ถนนปกคลุมไปด้วยหิมะ ผิวน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
จิงตูต้นฤดูหนาวช่างอ้างว้างและเงียบงัน
หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงเดินไปตามแม่น้ำลั่ว ถนนกว้างใหญ่ไร้ผู้คน หิมะตกอย่างไม่รู้จบราวกับว่าตกมานานนับสิบปี
ในบ้านเรือนสองฝั่งถนน ด้านหลังกำแพง บนเรือในแม่น้ำลั่ว ใต้สะพาน ผู้คนมากมายกำลังซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งเงา
คนเหล่านี้มาจากเมืองต่างๆ จวนอ๋องทั้งหลาย เหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่ พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ มือปราบ ขุนนางพลเรือน วีรบุรุษและผู้กล้า
อย่างไรก็ตาม พื้นน้ำแข็งค่อยๆ อ่อนลงใต้แสงตะวัน ต้นหลิวเปลือยเปล่าเริ่มส่ายไหวน้อยๆ แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือ ทั้งสองคนเดินผ่านหิมะไปโดยไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อย
เมื่อยอดฝีมือจากวังหลวงไม่ปรากฏตัว แล้วพวกเจ้าหน้าที่กับมือปราบพวกนี้จะกล้าลงมือได้อย่างไร
ส่วนเหล่าวีรบุรุษและผู้กล้าจากเมืองต่างๆ จะกล้าลงมือกับหวังผ้อหรือเฉินฉางเซิงได้อย่างไร
รองเจ้ากรมพิธีการคนปัจจุบันถูกสังหาร นี่เป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่และราชสำนักต้าโจวมีเหตุผลมากพอที่จะจับกุมตัวหวังผ้อ คำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาวได้เสียผลบังคับไปแล้วเช่นกัน
ราชสำนักก็มีเหตุผลที่จะเรียกร้องให้เฉินฉางเซิงกับพระราชวังหลีแสดงคำอธิบาย
จิงตูอยู่ภายใต้การคุ้มกันอย่างหนาแน่น
ภายนอกตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ชายที่แผ่กลิ่นอายเย็นชาราวกับเหล็กได้ลืมตาขึ้น
แม้แต่ในตอนนี้ราชสำนักก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไร มันย่อมมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้
ด้านหน้าเจดีย์เป่าเหอ กองทัพอวี่หลินที่เตรียมตัวไว้นานแล้วถูกทหารม้านิกายหลวงขวางเอาไว้ คลื่นทหารม้าสีดำสองสายดูเหมือนจะปะทะกันได้ทุกขณะ
หน้ากองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองเต็มไปด้วยอาจารย์และนักเรียนจากห้าสำนักไม้เลื้อย สวีซื่อจีมีสีหน้าซีดขาว แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งให้กองทหารม้าของตัวเองบุกโจมตี
หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงยังคงเดินต่อไปกลางสายลมและหิมะ พวกเขาหยุดพูดคุยกันเรื่องต้นหลิวในฤดูหนาวหรือหิมะที่ปกคลุมริมแม่น้ำ ประหนึ่งว่าเพียงมาเที่ยวชม
พวกเขาไปที่ไหนมาบ้าง พวกเขาทำอะไร เกิดอะไรขึ้นตามที่ต่างๆ และทำไมยังไม่มีใครมาขวางพวกเขาอีก
รายงานเหล่านี้ถูกรวบรวมส่งมายังลานบ้านที่เคยเต็มไปด้วยดอกไห่ถังแต่ตอนนี้มีแค่ต้นไม้ที่ไร้ใบในเวลาอันสั้นที่สุด
โจวทงนั่งบนเก้าอี้มีพนักพิง ชุดคลุมสีแดงเข้มขึ้นจนดูเหมือนเลือดจริงๆ ใบหน้าขาวซีดจนดูเหมือนกับหิมะ
ทั่วทั้งจิงตูกำลังมองดูคนทั้งสองเดินมาตามแม่น้ำลั่ว
ทั่วโลกรู้ว่าคนคู่นี้ต้องการมายังลานบ้านแห่งนี้เพื่อฆ่าเขา
ว่าตามเหตุผลต่อให้คนคู่นี้คือหวังผ้อกับเฉินฉางเซิง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
แต่สถานการณ์ในวันนี้ค่อนข้างประหลาดทีเดียว
พระราชวังหลีเหมือนจะเป็นบ้าไปพร้อมกับเฉินฉางเซิงจริงๆ
แต่ก็ยังมีคนมากมายมองดูอย่างเย็นชาราวกับกำลังดูการแสดง
.……
……
.……
……
เกล็ดหิมะตกลงระหว่างชายคาของพระราชวังหลีวาดลวดลายสีขาวบนพื้นดิน ผู้หญิงที่แผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ยืนอยู่กลางลวดลายสีขาวนี้ คิดถึงตุ๊กตาหิมะตัวแรกและตัวสุดท้ายที่นางได้ปั้นในวังหลวงของดินแดนต้าซี นางยังคิดถึงสีหน้าผิดหวังของธิดาที่มองมาตอนนางออกเดินทาง อย่างไรก็ตามหัวใจนางไม่ได้อ่อนลงเพราะความคิดนี้ ในทางกลับกันน้ำเสียงกลับดื้อดึงยิ่งกว่าเดิม
“พูดตามเหตุผล ในฐานะคนนอก ข้าควรนั่งดูการแสดงนี้จากด้านข้าง แต่หากปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ จะส่งผลกระทบต่อการบุกขึ้นเหนือ”
สังฆราชมองนางและกล่าว “ดังนั้นมู่ฮูหยินจึงมาเยี่ยมเยือนข้าอย่างนั้นหรือ”
สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้แซ่ ‘มู่’ นางเป็นองค์หญิงแห่งดินแดนต้าซี ทั้งสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ต่างก็คุ้นชินกับการเรียกนางว่ามู่ฮูหยิน
นางยังมีฐานะอีกอย่างที่โดดเด่นยิ่งกว่า นางคือจักรพรรดินีเผ่าปีศาจ นักปราชญ์ที่แท้จริง
ดังนั้นแม้ว่ายามเผชิญหน้ากับใต้เท้าสังฆราช นางก็ยังไม่มีท่าทีจะโอนอ่อน
“หรือว่าท่านคิดว่าข้าจะไปพบกับเฉินฉางเซิง”
สังฆราชแนะ “บางทีท่านควรไปพบกับซาง”
มู่ฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “ตอนนี้เป็นเขากับหวังผ้อที่กำลังจะฆ่าคน”
สังฆราชตอบ “พวกเขาต้องฆ่าคนก่อน”
มู่ฮูหยินไม่คาดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ เสียงนางเย็นชากว่าเดิมในยามที่กล่าว “คนหนุ่มกำลังสร้างปัญหาแต่ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมนี่”
“ทุกคนเริ่มจากวัยเยาว์และหวังผ้อเป็นคนหนุ่มธรรมดาเช่นนั้นหรือ ไม่ แล้วเฉินฉางเซิงเล่า ก็ไม่เช่นกัน เขาคือผู้สืบทอดของข้าและยังเป็นอาจารย์ของธิดาท่าน” รอยยิ้มของสังฆราชค่อยๆ หายไปเมื่อเขากล่าวช้าๆ “ท่านควรหวังว่าเขาจะทำสำเร็จ”
มู่ฮูหยินตอบกลับในทันที “เผ่าปีศาจไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากใต้เท้า”
ประกายแสงฉายขึ้นในดวงตาสังฆราช ดูเจิดจ้าบาดตาอยู่บ้าง
สีหน้าของมู่ฮูหยินไม่เปลี่ยน “ใต้เท้าเข้าใจความหมายของข้า”
สังฆราชกล่าวอย่างจริงใจ “ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องใด หากว่าข้าไม่คิดถึงสถานการณ์โดยรวม โจวทงคงตายไปตั้งแต่สามร้อยปีก่อนแล้ว”
นี่ย่อมเป็นคำสัญญาแต่มู่ฮูหยินไม่คิดว่าเพียงพอ จึงถาม “เช่นนั้นแล้วใครส่งทหารม้านิกายหลวงออกไป”
สังฆราชถอนหายใจ ไม่ตอบคำถาม เขาหันหลังเดินลึกเข้าไปในตำหนัก
เหมาชิวอวี่ปรากฏตัวขึ้น กางแขนขวางมู่ฮูหยินด้วยความสุภาพอย่างที่สุด เขากล่าว “ท่านหญิงเชิญทางนี้”
.……
……
.……
……
ท่าทีของเผ่าปีศาจและดินแดนต้าซีไม่อาจเปลี่ยนใจสังฆราชได้ เขายกสถานการณ์โดยรวมเอาไว้เหนือสิ่งอื่นใด
ในยามที่จิงตูพบกับหิมะแรก พระราชวังหลีก็ช่วยหวังผ้อกับเฉินฉางเซิงจัดการปัญหามากมาย ปล่อยให้ถนนหลักว่างเปล่ากว้างขวางเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ไม่มีบุคคลสำคัญของนิกายหลวงคนใดออกหน้าช่วยเหลือพวกเขาโดยตรง
หากมันเกิดขึ้นนิกายหลวงกับราชสำนักก็จะทิ้งข้ออ้างทั้งหมดลง และเหมือนที่มู่ฮูหยินเป็นกังวล มันส่งผลกระทบต่อการบุกขึ้นเหนือเพื่อสู้กับเผ่ามาร
มู่ฮูหยินไม่พอใจนักกับสถานการณ์ตรงหน้า นางไม่ต้องการให้หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงทำเรื่องบ้าๆ นี้สำเร็จ แต่นางก็ไม่ต้องการให้พวกเขาตายเช่นกัน
ราชสำนักได้ทำการเตรียมการณ์ไว้นานแล้ว แน่นอนว่ามียอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง เถี่ยซู่ย่อมปรากฏตัวขึ้นเป็นแน่
จากทุกแง่มุม ความตายของหวังผ้อกับเฉินฉางเซิงนั้นดูเหมือนจะเป็นที่แน่นอนแล้ว
คนมากมายคิดเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นทั้งสองคนเดินผ่านหิมะไปตามถนนว่างเปล่า ก็ดูเหมือนจะบรรจุไว้ด้วยกลิ่นอายของโศกนาฏกรรม
สายลมส่งเสียงโหยหวนอยู่เหนือแม่น้ำลั่วที่เย็นเยียบ
แต่หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงไม่รู้สึกเช่นนั้น
ขณะที่พวกเขาเดินไปตามแม่น้ำลั่ว ก็พูดเรื่องเก่าจากคัมภีร์โบราณ อย่างพฤติการณ์ของหวังจื่อเช่อในอดีต รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อย่างเช่นเรื่องที่เรือชนสะพานหน่ายเหอหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา
พวกเขาเดินไปคุยไป ไม่ได้มองหาดอกเหมยที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะ ไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งวางก้าม เพียงแค่ยกเท้าและวางลง ทรงตัวอย่างเป็นธรรมชาติและค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน
จากนั้นพวกเขาก็มาถึงตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
ไม่ได้พบเจอเข้ากับคลื่นทหารม้า ไม่ได้เผชิญการต้อนรับด้วยห่าฝนลูกศรจากหน้าไม้
บนถนนที่กว้างใหญ่และเงียบ ปกคลุมไปด้วยหิมะ พวกเขาเห็นคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
คนผู้นี้ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบพร้อมกับความแหลมคมที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า เขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกับหิมะ แต่ดูเหมือนจะมาจากโลกที่สูงกว่า
นี่คือยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
“เถี่ยซู่ มีการบำเพ็ญเพียรสูงส่งอย่างยิ่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอันน่าทึ่งเพื่อเอาชนะ ใช้เพียงแค่ความแข็งแกร่ง ในแง่ของพลังในการต่อสู้ เขาอยู่ในสามอันดับแรกของแปดมรสุม”
หวังผ้อกล่าวกับเฉินฉางเซิง
ย้อนไปที่เมืองสวินหยางตอนที่เขากับเฉินฉางเซิงร่วมมือกันต่อสู้กับจู่ลั่ว ไม่มีโอกาสที่จะชนะ ไม่แม้แต่เพียงน้อยนิด
วันนี้เถี่ยซู่ปรากฏตัวบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เขามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับจูลั่ว แต่เขาอายุน้อยกว่า ปราณ เลือดและเจตจำนงล้วนอยู่ในจุดสูงสุด
ดังที่หวังผ้อกล่าวในแง่พลังต่อสู้อย่างเดียวเถี่ยซู่รวมกับเปี๋ยยั่งหงกับปีศาจเฒ่าอีกคนหนึ่งคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
ต่อให้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเถี่ยซู่ในแง่นี้
วันนี้คู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องพบเจอก็คือคนเช่นนี้
เถี่ยซู่ไม่ได้ยืนบนถนนแต่นั่งอยู่บนโต๊ะข้างถนน
รอบโต๊ะมีเก้าอี้หลายตัว
“แยกทางกันตรงนี้”
“ตกลง”
“ข้าจะนั่ง”
“ตกลง”
บทสนทนาง่ายๆ ได้ข้อสรุปแล้ว
เฉินฉางเซิงและหวังผ้อแยกทางกันบนถนน
หวังผ้อเดินไปยังริมถนน
เฉินฉางเซิงเดินตรงไปยังลานบ้านที่ปลายถนน
หวังผ้อต้องการนั่งที่โต๊ะ
เขานั่งลงเพื่อที่จะได้พบกันตัวต่อตัว
เขาต้องการพบกับเถียซู่
แม้ว่าเขาจะเป็นอันดับแรกบนประกาศเซียวเหยา เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับยอดฝืมือในตำนาน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดว่าเขาต้องแพ้อย่างแน่นอน
เพราะเขาคือหวังผ้อ
ตระกูลของเขาล้มละลายและผู้คนถูกสังหาร เขาร่อนเร่ไปจนถึงเว่นสุ่ยแล้วจากนั้นก็เดินทางลงใต้ เขาใช้เวลาทั้งชีวิตต่อต้านสิ่งที่ทรงพลังอย่างชะตาชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักต้าโจวหรือยอดฝีมืออย่างจูลั่ว
จนวันนี้เขาก็ยังไม่อาจชนะได้อย่างแท้จริงแม้สักครั้งเดียว แต่ก็ไม่นับว่าแพ้เช่นกัน
เทียนเหลียงหวังผ้อนับว่าเชี่ยวชาญที่สุดเรื่องใช้ไม้อ่อนชนะไม้แข็ง
ลานบ้านที่ปลายถนนเคยมีต้นไห่ถังออกดอกเบ่งบาน ทว่าวันนี้มีเพียงแค่หิมะ
เฉินฉางเซิงเดินตรงไปที่ลานบ้าน สีหน้าสงบ ฝีเท้ามั่นคง ลมหายใจและจิตใจล้วนผ่อนคลาย
เขารู้ว่ามีมือสังหาร นักฆ่าและยอดฝีมือมากมายซ่อนตัวอยู่ในลานบ้าน รวมถึงใต้เท้าโจวทงที่อยู่ในขั้นสูงของขั้นรวบรวมดวงดาว
แต่เขาไม่กลัวเพราะเขาเคยมาที่นี่แล้ว
แม้ว่าเขาไม่อาจสังหารโจวทงได้ในตอนนั้น แต่เขาย่อมทำสำเร็จในวันนี้
เขามั่นใจว่าจะตัดหัวโจวทงท่ามกลางกองทัพนับหมื่นได้
เพราะเต๋าที่เขาบำเพ็ญและเพลงกระบี่ที่เขาเรียนมานั้นมีเพื่อต่อสู้กับศัตรูนับพันนับหมื่น
แต่นอกจากในครั้งที่เขาสังหารคนในร้านน้ำชาตอนเดินทางลงใต้แล้ว เขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงให้โลกได้เห็น
วิชานิกายหลวงที่เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมาก