เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1903 วิญญาณตอบสนอง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ คลื่นลมแรง ทะเลปั่นป่วน
นี่คือทะเลปีศาจร่ําไห้ ฟางหยวนและกลุ่มของเสี่ยวหมิงเฉินอยู่ที่นี่แล้ว
“ข้าเสียใจ ข้าไม่ควรฆ่าผู้คนมากมายเช่นนั้น”
“ข้าเจ็บปวด ข้าไม่ควรไล่ล่าอํานาจ มันจะดีกว่านี้มากหากข้าอยู่บ้านดูแลท่านพ่อท่านแม่ในฐานะลูกกตัญญ”
“ข้าสํานึกผิดแล้ว ข้าหลอกทุกคนและซ่อนวิญญาณอมตะ ข้าปล่อยให้สหายที่ดีที่สุดของข้ารับความผิดทั้งหมดขณะที่ข้าได้รับผลประโยชน์
คลื่นเสียงดังเข้าหูของกลุ่มผู้อมตะราวกับท่าไม้ตายอมตะที่ทําให้จิตใจของพวกเขาปั่นป่วน
นี่คือจุดศูนย์กลางของทะเลปีศาจร่ําไห้
เสี่ยวหมิงเฉินและคนอื่นๆลอยอยู่บนท้องฟ้าและเฝ้ามองฟางหยวนที่กําลังครุ่นคิดอยู่อย่างอดทน
แม้พวกเขาจะไม่มีความสําเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลแต่พวกเขายังค้นพบค่ายกลวิญญาณอมตะที่อยู่ใต้ทะเล
เห็นได้ชัดว่านี้เป็นผลงานของเทพอมตะสวรรค์พิภพ
กลุ่มของเสี่ยวหมิงเฉินมองมันและรู้สึกถึงความไร้นัยสาคัญของตนเอง
ฟางหยวนรู้สึกเช่นเดียวกันในชีวิตก่อนหน้า เขาต้องถอนหายใจกับความยิ่งใหญ่ของมัน เขาคิดว่าตนเองต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีเพื่อทําความเข้าใจค่ายกลวิญญาณอมตะที่ยิ่งใหญ่นี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้เวลาที่เขาใช้ทําความเข้าใจมันลดลงอย่างมาก
“ข้าต้องใช้เวลาแปดปีในการทําความเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์” ฟางหยวนคิด
สาเหตุของความก้าวหน้าดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากการเติบโตขึ้นของความสําเร็จบนเส้นทางแห่งปฐพี
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนไม่ได้เป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปฐพขณะที่ค่ายกลวิญญาณอมตะใต้ทะเลเป็นค่ายกลบนเส้นทางแห่งปฐพี
ไม่มีการเคลื่อนไหวของวิญญาณความเสียใจ ฟางหยวนมองไปยังทะเลด้านล่าง
เขาไม่แปลกใจกับสถานการณ์นี้
ก่อนเข้ามาในถ้ําสวรรค์วาฬมังกรฟ้า ฟางหยวนทําลายเกาะบัวหินไปแล้ว เมื่อปราศจากเกาะบัวหิน การจัดเดรียมของเทพอมตะสวรรค์พิภพจึงไม่ทํางาน
ตามข้อมูลที่ฟางหยวนได้รับจากเกาะบัวหิน เทพอมตะสวรรค์พิภพเคยไปที่นั้นและขอยืมวิญญาณความเสียใจ
แม้เจตจํานงของเทพปีศาจบัวแดงจะอยู่ที่นั้นแต่มันจะต่อต้านเทพอมตะที่มีชีวิตได้อย่างไร
เทพอมตะสวรรค์พิภพขอยืมวิญญาณความเสียใจและต้องการฉกชิงผู้สืบทอดของเทพปีศาจบัวแดง
แน่นอนว่าผู้สืบทอดผู้นี้ก็คือฟางหยวน
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนต้องการเกาะบัวหิน แต่ชีวิตนี้เขาได้รับทุกสิ่งจากเกาะบัวหินเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเป้าหมายที่เขามายังถ่าสวรรค์วาฬมังกรฟ้าครั้งนี้ก็คือรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะสวรรค์พิภพ
“ครั้งก่อนวิญญาณความเสียใจนําข้าออกไปแต่ครั้งนี้มันไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนข้าต้องลงมือด้วยตนเอง
ฟางหยวนค่อนข้างพอใจที่วิญญาณความเสียใจไม่ทํางาน
หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ฟางหยวนก็รวบรวมความคิดที่กระจัดกระจาย
เขากล่าวกับเดี่ยวหมิงเฉิน “เราต้องใช้ค่ายกลนี้กําจัดปีศาจอมตะ อย่างไรก็ตามนี้เป็นค่ายกลที่เทพอมตะสวรรค์พิภพสร้างขึ้น แม้มันจะทรงพลังอย่างที่สุด แต่มันมีไว้เพื่อกักขังปีศาจเท่านั้น มันไม่มีพลังโจมตีความคิดของ ข้าก็คือเราต้องสร้างค่ายกลเสริมเพื่อฆ่าปีศาจที่อยู่ภายใน”
เสี่ยวหมิงเฉินและคนอื่นๆพยักหน้าเมื่อได้ยินความคิดนี้ พวกเขาเห็นด้วยกับมัน
มันจะอันตรายมากหากพวกเขาพยายามทําลายค่ายกลและปล่อยปีศาจอมตะออกมา
เห็นได้ชัดว่าปีศาจอมตะผู้นี้เป็นคนรุ่นเดียวกับเทพอมตะสวรรค์พิภพ
เขามีชีวิตอยู่มานานนับแสนปีแล้ว
กล่าวถึงเรื่องอายุขัย กระทั่งเทพอมตะที่มีอายุขัยยืนยาวที่สุดก็ยังมีอายุเพียงสองหมื่นห้าพันปีเท่านั้น
เพียงจุดนี้มันก็ทําให้ปีศาจอมตะผู้นี้น่ากลัวมากแล้ว
“ทุกคน ไม่จําเป็นต้องประเมินค่าปีศาจอมตะผู้นี้สูงเกินไป” ฟางหยวนยิ้ม “ค่ายกลนี้มีวิธียืดอายุขัยอยู่ด้วย ปีศาจอมตะผู้นี้อยู่ในสภาพจําศีลมาตลอด นี่คือเหตุผลที่เขายังมีชีวิตอยู่”
เสี่ยวหมิงเฉินและคนอื่นๆรู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินค่ากล่าวของฟางหยวน
“เทพอมตะสวรรค์พิภพช่างมีเมตตานัก ไม่เพียงเขาจะไม่สังหารปีศาจตนนี้แต่เขายังยึดอายุขัยให้มันอีกด้วย”
“มันเป็นวิธียืดอายุขัยของวังสวรรค์หรือไม่? วิธีของวังสวรรค์ทําให้ผู้อมตะจ่าศีลได้นานถึงหลายล้านปี”
“เห้อ…เราจะเข้าใจวิธีการของเทพอมตะได้อย่างไร?”
ฟางหยวนมองเมี่ยวหมิงเฉินและกล่าว “แต่การจัดตั้งค่ายกลเสริมของข้าจําเป็นต้องพึ่งพาวิญญาณอมตะ เมื่อค่ายกลถูกกระตุ้นใช้งาน ยิ่งมีผู้อมตะมากเท่าใด พลังของค่ายกลก็จะยิ่งมากเท่านั้น ตามแผนการของข้า ข้าต้องการผู้อมตะอย่างน้อยแปดคนเพื่อดูแลมัน”
ความรู้สึกดีของเสี่ยวหมิงเฉินและคนอื่นๆจางหายไปทันที
กลุ่มของพวกเขารวมฟางหยวนมีผู้อมตะเพียงห้าคน ตามคํากล่าวของฟางหยวน มันหมายความว่าพวกเขาต้องเชิญผู้อมตะอีกอย่างน้อยสามคน
นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ
แม้พวกเขาจะเพิ่มเจิ้งลั่วซือและถูเทาเทาที่เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษเข้ามา มันก็ยังขาดอีกหนึ่งคน
นอกจากผู้อมตะตระกูลเฉินก็เหลือเพียงเหรินซิ่วผิงกับตงฮัว
นี้เป็นสิ่งที่กลุ่มของเสี่ยวหมิงเฉินไม่สามารถยอมรับ ตระกูลเฉินข่มเหงพวกเขาขณะที่เห็นชั่วผิงเป็นศัตรูและตงฮัวเป็นคนทรยศ
แล้วพวกเขาจะเชิญผู้ใด
กุ้ยฉีเย่ ฮวาตี้ และเฟิงเจียงแสดงออกด้วยความรู้สึกล่าบากใจ
อย่างไรก็ตามเมี่ยวหมิงเฉินกลับตอบด้วยรอยยิ้ม “น้องชู สิ่งสําคัญที่สุดในเวลานี้คือมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะสวรรค์พิภพ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ดังนั้นเราควรคว่ามันไว้ นี่อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตของพวกเรา เราควรวางความเกลียดชังลงชั่วคราว ในความคิดเห็นของข้า เจิ้งลั่วซือและถูเทาเทาสามารถเชิญได้ เหรินซิ่วผิง และตงฮัวสามารถเชิญได้เช่นกัน มันจะดีกว่านี้หากผู้อมตะตระกูลเฉินเข้าร่วมด้วย”
เสี่ยวหมิงเฉินหยุดก่อนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน้องช”
การแสดงออกของกุ้ยฉีเยีและคนอื่นๆเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาต้องการกล่าวบางคําแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ สามารถพูดสิ่งใดออกมา
ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง เสี่ยวหมิงเฉินยังเป็นเสี่ยวหมิงเฉินน
ฟางหยวนกล่าวด้วยน้ําเสียงที่อบอุ่น “พี่เมียวช่างใจกว้างนัก ข้ารู้สึกชื่นชมอย่างสุดซึ่ง มาทํามันกันเถอะ ข้าจะสร้างค่ายกลเสริมและให้พวกท่านใช้มันแทรกซึมเข้าไปในค่ายกลวิญญาณอมตะที่อยู่ใต้ทะเล หลังจากนั้นข้าจะไปเชิญผู้อมตะคนอื่นๆเข้ามา”
เสี่ยวหมิงเฉินกล่าวอีกครั้ง “ข้าเป็นสหายของถูเทาเทากับเจิ้งลั่วซือ ข้าสามารถเขียนจดหมายถึงพวกเขา เพื่อทําให้พวกเขารู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร”
ฟางหยวนพยักหน้า “นั่นเป็นสิ่งที่ดี”
หลังจากนั้นฟางหยวนก็ได้รับวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากเมียวหมิงเฉิน
เสี่ยวหมิงเฉินไม่เพียงเขียนจดหมายถึงเจิ้งลั่วซือกับถูเทาเทาแต่เขายังเขียนจดหมายถึงเหรินซิ่วผิง ตงชั่วและผู้อมตะตระกูลเฉินเพื่อเชิญพวกเขาให้เข้าร่วมในภารกิจนี้
ฟางหยวนตรวจสอบเนื้อหาเล็กน้อยและไม่พบปัญหา เมี่ยวหมิงเฉินแสดงความตั้งใจที่จะทํางานร่วมกันในจดหมาย เขากล่าวว่าความแค้นต่างๆระหว่างพวกเขาสามารถวางลงชั่วคราว เขายังยกย่องวิธีการของฟางหยวน และกระตุ้นให้คนเหล่านั้นให้ความร่วมมือ
ในความเป็นจริงฟางหยวนมั่นใจมากในการเชิญชวนคนเหล่านี้แม้จะไม่มีจดหมายของเสี่ยวหมิงเฉินก็ตาม
กระทั่งเมี่ยวหมิงเฉินจะคัดค้าน ฟางหยวนก็ยังจะเชิญผู้อมตะคนอื่นๆให้เข้าร่วม
กระบวนการเชิญชวนเพิ่งลัวซื้อและถูเทาเทาเป็นไปอย่างราบรื่น
ฟางหยวนกล่าวเพียงประโยคเดียว พวกเขาก็เข้าร่วมทันที
หลังจากทั้งหมดฟางหยวนทําให้อันดับบนหอคอยเกียรติยศของกลุ่มเสี่ยวหมิงเฉินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟางหยวนเชิญตงฮัวเป็นคนต่อมา นางลังเลและบอกว่านางต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นฟางหยวนก็เชิญเหรินซิ่วผิง เขาตกลงโดยไม่ต้องคิด เขากระทั่งตัดสินใจเร็วกว่ากูเทาเทาและเพิ่งลั่วซื้อ
เหรินซิ่วผิงยังนําข่าวที่น่าประหลาดใจมาสู่ฟางหยวน นั่นคือผู้อมตะตระกูลเฉินต้องการเข้าร่วมด้วย
ดังนั้นฟางหยวนจึงได้พบกับเฉินกงเจิ้งหลังจากไม่นาน
“ชูอิง” คราวนี้เฉินกงเจิ้งมีทัศนคติที่อบอุ่น เขาแสดงออกราวกับชูอิงเป็นผู้อมตะระดับแปดที่เท่าเทียมกัน
“เหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพราะข้อมูลที่วังสวรรค์มอบให้ข้าระหว่างการต่อสู้ของราชันมังกรกับบรรพชนทะเลปราณ ข้าแน่ใจว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้ ในการต่อสู้ครั้งนั้นขาสามารถจับฟางเจิ้ง เพื่อนําตัวเขากลับไป วังสวรรค์จึงให้ข้อมูลสําคัญแก่ข้า”
“ปรากฎว่าถ้ําสวรรค์วาฬมังกรฟ้ามีวิญญาณอมตะตอบสนองระดับแปด มันมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อข้าและตระกูลเฉินของข้า ข้าตามหามันมานานหลายปีแล้ว”
“ตระกูลเฉินยินดีร่วมมือกับเจ้า หากเจ้าพบเห็นวิญญาณอมตะดวงนี้ในรายการสมบัติ ข้าหวังว่าเจ้าจะแลกเปลี่ยนมันมาให้พวกเรา หากเจ้าพบวิญญาณอมตะดวงนี้ในภารกิจ ตระกูลเฉินต้องการให้เจ้าจับมันมาให้พวกเรา จากนั้นเราจะมอบรางวัลใหญ่ให้กับเจ้า!”
การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไป “วิญญาณตอบสนอง? วิญญาณอมตะดวงนี้เป็นหนึ่งในสิบวิญญาณที่ลึกลับที่สุด มันจะส่งเสียงออกมา หากผู้ใดตอบสนองมัน ผู้นั้นจะตกเป็นทาสของมันทันที่วิญญาณอมตะตอบสนองระดับแปดสามารถกดขี่ผู้อมตะระดับแปด นี่เป็นวิญญาณที่มีประโยชน์มาก หากข้าทําธุรกรรมนี้ พวกท่านจะมอบรางวัลใดให้ข้า ในถ้ําสวรรค์วาฬมังกรฟ้า เราไม่สามารถทําข้อตกลง
เฉินกงเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว ความร่วมมือนี้จะใช้ชื่อเสียงของตระกูลเฉินเป็นประกัน ข้าสามารถบันทึกกระบวนการทั้งหมด นอกจากนี้ข้ายังมีบางสิ่งให้เจ้า นี่คือส่วนหนึ่งของความจริงใจจากเรา โปรครับมันไว้”
หลังกล่าวจบค่ เฉินกงเจิ้งก็นาทรัพยากรอมตะออกมามอบให้ฟางหยวน
มันเป็นทรัพยากรอมตะที่ล้ําค่ามาก กระทั่งฟางหยวนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นสิ่งนี้
เพื่อยกระดับวิญญาณอมตะ เขาต้องการทรัพยากรจํานวนมาก ทรัพยากรอมตะของเฉินกงเจ๋งสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิ่งที่ฟางหยวนต้องการอย่างแท้จริง
ฟางหยวนพยักหน้าและยอมรับมัน
เฉินกงเจ๋งกล่าวเสริม “ข้าได้ยินว่าภารกิจปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวข้องกับค่ายกลวิญญาณอมตะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะสวรรค์พิภพ ข้าต้องการเข้าร่วมในภารกิจนี้ บางทีวิญญาณตอบสนองอาจอยู่ที่นั้น แม้มันจะไม่อยู่ ผู้อมตะตระกูลเฉินของข้าก็จะช่วยเจ้าทําภารกิจนี้”
ฟางหยวนครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “เป็นเกียรติของข้าที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านเฉินกงเจิ้ง”