ในตอนนี้ อี้ลั่วเอ๋อเข้าใจเคล็ดวิชาผีเสื้อยมโลกเริงระบำทั้งหมดเรียบร้อยรวมไปถึงวิธีการเปิดประตูยมโลกด้วย
เมื่อประตูยมโลกเปิดออก นางก็ตั้งใจที่จะฆ่าหยูหมิงเย่โดยการยืมพลังของประตูยมโลกให้ดูดดวงวิญญาณของเขาเข้าไปอยู่ในยมโลกซะ
แต่แล้วสิ่งที่นางไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เนื่องจากจู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านในประตูและกำลังค่อย ๆ เดินออกมา แถมชายผู้นี้ยังสามารถหยุดกระบวนการดูดวิญญาณของประตูยมโลกได้อีกต่างหาก
ไม่เพียงแต่ชายผู้นี้จะสามารถหยุดกระบวนการของประตูยมโลกได้เท่านั้น แต่อี้ลั่วเอ๋อรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้นางไม่สามารถควบคุมประตูยมโลกได้เลย ทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนเปิดมันแท้ ๆ มันเหมือนราวกับว่าชายผู้นี้คือเจ้าของที่แท้จริงของประตูยมโลก
และที่สำคัญยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนผู้นี้ก้าวออกมาจากบานประตู บรรยากาศของอาณาบริเวณโดยรอบก็กลายเป็นเหมือนกับโลกอีกใบหนึ่งที่มีแต่ความวังเวงและกลิ่นอายแห่งความตาย ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับบรรยากาศของยมโลก!
ในตอนนี้ อี้ลั่วเอ๋อรู้แล้วว่าทุกอย่างมันไม่ถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่นางไม่อาจทำอะไรได้เลย แม้แต่การคืนร่างเดิมนางก็ไม่สามารถทำได้
อันที่จริงไม่เพียงแต่นางจะรู้สึกว่าไม่อาจทำอะไรได้ นางกลับรู้สึกอยากจะก้มลงกราบแทบเท้าชายวัยกลางคนผู้นี้ซะด้วยซ้ำ
ในเวลาเดียวกับที่อี้ลั่วเอ๋อกำลังสิ้นหวัง จู่ ๆ หลิงตู้ฉิงก็พุ่งเข้ามาที่ด้านหน้าประตูยมโลก และตะโกนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเอาง้าวเทวะพินาศจำลองชี้หน้าชายวัยกลางคน “ข้าบอกให้เจ้ากลับไป!”
ด้วยกลิ่นอายของหลิงตู้ฉิงที่ปล่อยออกมาข่มกลิ่นอายของชายวัยกลางคน ในที่สุดอี้ลั่วเอ๋อก็หลุดจากแรงกดดันที่นางได้รับมาจากกลิ่นอายของชายผู้นั้น ซึ่งนางก็รีบคืนร่างเดิมของนางในทันที
ชายวัยกลางคนเดินมาจนสุดขอบประตู ซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะเหยียบเข้ามาในโลกมนุษย์ แต่แล้วเขาก็หยุดฝีเท้าลงและส่งดวงวิญญาณของหยูหมิงเย่ให้ลอยกลับไปที่ร่าง และทำให้หยูหมิงเย่เข้าสู่สภาวะหลับลึก
ชายวัยกลางคนมองไปที่หลิงตู้ฉิง และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านี่มันช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เจ้าเองก็รู้ว่าการมาของข้าเป็นไปตามกฎทุกอย่าง”
หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “ข้าไม่สนใจกฎอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่ให้เจ้าออกมา!”
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “นี่มันเรื่องของยมโลกแท้ ๆ เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำเกินไปหน่อยงั้นเหรอ?”
“เรื่องในครั้งนี้มันเกี่ยวกับข้าด้วย ดังนั้นข้าจำเป็นต้องแทรกแซง!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
ชายวัยกลางคนกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาหัวเราะออกมาดังลั่นและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้าเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย!”
แต่เมื่อพูดจบประโยค รอยยิ้มบนใบหน้าของชายวันกลางคนก็หายวับไปในทันทีและพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าฝ่าฝืนกฎยมโลกของข้าหลายต่อหลายรอบ โดยเฉพาะรอบนั้นที่เจ้าบุกเข้ามาถึงในยมโลกของข้าแถมยังสังหารคนในยมโลกของข้าไป ซึ่งตอนนั้นข้าอุตส่าห์ไม่สู้กับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับยังไม่พอใจต้องการจะฝ่าฝืนกฎของข้าอีกแล้วงั้นเหรอ? หากมันยังเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วข้าจะดูแลยมโลกต่อได้ยังไง? เจ้าคิดว่ายมโลกไม่มีศักดิ์ศรีเลยงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่ามาพูดถึงเรื่องกฎและศักดิ์ศรีของเจ้า ต่อหน้าข้าศักดิ์ศรีของเจ้าไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายวัยกลางคนเงียบไปสักพัก จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า ครั้งนี้ข้าจะไม่ออกไป แต่ข้าหวังว่าเจ้าเองก็ควรที่จะหยุดฝ่าฝืนกฎของข้าสักทีและอีกอย่างเพื่อเป็นการรักษาธรรมเนียมของยมโลกไว้ ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คนของเจ้ามารับตำแหน่งเป็นทูตของยมโลกข้าด้วย”
เมื่อพูดจบชายวัยกลางคนก็ส่งอักขระสีเขียวให้ลอยไปอยู่ตรงหน้าของหลิงตู้ฉิง และหลังจากนั้นประตูยมโลกก็ค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับร่างของชายวัยกลางก็ค่อย ๆ จางหายไป
แต่ก่อนที่ร่างของชายวัยกลางคนจะจางหายไปได้อย่างสมบูรณ์ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองจากใครบางคน ซึ่งมันทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นและจ้องกลับด้วยสายตาเย็นชาไปที่ด้านหลังของหลิงตู้ฉิงในจุดที่อยู่ห่างออกไป 3,000 กิโลเมตร
ชายวัยกลางคนจ้องกลับเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นบานประตูยมโลกก็ปิดลงและสลายหายไปในทันที
ในตอนที่บานประตูประตูยมโลกเปิดออก จ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไป 3,000 กิโลเมตรก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นมาจากบริเวณสระน้ำอเวจีเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาคุ้มครองอยู่
แต่เมื่อพวกเขาทุกคนนึกถึงคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่เตือนเอาไว้ว่าห้ามมองห้ามสนใจ พวกเขาจึงไม่มีใครกล้าที่จะเหลือบมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่บริเวณสระน้ำอเวจี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยากรู้เป็นอย่างมากก็ตาม
แต่แล้วในระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ บรรยากาศที่เคยหนาวเหน็บและวังเวงก็สลายหายไป ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้เดาได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตามมันน่าจะจบลงแล้ว
ซึ่งในเวลาเดียวกัน หลิงฟ่างหัว ซึ่งไม่อาจอดกลั้นความสงสัยได้ไหวอีกแล้วนางจึงเหลือบไปมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นางสงสัยว่าพ่อของนางทำอะไรกัน หรือว่ามันจะเป็นวิธีการแปลก ๆ ที่พ่อของนางใช้อย่างที่เคยเป็นมา?
แต่แล้วในทันทีที่นางมองไป นางก็สบสายตาเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่มองมาทางนางเช่นกันจากบริเวณสระน้ำอเวจี
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตานั้น หลิงฟ่างหัวก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บอันสุดบรรยายลามไปทั่วร่างจนนางไม่สามารถขยับตัวได้ และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ
ทางด้านของคนอื่น ๆ ที่เห็นว่าจู่ ๆ ร่างของหลิงฟ่างหัวก็กลายเป็นเป็นรูปปั้นน้ำแข็งภายในพริบตา พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกจนแทบจะลืมหายใจ
ไม่เพียงแค่พวกเขาจะเห็นว่าร่างของหลิงฟ่างหัวกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้ว แต่พวกเขายังเห็นดวงวิญญาณของหลิงฟ่างหัวอย่างชัดเจนว่ามันถูกดึงออกจากร่างให้ลงไปสู่ยมโลก แต่โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีโซ่ปริศนาเส้นหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นของพลังแห่งกฎปรากฏขึ้นคล้องดวงวิญญาณของหลิงฟ่างหัว และเชื่อมอีกด้านของมันไว้กับร่างของนางขืนเอาไว้ไม่ให้ดวงวิญญาณของนางถูกดูดลงไปยังยมโลก
เมื่อเห็นโอกาสเช่นนี้ ทุกคนจึงต่างรีบใช้พลังของตัวเองเข้าช่วยหลิงฟ่างหัวเช่นกัน
แต่แน่นอนว่าคนที่เร็วที่สุดและคนที่สร้างโซ่ขึ้นมาก็คือ หลิงตู้ฉิง ที่ในตอนนี้ได้มาปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างของหลิงฟ่างหัวแล้ว
ในตอนที่เขาเห็นสายตาของชายวัยกลางคนเบนไปที่ตำแหน่งด้านหลังของเขา หลิงตู้ฉิงก็รู้ได้ทันทีว่าคนของเขากำลังเจอปัญหาใหญ่..
โดยไม่จำเป็นต้องคิด หลิงตู้ฉิงรีบใช้พเนจรไร้จำกัดพุ่งกลับมาหาคนของเขาในชั่วพริบตา
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ร่างของหลิงฟ่างหัว จากนั้นเขารีบหยิบเอากงล้อเบญจธาตุขึ้นมาทันทีและพูดกับดอกไม้เทวะหยินหยางว่า “ใช้เพลิงของเจ้าละลายพลังยมโลกที่อยู่บนร่างลูกสาวของข้าให้ที!”
ดอกไม้เทวะหยินหยางไม่ตอบกลับอะไรทั้งนั้น มันรีบใช้เพลิงของมันค่อย ๆ ละลายน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากพลังยมโลกที่เกาะอยู่บนร่างของหลิงฟ่างหัวอย่างบรรจง เพราะว่ามันไม่อยากให้เพลิงของมันสร้างความเสียหายให้กับร่างของหลิงฟ่างหัวเช่นกัน
เมื่อผ่านไปสักพัก น้ำแข็งที่เกาะอยู่บนร่างของหลิงฟ่างหัวก็หายไปจนหมด แต่ก่อนที่ร่างอันไร้ดวงวิญญาณของนางจะล้มลงถึงพื้น หลิงตู้ฉิงก็เข้ามาประคองไว้และพูดกับดอกไม้ฟื้นชีพทันที “ข้าต้องการหยดของเหลวของเจ้า!”
ทางด้านของดอกไม้ฟื้นชีพ เมื่อมันเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย มันก็รีบส่งของเหลวจากลำต้นของมันลงไปหลอมรวมบนร่างของหลิงฟ่างหัวทันที
เมื่อของเหลวของดอกไม้ฟื้นชีพหลอมรวมเข้ากับร่างของหลิงฟ่างหัว ดวงวิญญาณของนางก็ลอยกลับเข้ามาอยู่ในร่างกายเหมือนเดิมพร้อมกับโซ่พลังแห่งกฎที่เคยช่วยนางเอาไว้ก็สลายหายไปเช่นกัน
หลังจากที่เห็นว่าหลิงฟ่างหัวไม่เป็นอะไรแล้ว หลิงตู้ฉิงก็เก็บกงล้อเบญจธาตุไป
จากนั้นก่อนที่หลิงฟ่างหัวจะฟื้นขึ้น ร่างของหลิงตู้ฉิงก็หายไปอีกครั้งและไปโผล่ที่กลางสระน้ำอเวจีอีกรอบข้าง ๆ อักขระสีเขียวที่ลอยอยู่
อี้ลั่วเอ๋อ ในขณะนี้กำลังยืนมองที่อักขระสีเขียวด้วยสายตาเป็นประกาย นางรู้สึกว่าสิ่ง ๆ นี้ดึงดูดนางเป็นอย่างมาก
และอีกอย่างนางได้ยินชายวัยกลางคนพูดอย่างชัดเจนว่า ของสิ่งนี้คือเครื่องหมายยืนยันตัวตนแทนการเป็นทูตให้กับยมโลก ซึ่งถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าการทูตนั้นมันคืออะไร แต่นางก็รู้สึกว่ามันจะต้องสำคัญมากแน่นอน
แต่นางก็ยังไม่แน่ใจว่านางควรจะตอบรับดีไหม?
ในใจของนางตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิงและลังเล
แต่ในขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น หยูหมิงเย่ ซึ่งฟื้นขึ้นมาแล้ว และเมื่อเขาเห็นอักขระสีเขียวนี้ เขาก็อดใจไม่ไหวในทันทีและพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
แต่ก่อนที่หยูหมิงเย่จะพุ่งเข้าไปถึงอักขระสีเขียว ร่างของหลิงตู้ฉิงก็ปรากฎขึ้นขวางหน้าเขาไว้ซะก่อน และพูดว่า “ต่อให้ข้าจะไม่ให้นางเป็นทูต แต่ข้าก็คงไม่อาจยอมให้เจ้าเอาอักขระไปได้ ในตอนแรกข้าตั้งใจไว้ว่าข้าจะละเว้นชีวิตเจ้าเพื่อเห็นแก่หน้าเจ้านั่นสักหน่อย แต่ในเมื่อไอ้เจ้านั่นมันกล้าฆ่าลูกข้าเมื่อครู่ ถ้างั้นข้าก็คงต้องเอาคืนโดยการฆ่าเจ้าซะ!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงฟาดง้าวเทวะพินาศใส่หยูหมิงเย่จนร่างแหลกสลายในทันที และปล่อยให้ดวงวิญญาณของเขาถูกดูดลงไปยังยมโลก