ตอนที่ 579 ตู๋กูฉุยอะไรนะ?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

คราวนี้กระทั่งคนที่เดิมทีไม่คิดจะทำร้ายนาง ตอนนี้ก็ชักจะกระเ**้ยนกระหือรือที่จะฆ่านางขึ้นมาแล้ว 

 

 

ดูเอาเถอะ ความสามารถในการปลุกปั่นจิตใจผู้คนเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ! 

 

 

มันจะมากเกินไปแล้ว! 

 

 

พวกเขาอยากจะรู้จริงๆว่า ตกลงแล้วนางใช้วิธีการใดกันแน่ จึงได้สามารถล่อลวงบุรุษที่สุดแสนจะเก่งกาจทั้งสองเอาไว้ได้ 

 

 

หรือจะอาศัยเพียงใบหน้าที่งดงามนั่นเท่านั้นจริงๆ? 

 

 

สีหน้าของต้าซือมิ่งเหมือนดั่งคนที่กลืนแมลงวันลงไป เขาถึงกลับสะอิดสะเอียนอย่างแรงแล้ว 

 

 

ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่เคยมีใครที่กล้าออดอ้อนท่านเจ้าตำหนักเช่นนี้มาก่อนเลย ไยนางจึงกล้ามีความคิดที่อาจเอื้อมเช่นนี้! 

 

 

“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านจะมีหลานสาวได้อย่างไร….โดยเฉพาะอย่างนางมารนี่….” 

 

 

ต้าซือมิ่งไม่มีทางเชื่อ เขายังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นก็พบว่าทั่วร่างมีไอหยินโอบล้อมเข้ามา 

 

 

ท่านเจ้าตำหนักขยับมาตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา หมอกสีดำบนร่างกลายเป็นอสรพิษสีดำขดล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ 

 

 

“แล้วไยข้าจึงไม่อาจมีหลานสาวได้กัน?” 

 

 

“นางชื่อหลันหลัน ไม่ใช่นางมาร จดจำไว้ให้ดี!” 

 

 

อสรพิษจากหมอกสีดำตัวหนาเท่าแขนเด็กทารกขดอยู่บนรอบลำคอของเขาอย่างแน่นหนา จนยกร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้น 

 

 

ดวงหน้านั้นกลายเป็นสีแดงเข้มเห็นเส้นเลือดบนลำคอของเขาปูดโปน หายใจไม่ออก 

 

 

คนผู้นั้นคือ……ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเชียวนะ! 

 

 

ทั้งที่คุณสมบัติของเขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว และอยู่เหนือกว่าผู้คนอีกนับหมื่น แต่ว่าเพื่อนางมารน้อยผู้นั้น เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนกลับไม่ไว้หน้าของเขาเลยสักนิด! 

 

 

นี่จึงทำให้ผู้คนทั้งหมดตกตะลึงอย่างแท้จริง 

 

 

พวกเขาแทบไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า …..ว่าตามจริงแล้ว ความสามารถของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอยู่ในระดับใด ทุกคนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว คนอย่างเขาย่อมไม่มีทางถูกล่อลวงได้โดยง่าย 

 

 

ที่เขาขุ่นเคืองขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ก็แสดงว่า บางที….นางมารน้อยนั่นอาจจะเป็นหลานสาวของเขาจริงๆ? 

 

 

เรื่องประหลาดใดๆในโลกนี้ล้วนมีอยู่เต็มไปหมด บ้านใดบ้างที่ไม่เคยมีเรื่องชู้สาว? 

 

 

ต่างก็เห็นอยู่กับตาว่าใบหน้าของต้าซือมิ่งในตอนนี้แดงก่ำ ดวงตาถลนออกมา นัยตามีเลือดออก คล้ายจะตายได้ทุกเมื่อ 

 

 

ฟ่านอิงถึงได้ปลดปล่อยเขา 

 

 

ต้าซือมิ่งร่วงลงไปบนพื้นอย่างแรง เขากำลำคอของตนเองเอาไว้ รอยช้ำดำบนนั้นเด่นชัดอยู่บนผิวหนัง 

 

 

หากว่าเมื่อครู่ท่านเจ้าตำหนักเพิ่มแรงขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ศีรษะของเขาก็คงจะหล่นลงไปบนพื้นแล้ว 

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านเจ้าตำหนัก ได้รับความเคารพจากผู้คนในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ท่านเจ้าตำหนักก็ให้ความเกรงใจกับเขาอยู่เสมอ จึงไม่เคยได้รับความอับอายดั่งเช่นในวันนี้มาก่อนเลย 

 

 

แต่ว่าเพื่อตู๋กูซิงหลัน…… 

 

 

นางมารน้อยผู้นั้น…..เป็นหลานสาวของเจ้าตำหนักจริงๆ? 

 

 

ถึงตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว 

 

 

ได้แต่ใช้ดวงตาที่มีแต่เส้นเลือดทั้งคู่จดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันเขม็ง ราวกับว่าจะมองนางให้ทะลุ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยักไหล่อย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีเช่นนั้นยังยิ่งกว่าการซ้ำเติม 

 

 

ท่านเจ้าสำนักคอยจับจาดูอยู่ตลอดเวลา เขาก็รู้สึกแค่ว่าศิษย์ของตนช่างน่ารักอย่างยิ่ง 

 

 

ก่อนหน้านี้ยิ่งดูยิ่งสบายตา ยามนี้ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในทรวงอกจนแทบจะทะลักออกมา เป็นความรู้สึกที่ทั้งแปลกประหลาดและคุ้นเคย 

 

 

ราวกับว่าแต่ก่อนก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ามีมาได้อย่างไร 

 

 

……………. 

 

 

ถึงตอนนี้ ฟ่านอิง ก็ไม่คิดจะสนใจเหลือบตามองดูต้าซือมิ่งแม้แต่แวบเดียวอีกต่อไป เขาหันไปทางฝูงชน เอ่ยอย่างหนักแน่นอีกประโยคว่า “หลันหลันพึ่งจะมาถึงจิ่วโจว หากว่ามีที่ล่วงเกินทุกท่านในที่ใด….พวกเจ้าต้องทนไป ต่อไปในภายหน้าหากมีที่ล่วงเกินอีก….” 

 

 

“พวกเจ้าก็ได้แต่ทนรับไว้เท่านั้น” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “…..” พวกเขาสามารถปฏิเสธได้หรือไม่? 

 

 

แต่ก็ชัดเจนเลยว่าฟ่านอิงไม่คิดจะเปิดโอกาสนั้นให้พวกเขาอย่างแน่นอน 

 

 

เพราะน้ำเสียงที่แหบสากของเขากล่าวต่อไปว่า  

 

 

“เบื้องหลังของนาง คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยนของข้า คือตัวข้า….ฟ่านอิง” 

 

 

ฟ่านอิง…..นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประกาศนามของเขาออกมาในดินแดนจิ่วโจว 

 

 

เพราะแม้แต่ต้าซือมิ่งก็ยังไม่รู้จักนามของเขา แต่ว่าตอนนี้ เพื่อตู๋กูซิงหลัน เขากลับบอกออกมา 

 

 

หากไม่ได้สนใจมองดูโฉมหน้า ฟ่านอิงก็เหมือนกับท่านอ๋องผู้อหังการที่ก้าวออกมาจากในหนังสือนิยาย 

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังเกือบจะหลงใหลเข้าแล้ว 

 

 

เขาถึงกับเชื่อใจนางอย่างไม่มีความหวาดระแวง ให้การสนับสนุนปกป้องคุ้มครองถึงเพียงนี้? 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า 

 

 

เขายืนอยู่ข้างกายศิษย์น้อย “เบื้องหลังของนาง ก็คือข้า…..ตู๋กูต้าฉุย” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “? ? ?” 

 

 

เล่นอะไรกันอยู่? ตู๋กูฉุยเฉยอะไรกัน? ต้าฉุยอะไรที่ไหน? 

 

 

พูดใหม่อีกครั้งซิ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเองก็เสมือนจะมีพลังอ่านใจผู้คน ให้ความร่วมมือถึงขนาดเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “จงจดจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี ….ข้าคือตู๋กูต้าฉุย คือผู้ที่พวกเจ้าไม่อาจหาเรื่องได้” 

 

 

“ศิษย์ของข้า คือผู้ที่พวกเจ้าไม่อาจล่วงเกินได้” 

 

 

ใช่แล้ว ประเด็นหลักคือหนุนหลังศิษย์น้อย 

 

 

ศิษย์น้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ หากไม่กางม่านเหนือท้องฟ้าเอาไว้ หากอยู่ในจิ่วโจวแล้วนางถูกฝนพรำหรือฟ้าผ่าขึ้นมา จะได้อย่างไร? 

 

 

ฝูงชนต่างก็อยากร่ำไห้ขึ้นมาแล้ว….. 

 

 

พ่อคุณเอ๋ยหน้าตาหรือก็ออกจะดีเสียขนาดนี้ ไม่มีชื่อเรียกหาที่ดีกว่านี้หน่อยหรือ? 

 

 

ต้าฉุย? ต้าฉุย เสี่ยวฉุย ที่หมูบ้านหวังข้างๆมีอยู่มากมายจนสามารถตั้งกลุ่มเตะลูกบอลได้แล้ว ขอบคุณนะ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกสายฟ้าสองสายห้อมล้อมปกป้องเอาไว้ 

 

 

นางไม่อาจบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาได้ มันทั้งซับซ้อนและอันตราย 

 

 

เดิมทีที่คิดเอาไว้นั้น งานหมื่นบุปผชาติในวันนี้น่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น….จนกลายเป็นสนามรบขนาดใหญ่ เลือดไหลเป็นท้องธารอะไรทำนองนั้น 

 

 

แต่แล้วกลับเป็นสายฟ้าสองสายผู้เป็นเจ้าสำนักและเจ้าตำหนักร่วมกันคุ้มครอง…. 

 

 

จะอย่างไรย่อมรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ 

 

 

เมื่อเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นยังจะพูดอะไรได้อีก? 

 

 

ดูสิ แม้แต่ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังต้องหุบปาก แม้ว่าในใจของเขาจะไม่ยินยอม ก็ยังได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ชนิดที่ลมก็ยังไม่กล้าผายเสียด้วยซ้ำ 

 

 

เจ้าแคว้นทองเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึง ตัวเขานั้น เดิมทีแอบคิดเอาไว้ว่า หากนางถูกบีบคั้นอยู่ท่ามกลางสงคราม เขาก็จะหาวิธีการพาตัวนางออกมา จากนั้นก็นำตัวกลับไปเป็นสนมก็คงจะดีไม่น้อย…… 

 

 

แต่แล้วใครจะไปคิดกันว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ไป นางถึงกับเป็นหลานสาวแท้ๆของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจริงๆ? 

 

 

เรื่องราวช่างซับซ้อนสับสนจนน่าปวดหัวไปหมดแล้ว 

 

 

มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่เป็นสิ่งที่แน่นอน นั่นก็คือ….นางมารน้อยผู้นี้มิใช่ผู้ที่จะสามารถคิดอาจเอื้อมเอาได้ 

 

 

เกรงว่าแผนการของเขายังไม่ทันได้เริ่มขึ้น มือก็คงจะถูกเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสับจนไม่เหลือเป็นชิ้นแล้ว 

 

 

แม้แต่ศีรษะของตนเอง จะยังมีสองมือประคองเอาไว้ ก็ยังรู้สึกว่าไม่มั่นคงเท่าไหร่เลย 

 

 

โดยเฉพาะในใจยามนี้รู้สึกหวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปหมดแล้ว 

 

 

ช่างเถอะ ยามนี้มาคิดๆดูแล้ว ….การจะลงมือคงจะทำไม่ได้แล้ว เอาไว้สวรรค์ประทานโอกาศให้เมื่อไหร่ เขาค่อยหาทางฉกฉวย 

 

 

เจ้าว่า….ฮ่องเต้หญิงน้อยผู้นี้จะชื่นชอบภูเขาเงินภูเขาทองหรือไม่? 

 

 

เผื่ออย่างไร พรุ่งนี้ส่งทองไปให้นางสักภูเขา นางงดงามถึงเพียงนี้ หากได้พูดคุยกันสักหลายๆประโยค เช่นนั้นก็คงจะดีแน่แท้ 

 

 

สาวงามยามพูดจา น้ำเสียงช่างน่าฟังและหอมหวนจนผู้คนเมามาย 

 

 

………….. 

 

 

พอถึงยามเที่ยง ดอกไม้ต่างๆในสวนทั้งหมดก็พากันผลิบานอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

บนกลีบดอกไม้ยังมีหยาดน้ำค้างเกาะพราว พอกลีบดอกไม้ผลิบานออกมา ถูกแสงอาทิตย์ส่อง ก็ทอประกายระยิบระยับ จากนั้นจึงระเหยเป็นหมอกน้ำค้างอยู่ในอากาศ 

 

 

หมอกน้ำค้างต้องแสงอาทิตย์สาดส่อง ถักทอกลายเป็นสายรุ้งเจ็ดสี ทั้งแสงเหล่านั้นยังเหมือนจะผ่านการปรึกษากันมาเป็นอย่างดี จึงส่องลงมาบนร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

ชั่วขณะนั้นตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน หากจะหาถ้อยคำใดมาบรรยายละก็ นางรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกลายเป็น แมรี่ซู ปิงซิน และเมิ่งเสีย ไปแล้ว 

 

 

ทั่วร่างมีรัศมีส่องสว่างรายล้อมราวกับ แมรี่ซู โอ้ว้าว! สวรรค์โปรด! ดูสิสายรุ้งที่งดงามเหล่านี้ พากันรายล้อมอยู่รอบกายนาง 

 

 

ราวกับว่านางคือผู้ที่สวรรค์กำหนดเอาไว้ 

 

 

คราวนี้นางถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป ขยับริมฝีปากหัวเราะออกมาเบาๆว่า “อ้ายย่าห์ นี่ข้ากลายเป็นเทพธิดาไปแล้วจริงๆสินะ” 

 

 

………………