ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 36 เรื่องของเมืองและดาบ (2)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถนนปกคลุมด้วยชั้นหิมะบางๆ บนหิมะมีรอยเท้าที่ชัดเจนอยู่

เฉินฉางเซิงได้เดินไปจนถึงปลายถนนแล้ว เมื่อเลี้ยวขวาก็จะเข้าสู่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง

เขาเห็นกำแพงห่างไปสิบกว่าจั้ง ด้านหลังกำแพงเป็นลานบ้าน

ไม่มีเสียงดังมาจากด้านหลัง

ไม่มีเสียงดาบหรือการต่อสู้

แต่ใจเขาไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

เพราะเขาเชื่อในหวังผ้อ

ตราบใดที่หวังผ้ออยู่ด้านหลัง ต่อให้คู่ต่อสู้ของหวังผ้อเป็นยอดฝีมือในตำนานอย่างเถี่ยซู่ เขาก็ต้องมุ่งหน้าไปเท่านั้น

ที่กำแพงและลานบ้านด้านหลัง

ลมป่วนพัดเกิดเสียงโหยหวน ฟังดูบาดหูอยู่บ้าง

หิมะบางบนพื้นถนนม้วนตัวขึ้นและหิมะบนหลังคาสองฟากถนนตกลงมา

เสียงโหยหวนของสายลมจากทุกทางเป็นปกติธรรมดา

ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากหิมะ

กระบี่พุ่งออกมาจากร่างนั้นและแทงใส่หน้าผากเฉินฉางเซิง

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกันหลายจั้ง เฉินฉางเซิงก็สัมผัสได้ถึงความแหลมคมและกลิ่นอายความตายบนกระบี่นั้น

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกระบี่นี้ ทว่าเป็นเพราะคนที่ถือกระบี่

จุดแสงอ่อนจางกะพริบบนหิมะที่ปลิวออกมา

มือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ในหิมะเป็นเวลานานดูไม่เหมือนกับอยู่ท่ามกลางหิมะที่ปลิวขึ้น ทว่าเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

นั่นก็เพราะมือสังหารมีโลกของตัวเอง ประกายแสงพวกนั้นคือหลักฐาน

ศัตรูคนแรกที่เฉินฉางเซิงพบในวันนี้คือมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาว

ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวสามารถปกครองเมืองหนึ่ง เป็นผู้อาวุโสของสำนักหนึ่ง ใครกันจะยินดีมาเป็นมือสังหารที่ไม่อาจเผยกายในแสงสว่างได้

มือสังหารในระดับนี้หาได้ยากยิ่ง

แม้แต่กรมอาญาก็มีไม่มากนัก

มีเพียงที่เดียวในต้าลู่ที่มีจำนวนมาก

ก็คือองค์กรมือสังหารที่ลึกลับที่สุด ซูหลีเคยเป็นสมาชิกขององค์กรนี้

ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิดหรือที่ตั้งขององค์กรมือสังหารนี้

แต่เฉินฉางเซิงรู้

อันที่จริงแล้วองค์กรมือสังหารนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหอความลับสวรรค์

นับจากตอนที่เขาเห็นมือสังหารขั้นรวบรวมดวงดาวและรับรู้ได้ถึงวิธีลอบสังหารที่คุ้นเคย เขาก็รู้ที่มาทันที

ราชสำนักได้ทำการยึดครองหอความลับสวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตกตะลึง แต่เริ่มเป็นกังวลเรื่องหลิวชิง

ครั้นแล้ว ดวงตาก็เพ่งพิศ ตั้งจิตสมาธิ และถอยไป

ด้วยการหนีง่ายๆ กระบี่อันมืดมัวและเย็นเยียบซึ่งซ่อนอยู่ในลมหิมะก็พลาดเป้า

เมื่อรองเท้าเขากดลงบนหิมะบางเบา กระบี่ไร้ราคีก็หลุดออกจากฝักซ่อนคมดังเช้ง

เมื่อลมหิมะบดบังสายตา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอกตำแหน่งของมือสังหารได้

แต่ดวงตาเขาจับจ้องไปยังที่แห่งหนึ่งท่ามกลางหิมะอย่างไร้ความลังเล

เจตจำนงกระบี่จากกระบี่ไร้ราคีพุ่งตามสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น

เลือดพุ่งเป็นละอองเข้าใส่หิมะที่โปรยปราย

มือสังหารถูกเจตจำนงกระบี่บีบออกมาและพุ่งไปข้างหลังอย่างรวดเร็วจนชนเข้ากับกำแพงของลานบ้าน

หิมะบนกำแพงสั่นสะเทือน ร่วงลงบนใบหน้าของมือสังหาร จากนั้นหิมะก็ถูกเลือดที่ไหลออกมาชำระออกไป

รูลึกที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นบนลำคอมือสังหาร

ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวัง

เขาไม่เข้าใจว่าเฉินฉางเซิงมองเห็นตำแหน่งของเขาได้อย่างไร

ต่อให้มองเห็น แต่กระบี่นั้นสามารถแทงทะลุเขตแดนดวงดาวเข้ามาอย่างง่ายดายได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงย่อมสามารถทำลายเขตแดนดวงดาวของมือสังหารได้

เพราะเขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้และดวงตาที่ฉลาดเฉลียวคู่หนึ่ง

เขาในตอนนี้มีปราณแท้ที่แข็งแกร่งและมั่นคงดั่งภูเขา ดวงจิตสงบนิ่งอ่อนโอนราวมหาสมุทร เพลงกระบี่บรรลุถึงขั้นที่ลึกล้ำที่สุด

ระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้อาจจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับยอดฝีมือที่แท้จริง ทว่าความเข้าใจในกระบี่นั้นได้บรรลุถึงขั้นสูงแล้ว

ในบางแง่มุม เขาอยู่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน

มือสังหารคนนี้ก็อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวเช่นกัน แต่ระดับการบำเพ็ญเพียรนั้นไม่อาจเทียบได้ วิธีการลอบสังหารก็เรียนรู้มาจากซูหลีและหลิวชิง…แล้วเขาจะสามารถป้องกันกระบี่ของเฉินฉางเซิงได้อย่างไรกัน

เลือดซึมลงไปในหิมะ ละลายกลายเป็นของเหลวน่าขยะแขยง มือสังหารไหลลงมาตามกำแพงและตายไป

เฉินฉางเซิงมุ่งไปข้างหน้าต่อไป

ฝีเท้ายังมั่นคงและราบเรียบ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ดูระมัดระวังอย่างมาก

โจมตีครั้งเดียวก็สังหารศัตรูแข็งแกร่งได้หนึ่งคน แต่ก็สิ้นเปลืองพลังไม่น้อย ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขารู้ว่าการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ราชสำนักได้ยึดครองหอความลับสวรรค์แล้ว ดังนั้นย่อมมียอดฝีมือในลานบ้านมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ตอนแรก

เขาไม่ใช่โจวตู๋ฟู ไม่ใช่ซูหลี และในตอนนี้ เขาพอจะเห็นหลังของหวังผ้อได้รางๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางเรียกได้ว่า ‘ไร้เทียมทาน’

ในคืนนั้นเขาสามารถบุกเข้าลานบ้านแห่งนี้และลอบสังหารโจวทงจนดวงจิตแทบออกจากร่างเพราะเขาฉวยโอกาสจากการไม่ทันตั้งตัว วันนี้ย่อมไม่ง่ายเช่นนั้น

เขารู้ว่าตนกำลังเผชิญกับศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ในวันนี้ และนี่คือปัญหาที่เขาจำเป็นต้องรับมือ

สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเยาว์เกินไป เขาเพิ่งบำเพ็ญเพียรมาได้เพียงสามปี มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่สามารถใช้เพียงแค่กำลังอย่างเดียวก็บดขยี้เขาได้แล้ว เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ปัญญาและความเข้าใจในกระบี่ให้เป็นประโยชน์ได้

เหมือนโจวทงที่ไม่ได้ดูถูกเขาอีกต่อไปหรือยอมให้เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้นอีก

เหมือนกับพวกผู้แข็งแกร่งบนประกาศเซียวเหยา

เหมือนเสี่ยวเต๋อที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาในตอนนี้

เสี่ยวเต๋ออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในรุ่นกลางของเผ่าปีศาจ

เมื่อเสี่ยวเต๋อเห็นเฉินฉางเซิงเดินออกมาจากหิมะ ประกายความเคารพก็ฉายขึ้นในดวงตาเขา ไม่เหมือนกับความดูถูกเหยียดหยามตอนที่พบกันครั้งแรกบนหานซาน

“วันนี้ข้าจะส่งเจ้าไปด้วยดี”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าระหว่างการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เสี่ยวเต๋อกับเซียวจางมีบทบาทสำคัญในวังหลวง เขาจึงไม่ควรประหลาดใจที่ราชสำนักจะเชิญเสี่ยวเต๋อมารับมือเขา แต่เขาก็ยังประหลาดใจ คณะทูตจากเมืองไป๋ตี้ยังอยู่ในจิงตู จากมุมในก็ตามเสี่ยวเต๋อไม่ควรปรากฏตัวเว้นแต่ว่า…

เขารู้สึกถึงความเย็นของลมหิมะได้อย่างชัดเจนขึ้นมาในทันที

ไม่มีเสียงดังมาจากถนน ไม่มีเสียงดาบหรือการต่อสู้ หวังผ้อยังไม่ชักดาบออกมา

ร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหิมะ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ คาดเอาได้ว่ามีมือสังหารและนักฆ่าซ่อนตัวอยู่ในเงาอีก

เฉินฉางเซิงมองไปที่ลานบ้านตรงหน้าเงียบๆ

เขาเข้าใจ

ล้านบ้านอยู่ใกล้มาก แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเข้าไปได้ในวันนี้

ในตอนนี้เขามองเห็นบางส่วนของลานบ้านแล้ว อย่างเส้นสีขาวที่วาดอยู่บนกำแพงและต้นไห่ถังที่ยื่นออกมาเหนือเส้นนั้น

ต้นไห่ถังไม่เหลือใบบนกิ่งก้านอีกแล้ว กิ่งก้านเปล่าเปลือยปกคลุมไปด้วยหิมะดูเย็นชาและสกปรก

นิ่งงันราวความตาย

……

……

ยามที่ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียง เขาดูน่าขันอยู่บ้าง

ทว่าในมุมมองของฝ่ายตรงข้าม ใบหน้าเขาในตอนนั้นดูน่าหวาดกลัวทีเดียว

ตอนที่รอยยิ้มประมุขรองตระกูลถังจางลงและสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าก็เหมือนเช่นศพที่เย็นเยียบและมืดมัวที่สุด

หวังผ้อมองใบหน้านี้ที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายปี ใบหน้าที่ไม่อาจลืม น่าขัน น่าหวาดกลัว มืดมัวและน่าเกลียด ทันใดนั้นเขาก็มีความปรารถนาอันแรงกล้า

ตอนที่เขาทำงานเป็นนักบัญชีในเมืองเว่นสุ่ย เขามักมีความปรารถนาเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะประโยคนั้นทำให้เขาต้องอดทนอยู่เสมอ

‘ความเมตตาหนักดั่งขุนเขา’ คือประโยคนั้น

ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยดูแลเขาด้วยความเมตตาที่หนักดั่งขุนเขา

แล้วถ้าหากภูเขานี้ถล่มลงตรงหน้าเขา เขาควรจะทำอย่างไร

หวังผ้อไม่เคยคิดถึงคำถามนี้มาก่อน

ดาบของเขาตรงและมุมมองต่อโลกนี้ก็ตรงเช่นกัน

หากมีความแค้นก็ต้องชำระ หากมีบุญคุณก็ต้องทดแทน ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องง่ายๆ เช่นนี้

จนถึงวันนี้ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของประมุขรองตระกูลถัง

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ชักดาบ”

คิ้วเขาลู่ลง ดูเหมือนจะทุกข์ใจอย่างมาก “นี่เป็นความประสงค์ของใคร”

ประมุขรองตระกูลถังเข้าใจความหมายของคำถามนี้ “ย่อมต้องเป็นของประมุขผู้เฒ่า”

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาและไม่พูดอะไร

ประมุขรองตระกูลถังเย้ย “หากเป็นความประสงค์ของข้า ทำไมข้าต้องห้ามเจ้าด้วย ข้าคงปล่อยให้เจ้าตายด้วยมือของเถี่ยซูอย่างสบายใจ”

หวังผ้อคิดใคร่ครวญและตอบ “ก็จริง”

ประมุขรองตระกูลถังอธิบาย “แต่ประมุขผู้เฒ่าเอ็นดูเจ้าเหมือนเป็นหลานตัวเอง เขาไม่ต้องการให้เจ้าตาย ดังนั้นเขาจึงส่งข้ามาเพื่อพูดเช่นนั้น”

หวังผ้อเงียบไปอีกครั้ง

“เจ้าคงคิดว่าตระกูลถังของเราตั้งใจจะบีบให้เจ้าตอบแทนความเมตตาในตอนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย” ประมุขรองตระกูลถังจ้องตาเขา ไม่พยายามที่จะปกปิดความมุ่งร้ายของตน “ตอนนี้เจ้าตระหนักแล้วว่าตระกูลถังทำไปเพื่อปกป้องชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกแย่ ที่ไม่อาจดูถูกพ่อค้าอย่างพวกเราได้หรอกหรือ”

หวังผ้อมองกลับไปอย่างใจเย็นและกล่าว “ในเมื่อท่านอยากให้ข้าตาย เราแสร้งทำเป็นว่าท่านไม่เคยพูดคำนั้นออกมาก็ได้”

“ถึงแม้ข้าต้องการให้เจ้าตาย ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าตายเช่นนี้ มันไม่มีคุณค่าอันใด”

ประมุขรองตระกูลถังเย้ย “ข้าไม่สนว่าประมุขผู้เฒ่าคิดอะไร ข้ารู้แค่ว่าตระกูลถังของข้าได้จ่ายให้เจ้าไปสูงมาก ดังนั้นเจ้าจึงเป็นสินทรัพย์ของตระกูลถัง เป็นธุรกิจที่ตระกูลถังของข้าลงทุนไป ต่อให้เจ้าอยากตาย เจ้าก็ต้องสร้างเงินตอบแทนตระกูลถังของข้าได้มากพอ แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าตายด้วยเหตุผลไร้สาระได้อย่างไร”

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวีรบุรุษหรือความยุติธรรม

ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ

หากเจ้าต้องการที่จะตาย ก็ต้องตายอย่างมีคุณค่า จะมาวุ่นวายกับเด็กน้อยได้อย่างไร

เช่นนั้นความหมายของคุณค่าคืออะไร

หวังผ้อเข้าใจ

ตำแหน่งสังฆราชเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกนี้

หลังจากคืบหน้าไปทีละนิด สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเรื่องนี้

ในวันที่หิมะตกเป็นครั้งแรกในจิงตู ในมุมมองของคนมากมาย เป็นวันที่เขากับเฉินฉางเซิงมาฆ่าโจวทง

แต่ในสายตาคนอื่น เป็นวันที่เฉินฉางเซิงหาที่ตาย

……