เกล็ดหิมะร่วงลงจากท้องฟ้าตกลงบนขมับและเสื้อผ้าของเถี่ยซู่ ทว่าไม่อาจสัมผัสเขาได้ ถูกทำลายเป็นเศษจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงแผ่วเบา ดอกไม้เล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วนเบ่งบานอยู่ในอากาศ
ชายผู้นี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากเหล็ก เย็นยิ่งกว่าลมหิมะ ความแหลมคมที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้านั้นน่ากลัวยิ่งกว่าดาบหรือทวน
หวังผ้อเดินไปที่โต๊ะ จับจ้องมองเขาแล้วก็นั่งลง วางดาบลงบนโต๊ะอย่างสงบเยือกเย็น
การเคลื่อนไหวมั่นคงและแผ่วเบา ไม่ก่อให้เกิดเสียงอันใด เงียบราวกับหิมะที่ตกลงมา
เกล็ดหิมะตกลงบนขมับเขาเช่นกัน จากนั้นก็กลิ้งออกไปไม่ก็ติดอยู่บางๆ เกล็กหิมะตกลงบนดาบเขาเช่นกัน ค่อยๆ ปกคลุมดาบเอาไว้ราวกับใบไม้เหลืองที่ตกลงมา ไม่แสดงความแหลมคมออกมาแม้แต่น้อย
เห็นภาพนี้ สีหน้าเฉยชาของเถี่ยซู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เขาไม่ได้เคร่งเครียดขึ้นแต่เป็นโศกเศร้า
ที่อารามถานเจ้อ ตอนที่เขาหลับตาอยู่ท่ามกลางโลกแห่งใบไม้เหลือง เขาเห็นภาพที่คล้ายคลึงกันกับตอนนี้
เขามองไปที่หวังผ้อ ทว่าในดวงตาเป็นภาพของผู้เยาว์สวมชุดผ้าปอเดินออกมาจากเมืองเวิ่นสุ่ย
“วันนี้ข้าอาจพูดมากกว่าปกตินิดหน่อย”
เขากล่าวกับหวังผ้อ
หวังผ้อมองผ่านลมหิมะไปยังลานบ้าน ความหมายของเขาชัดเจน
เถี่ยซู่กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เป็นไปไม่ได้ที่เฉินฉางเซิงจะทำสำเร็จ ดังนั้นข้าจึงมีเวลานานมาก”
หวังผ้อมีมุมมองที่ต่างไป แต่เป็นเพราะเขาไม่รังเกียจที่เขาจะนั่งสักระยะหนึ่ง
“เชิญผู้อาวุโสกล่าว”
“ย้อนไปตอนที่เจ้าออกจากเมืองเว่นสุ่ย มีคนมากมายไปพบเจ้า”
ได้ยินคำพูดนี้ คิ้วที่ลู่ลงของหวังผ้อก็เลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ตกลง
ในฐานะทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหวังแห่งเทียนเหลียง หากเขาตายไปตระกูลหวังก็จะถูกทำลายไปจริงๆ
คำพูดติดตลกของจักรพรรดิไท่จงก็จะกลายเป็นจริง
ดังนั้นนับตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงซ่อนตัวในทุกที่ ด้วยความช่วยเหลือของตระกูลเหลียงและผู้อาวุโสที่มีจิตเมตตา เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก
อำนาจตระกูลจูนั้นยิ่งใหญ่เกินไป โดยเฉพาะหลังจากหวังผ้อเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร สถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญยิ่งอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นเองที่ประมุขผู้เฒ่าแห่งตระกูลถังส่งคนมานำตัวเขาไปเมืองเวิ่นสุ่ย
ในเวิ่นสุ่ยเขาทำงานเป็นนักบัญชีอยู่นานหลายปี อยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลถัง
หลายปีจากนั้น เขาตัดสินใจที่จะออกจากเวิ่นสุ่ย ประมุขผู้เฒ่าแห่งตระกูลถังก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา
ข่าวนี้แพร่ไปยังทั่วทุกมุมของต้าลู่อย่างรวดเร็ว
เมื่อหวังผ้อกล้าออกจากเวิ่นสุ่ยและทิ้งการคุ้มครองจากตระกูลถังนั้น บ่งบอกว่าหลังจากทำงานเป็นนักบัญชีมาหลายปี เขาก็เติบโตมากพอที่จะสร้างความมั่นใจในตัวเอง ตราบใดที่จูลั่วถูกคำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาวเหนี่ยวรั้งเอาไว้ไม่ให้ลงมือสังหารเขาด้วยตัวเอง ราชสำนักม่ส่งกองทัพหรือยอดฝีมือออกมา ก็คงยากที่จะสังหารเขาได้
ทุกคนรู้ว่าหวังผ้อแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน
ในวันที่เขาออกจากเมืองเวิ่นสุ่ย หลายคนไปยังถนนหลวงนอกเมือง รวมถึงผู้ยิ่งใหญ่หลายคน
ทุกคนเข้าใจดีว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลจู พรรคไร้รักหรือราชสำนัก ล้วนต้องการโจมตีหวังผ้อ ปัญหาย่อมเกิดขึ้นนอกเมืองเว่นสุ่ยในวันนั้นอย่างแน่นอน
“ข้าเองก็ไปเช่นกัน” เถี่ยซู่กล่าวในขณะที่มองตาเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังผ้อรู้เรื่องนี้ “คิดไม่ถึงเลย”
ว่าตามเหตุผล ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่ผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์ที่มีศักยภาพคนหนึ่งเท่านั้น คงยากมากที่เขาจะรู้ถึงการมีอยู่ของยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเถี่ยซู่
“นี่เป็นเพราะหลังจากซูหลีพบเจ้าในเมืองเวิ่นสุ่ย เขาก็ได้ทำการประเมิน ไม่มีคนอื่นรู้แต่คนอย่างเราย่อมรู้ได้”
เถี่ยซู่กล่าวต่อ “เขากล่าวว่าในอนาคต ดาบของเขาต้องแข็งแกร่งว่าคนที่ผ่านมา”
หวังผ้อไม่ตอบคำ
เมื่อพบกับคำชมซึ่งหน้า แม้แต่เขาก็ทำได้แค่เงียบเอาไว้
สำหรับคนอย่างซูหลี ผู้ใช้ดาบคนเดียวในอดีตที่มีค่าพอให้พูดถึงก็คือ โจวตู๋ฟู
“ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่าเจ้าต้องตายในวันนั้นแน่”
เถี่ยซู่ยังมองดูเขาในตอนที่กล่าว
บทสรุปนี้ดูเหมือนไร้เหตุผล ทว่าอันที่จริงแล้วเป็นการประเมินที่ถูกต้องเหมาะสม
หลังจากได้รับคำชื่นชมอย่างสูงจากซูหลี ผู้มีอำนาจในราชสำนักกับเมืองเทียนเหลียงจะปล่อยให้เขาเติบโตต่อไปได้อย่างไร
หวังผ้อนึกถึงภาพตอนที่เขาเดินออกจากเมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อหลายปีก่อน คิ้วค่อยๆ เลิกสูงขึ้น
เขาไม่ได้รู้สึกพอใจหรือภาคภูมิกับการนึกถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีเขาก็ยังไม่อาจลืมจิตสังหารที่พุ่งสู่สวรรค์ในวันนั้น
“ข้าเห็นเจ้า หนึ่งคนหนึ่งดาบ เดินออกมาจากเมืองเวิ่นสุ่ยเฉกเช่นในวันนี้”
เถี่ยซู่กล่าวต่อ “คนมากมายตายแต่เจ้ารอดมาได้ ในตอนนั้นเรารู้ว่าตระกูลจูกับราชสำนักได้พบกับปัญหาอย่างมาก เมื่อมองดูในตอนนี้ จูลั่วนั้นรู้ชัดเจนยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ในสายฝนเมืองสวินหยาง เขาถึงได้พูดความปรารถนาสุดท้ายที่สุสานเทียนซูเช่นนั้น”
หวังผ้อพูดอย่างใจเย็น “ข้าไม่รู้สึกว่า การได้รับความคาดหวังอย่างสูงจากเขา เป็นเรื่องมีเกียรติแต่อย่างใด”
เถี่ยซู่ตอบ “แต่เขาก็ยังเป็นจูลั่ว เป็นคำขอเดียวที่เขาต้องการก่อนตาย ดังนั้นเราต้องช่วยเขาทำให้สำเร็จ”
สายตาหวังผ้อตกลงเล็กน้อย ตกลงไปบนดาบเหล็กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
“แน่นอน ตอนที่ข้ามองเจ้าเดินมา ข้าเองก็เศร้ามากเช่นกัน ข้าไม่มีความต้องการที่จะฆ่าเจ้า”
เถี่ยซู่กล่าว “แต่เจ้าไม่ควรเข้ามาในจิงตู นี่เท่ากับมาหาที่ตาย”
หวังผ้อนึกถึงอดีตอีกครั้งและยังรู้สึกถึงความเศร้าโศก เขาปัดแขนเสื้อปล่อยให้หิมะปลิวลงสู่พื้น
เขาจัดแจงเสื้อผ้าเพื่อที่จะใช้ดาบ
เถี่ยซู่ถามด้วยสีหน้าไม่แยแส “เจ้าต้องฆ่าคนวันนี้จริงหรือ”
หวังผ้อไม่ตอบคำถามนี้ “อันที่จริงข้าสงสัยอย่างมากว่าใครกันที่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจได้อย่างกะทันหัน”
ทั้งหมดล้วนเงียบงัน หิมะยังคงตกลงมาอย่างไร้เสียง
ความโศกเศร้าของเถี่ยซู่ที่ผ่านมานั้นเป็นของจริง
แต่สิ่งที่เขาพูดวันนี้เป็นเรื่องลวง
จากอารามถานเจ้อจนถึงวันนี้ ใจเขาได้ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าจะสังหารหวังผ้อ
หวังผ้อเข้าใจเรื่องนี้ดี
แต่ความหมายของเถี่ยซู่เมื่อครู่นี้ชัดเจนมาก ตราบใดที่หวังผ้อต้องการจะออกไปจากจิงตู เถี่ยซู่ก็จะไม่โจมตี
ใครกันที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจจาการสังหารเป็นขับไล่ออกจากเมือง
หวังผ้อไม่อาจจากไป แต่เขาก็หวังว่าจะได้รับคำตอบ
ไม่ใช่ว่าผู้มีอำนาจคนใดก็สามารถเปลี่ยนใจยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
สำรวจดูทั่วทั้งโลกก็คงมีไม่เกินห้าคนเท่านั้นที่พอจะทำได้
ประตูร้านน้ำชาริมถนนเปิดออกเสียงดังแอ๊ด
ชายรูปงามเดินออกมา แย้มยิ้มให้กับหวังผ้อ “ไม่พบกันนาน”
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏ ตัวคิ้วที่เลิกขึ้นของหวังผ้อก็ค่อยๆ ลู่ลง “เป็น…ประมุขรองนี่เอง”
หนุ่มรูปงามคนนี้เคยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญชื่อดังของเมืองเวิ่นสุ่ย แต่ภายหลังเก็บตัวเงียบ
มีแต่คนในเวิ่นสุ่ยเท่านั้นที่รู้ว่าคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
ประมุขรองตระกูลถัง
ตอนที่หวังผ้อใช้ชีวิตอยู่ในเวิ่นสุ่ย เขาได้รู้เรื่องนี้หรือไม่
อันที่จริงแล้วเป็นตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย
และมีเพียงตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยที่มีโอกาสจะเปลี่ยนใจคนที่ยิ่งใหญ่อย่างเถี่ยซู่ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การกดดันของราชสำนักและซางสิงโจว
ประมุขรองตระกูลถังยิ้มให้หวังผ้อและกล่าว “เมื่อเจ้ารู้จักข้า เจ้ายังคิดที่จะยืนกรานอีกหรือ”
คนผู้นี้เป็นหนุ่มรูปงามอย่างแท้จริง แต่บางทีเพราะลมหิมะที่ม้วนอยู่รอบเขาทำให้เขาแผ่กลิ่นอายที่เย็นเยียบมืดมัวออกมา
หวังผ้อไม่ได้ตอบ
ประมุขรองตระกูลถังยังคงยิ้มอยู่ตอนที่ถาม “‘ความเมตตาหนักดั่งขุนเขา’ เป็นประโยคนี้ใช่หรือไม่”
หวังผ้อนิ่งเงียบไปก่อนที่จะตอบ “ถูกต้อง”
ประมุขรองตระกูลถังอ้าปากหัวเราะ ดูยินดีมากทว่าไม่มีเสียงดังออกมาจากปาก
เขาดูน่ากลัวในลมหิมะ
จากนั้นรอยยิ้มก็หายไป เขากล่าวกับหวังผ้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วันนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ชักดาบ”