ได้ถูกละเลยจากเผ่าพันธุ์เทพเจ้า แต่เป็นพลเมืองของดินแดนนั้น พวกเขามีจิตวิญญาณที่ทรงพลังตั้งแต่เกิด ความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ จึงมีอยู่ทั่วไป”

“สำหรับสำนักดาบเมฆเหินของพวกเรา อย่างที่คุณเห็น เราเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบมากกว่า แต่ในทางตรงกันข้าม เราก็อ่อนด้อยเรื่องการพัฒนาจิตวิญญาณ ส่วนหอนานาอสูร…ก็ตามชื่อของมัน พวกเขาเชี่ยวชาญในศิลปะการทำให้อสูรยอมจำนน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทุกคนที่หอนานาอสูรจะมีอสูรทรงพลังเป็นของตัวเองอย่างน้อย 1 ตัว จึงไม่อาจประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาได้”

“สำนักดาวเจ็ดดวงคือธุรกิจหมายเลข 1 ของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาซื้อขายของล้ำค่าทุกชนิดผ่านช่องทางขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วทั้งทวีป ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ คนเหล่านั้นเทียบชั้นไม่ได้กับอีก 5 สำนักที่เหลือ แต่ความร่ำรวยของพวกเขาก็เกินพอที่จะทำให้สำนักดาวเจ็ดดวงโดดเด่นอยู่ได้ท่ามกลาง 6 สำนักใหญ่”

“ป้อมปราการกระจกดำมีความเชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธและของล้ำค่า ซึ่งดาบถงซังของคุณก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของพวกเขา ส่วนสำนักอมตะเลือนหาย พวกเขาพำนักอยู่ในทะเลทางตอนเหนือสุดของทวีป บรรดาศิษย์สายตรงของสำนักนี้มีทักษะเชี่ยวชาญอย่างน่าทึ่งในเทคนิคการเคลื่อนไหว”

หานเจี้ยนชิวอธิบายภูมิหลังของ 6 สำนักใหญ่ในมิติเบื้องบนอย่างรวบรัด

“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า

เขาฟังเรื่องราวของ 6 สํานักใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังมีรายละเอียดบอกไว้ในหนังสือด้วย แต่ทุกอย่างก็ดูจะกระจ่างกว่าเมื่อมีผู้ที่รอบรู้ในมิติเบื้องบนมาอธิบายให้ฟังโดยตรง

“คุณบอกว่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวคือประชากรของดินแดนนี้ และไม่ได้ถูกละเลยจากเทพเจ้า…ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนถาม

ทุกเรื่องที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องดูจะเชื่อมโยงกับตำหนักคว้าดาวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เขาสนใจในกลุ่มอำนาจนี้มาก

“อย่างที่คุณรู้ ประชากรส่วนใหญ่ในทวีปที่ถูกลืมคือผู้ที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า แต่มีดินแดนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อนพวกเราได้ชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่น ตำหนักคว้าดาวก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากผู้คนเหล่านั้น และแหล่งพละกำลังของพวกเขาก็มาจากจิตวิญญาณ ที่มีอานุภาพเหนือชั้นที่ทำให้พวกเขาสื่อสารได้แม้แต่กับเทพเจ้า” หานเจี้ยนชิวอธิบาย

จางเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“คุณตั้งใจจะศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณหรือ?” หานเจี้ยนชิวถาม

“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมอยากเดินทางไปตำหนักคว้าดาว”

“เอ่อ” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว “มันอยู่ไกลจากสำนักดาบเมฆเหินมาก ต่อให้คุณขี่อสูรอมตะไป ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน ในเมื่อตอนนี้คุณถูกจับตาจากหอเทพเจ้า และคนของตำหนักคว้าดาวก็ไม่เป็นมิตรกับคนนอก ผมขอแนะนำว่าคุณอย่าไปจะดีกว่า”

จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

เขาเองก็คิดถึงปัจจัยเหล่านี้เช่นกัน ในเมื่อตำหนักคว้าดาวเป็นกลุ่มอำนาจที่มีแต่คนท้องถิ่น ก็ไม่ยากเกินไปที่จะคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่กับคนนอกที่เข้ามาอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา