ภาคที่ 5 บทที่ 179 ใจกว้าง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 179 ใจกว้าง

เช้าวันต่อมา ซูเฉินก็มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรภูผาสูญ

เขายังต้องไปโน้มน้าวฉู่หยวนอยู่

จูเฉินฮ่วนมาส่งเขาด้วยตนเองตลอดทาง

ระหว่างที่เดินทางกันก็ยังไม่ลืมถอนหายใจคร่ำครวญ “ครั้งนี้ข้าไม่มีอะไรจะพูดจริง ๆ”

“พูดเรื่องอะไรงั้นหรือ ?” ซูเฉินถามเสียงใสซื่อ

จูเฉินฮ่วนเหลือบมองเล็กน้อย “เจ้ากล้าลงมือสังหารองค์ชายไงล่ะ ! จะให้ข้าหาคำอะไรมาพูด ?”

คำถามเชิงกล่าวหาที่หลี่หวู่อี้มีต่อซูเฉินในงานเลี้ยงจูเฉินฮ่วนเองก็ได้ยิน ตอนนั้นเขากลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ที่น่าตกใจกว่านั้นคือซูเฉินยอมรับเสียด้วย !

จูเฉินฮ่วนคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้การเจรจาล่ม และซูเฉินอาจไม่รอดชีวิตออกไปจากที่นี่

แต่สถานการณ์กลับคลี่คลายออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

ซูเฉินพูดไม่กี่ประโยค หลี่หวู่อี้ก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก

สุดท้ายจูเฉินฮ่วนก็ทนไม่ไหวถามขึ้นมา “เจ้าพูดกับฝ่าบาทอย่างไรกันแน่ เจ้าสังหารลูกชายเขาแต่เขากลับไม่อาจลงมือทำอะไรเจ้าได้ ?”

ซูเฉินหัวเราะ “ยังจะต้องกล่าวอะไรอีก ? ฝ่าบาทรู้ดีว่าบุตรชายตนเป็นที่เกลียดชังขนาดไหน หลี่ต้าวหงอาจไม่ใช่บุตรชายในสายตาเขาอีกแล้ว กลายเป็นภาระก็ได้ แต่เขาไม่อยากเป็นฝ่ายสะบั้นความสัมพันธ์ กระนั้นก็คงรอให้มีใครมาขจัดปัญหานี้ให้แทบไม่ไหวแล้ว”

“เขาจะยอมรับหรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ย่อมไม่ แต่เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยอมรับว่าสังหารเช่นกัน”

ที่หลี่หวู่อี้เชื่อว่าซูเฉินสังหารหลี่ต้าวหง ไม่ใช่เพียงเพราะการที่เคยวิจัยสายเลือดตระกูลหลี่มาก่อน แต่ยังเป็นเพราะหลี่ต้าวหงสิ้นชีพไหนคลังสมบัติอวี้ชิงหลาน ซึ่งซูเฉินสุดท้ายก็กำเอาชัยออกมาได้ในที่สุด

การคิดสงสัยซูเฉินเช่นนี้จึงไม่แปลก

แต่แค่เพราะซูเฉินเป็นผู้ชนะและหนีออกมาได้พร้อมกับยาไม่กี่ขวดไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนร้าย ในระหว่างการต่อสู้พัลวัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ไม่มีหลักฐานที่จะเชื่อว่าเป็นซูเฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

หลี่หวู่อี้เพียงแต่พยายามรู้สถานการณ์ ไม่แน่ว่าอาจพยายามกล่าวหาซูเฉินเลยก็ได้

ใช่แล้ว ใช้คำว่ากล่าวหา ไม่ว่าซูเฉินจะเป็นคนลงมือสังหารหรือไม่ หลี่หวู่อี้ก็ยังโทษเขาได้อยู่ดี

ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้หลายอย่างมาก

ส่วนความเป็นจริงนั้น……

ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ ความจริงถูกกาลเวลากลืนกินไปสิ้น มีแต่คนที่ได้ประสบกับเหตุการณ์โดยตรงเท่านั้นจึงจะรู้ความจริง

ซูเฉินยอมให้เหตุผลเรื่องการตายของหลี่หวู่อี้ แต่หลี่หวู่อี้ไม่เชื่อและไม่มีความจำเป็นจะต้องเชื่อ

ที่อธิบายไปก็เพื่อให้ซูเฉินพ้นจากสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น

“ข้าสัญญาว่าจะมอบวิชาบ่มเพาะชุดหนึ่งให้พวกเขา” ซูเฉินเอ่ย “ฐานะองค์ชายอย่างหลี่ต้าวหงแลกได้แค่วิชาบ่มเพาะเพียงวิชาเดียวเท่านั้น เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าหลี่หวู่อี้มองบุตรชายตนเองอย่างไร”

เขาอยากถามอีก แต่ซูเฉินกลับไม่เอ่ยคำแล้ว

ไม่ใช่เพราะกลัวจะต้องให้ของมากขึ้น แต่เป็นเพราะหากให้มากขึ้นแล้วจะยิ่งหมายความว่าเขามีความผิด

การเจรจาในช่วงนี้นับว่าเป็นโอกาสค้นหาความจริงเช่นกัน

หลี่หวู่อี้ชื่นชมวิชาของเขาเองไม่น้อย อย่างแรกก็จึงหาประโยชน์จากการตายของหลี่ต้าวหง จากนั้นก็ใช้เรื่องสังหารครั้งนี้ในการคลำหาเส้นแบ่งของซูเฉิน

แต่หลังจากซูเฉินได้ต่อรองกับหยงเยี่ยหลิวกวง ก็ได้รู้ว่าผู้ครองอาณาจักรเฉลียวฉลาดมากเพียงไหน ดังนั้นจึงมีใบหน้าเงียบสงบไม่เคลื่อนไหว หลี่หวู่อี้จึงทำอะไรมากไม่ได้

จูเฉินฮ่วนได้แต่ถอนใจพิศวงกับความสงบนิ่งของอีกฝ่าย

“ซูเฉิน คิดว่าใครน่าประทับใจกว่ากัน ? หยงเยี่ยหลิวกวงหรือราชันผู้นั้น ?” จูเฉินฮ่วนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามคำถามที่ค่อนข้างเป็นเชิงดูหมิ่นออกมา

ซูเฉินตอบ “หยงเยี่ยหลิวกวงชนะข้า แต่หลี่หวู่อี้ไม่”

จูเฉินฮ่วนไม่แปลกใจ “ปักษามีร่างกายอ่อนแอกว่ามนุษย์ ดังนั้นความสามารถในการสืบพันธุ์และการต่อสู้ของพวกเขาจึงด้อยกว่าของเรา ควรจะทิ้งเมืองที่ล่มสลายไปแล้วเสีย แต่เพราะมีหยงเยี่ยหลิวกวงอยู่ จึงสามารถรอดชีวิตจากความตายได้ ทว่ากำลังของคนผู้เดียวก็มีจำกัด ไม่ว่าจะมีชีวิตยืนยาวขนาดไหน สักวันก็ต้องตาย หยงเยี่ยหลิวกวงชรามากแล้ว อีกไม่นานก็คงถึงฝั่ง ข้าเคยคิดอยู่ว่า หลังจากเขาตายไปแล้ว อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยคงสบโอกาสพอดี ไม่เคยคิดเลยว่า…… จะเกิดเรื่องที่เมืองล่องนภาเช่นนี้”

ซูเฉินขำขัน “ท่านเกรงว่าปักษาจะผงาดขึ้นสูงหลังจากข้าหาสมบัติกลับคืนให้หยงเยี่ยหลิวกวงงั้นหรือ ?”

“มันจะไม่เป็นเช่นนั้นหรือไร ?” จูเฉินฮ่วนโต้ตอบ

“ข้านึกว่าท่านจะห่วงหลานสาวตนเองเสียมากกว่า”

“เราไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดเรื่องผลประโยชน์ของอาณาจักร และอย่างไรการตัดสินใจของเจ้าก็ไม่ได้ทำไปเพื่ออนาคตอาณาจักรจริง ๆ อยู่แล้ว”

“ก็อยู่ที่ท่านจะมอง” ซูเฉินตอบกลับ “ในสายตาท่านอาจจะมองว่านี่เป็นความล้มเหลวอย่างถึงที่สุด แต่ในสายตาข้านี่เพียงเป็ดจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่เท่านั้น”

“จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่ ?” จูเฉินฮ่วนนำประโยคนั้นไปคิดอยู่นาน “แต่เจ้าทำข้อตกลงกับหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว”

ซูเฉินเอ่ย “ข้อตกลงไม่ใช่คำจบสงคราม ทำข้อตกลงกันแล้ว แต่ก็มีอีกกี่สงครามที่ปะทุขึ้นบ้างเล่า ?”

“แต่เซียนเหยา……” จูเฉินฮ่วนพลันคำสะดุดในลำคอ

เพราะเขาเห็นสายตาซูเฉิน

พวกมันแผดเผาอย่างดุเดือด คุกรุ่นด้วยความรุนแรง

คือเปลวไฟแห่งเจตจำนงที่แท้จริง !

จูเฉินฮ่วนพลันเข้าใจจุดมุ่งหมายซูเฉิน “เจ้าไม่คิดจะทำตามสัญญางั้นสินะ ?”

“ไม่ใช่ ข้าจะทำ” ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าจะหยุดทั้ง 3 อาณาจักรไม่ให้เข้าโจมตี และจะช่วยหยงเยี่ยหลิวกวงนำวิญญาณอำมฤตและดวงตาไห่เสินกลับคืน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะ”

จูเฉินฮ่วนถึงกับชะงักไป

แต่ซูเฉินไม่คิดจะว่าต่ออีก

เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยความให้มาก หากจูเฉินฮ่วนเข้าใจว่าศึกของเขากับหยงเยี่ยหลิวกวงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ในสงครามระหว่างมนุษย์กับปักษา การสูญเสียเมืองเดียวหรืออาณาเขตบางแห่งไม่อาจชี้ขาดได้

หยงเยี่ยหลิวกวงสามารถเอาชนะซูเฉินไปได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนักหนา

เพราะยังไม่ได้ชนะโดยสมบูรณ์

เขาโลภเกินไป ไม่อาจจับสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทำให้ซูเฉินมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่สามารถควบคุมคู่ต่อสู้อย่างซูเฉินโดยสมบูรณ์ได้ ฉวยโอกาสโจมตีให้ทรุดลงยังจะดีกว่า ผลที่ตามมาของความผิดพลาดในครั้งนี้ก็คงจะเป็นพายุโหมกระหน่ำ

กระนั้นความโลภก็เป็นหนึ่งในลักษณะนิสัยของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย หากไร้ความโลภความทะเยอทะยานแล้วก็คงไม่ได้ขึ้นมายิ่งใหญ่ตั้งแต่แรกหรอก

ก่อนหน้าหยงเยี่ยหลิวกวงจะขึ้นเป็นราชา เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง ความกระหายในอำนาจทำให้เขายอมเสี่ยงและชิงอำนาจที่ไม่ใช่เป็นสิทธิ์ของตนมา ส่วนเรื่องราวที่เหลือก็รู้กันอยู่แล้ว

ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องมีความโลภและความทะเยอทะยาน

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็พ่ายแพ้ให้กับความทะเยอทะยานของตนเอง

นี่เป็นจุดจบที่ซูเฉินวาดหวังไปให้เขา

แต่ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นได้ ซูเฉินจำต้องทำสิ่งที่หยงเยี่ยหลิวกวงมอบหมายไว้เสียก่อน

เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ซูเฉินจึงบอกลาและจากไป

ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็มาถึงภูผาสูญ

พอเข้าอาณาจักรภูผาสูญมา สิ่งแรกที่ทำคือการลงประกาศในแดนฝัน ลงรายละเอียดวิธีการลบล้างสามคำสาป เหมือนเป็นการประกาศบอกตระกูลฉู่ว่าเขามาถึงแล้ว

2 วันถัดมา ซูเฉินก็มาถึงเมืองฝนต้นฤดู

เรือเหาะขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือเมือง เตะตาซูเฉินได้ทันใด

ฉู่เจียงอวี๋ยืนอยู่บนลำเรือนั้น

สีหน้าเขาเรียบเฉย สองมือไพล่หลัง ทำหน้าราวกับมีคนชิงเอาหินพลังไปสักหลายล้านก่อนแล้วไม่คืน แต่ก็นะ ฉู่เจียงอวี๋ยอมเสียมันสักหลายล้านก้อนยังดีกว่าต้องมาพบหน้าคนผู้นี้

ซูเฉินเหินขึ้นไปประกบมือทักทาย “องค์รัชทายาท”

ฉู่เจียงอวี๋ยังมีสีหน้าแข็งกระด้าง “เรารู้ว่าเจ้ามาเพื่ออะไร เราจะหยุดการเดินทัพไปเผ่าปักษาก่อน เจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”

ฮะ

เท่านี้เองหรือ ?

แต่คิดดูอีกทีก็มีเหตุผลอยู่

ทั้ง 7 อาณาจักรอาจได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ด้วยมีสัมพันธ์อันดีต่อกันในปัจจุบัน หลี่หวู่อี้อาจบอกตระกูลฉู่เรื่องที่คุยกับซูเฉินไปแล้วก็ได้

แม้ซูเฉินจะต้องซื้อตัวหลี่หวู่อี้ ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกันตระกูลฉู่

ดังนั้นฉู่หยวนจึงไม่คิดพบหน้าซูเฉิน และส่งฉู่เจียงอวี๋มาแทน หรือก็คือพยายามไล่ซูเฉินกลับโดยเร็วที่สุดนั่นเอง

ซูเฉินรู้สึกตลกอยู่บ้าง “เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนั้น ? ข้ายังมีเรื่องต้องถามฝ่าบาทอยู่”

“เรื่องอะไร ?”

“ข้าจำเป็นต้องพบหน้ากู่ชิงลั่ว นางเป็นภรรยาข้า ขอพบหน้าคงไม่มากเกินไปใช่หรือไม่?”

“อนุญาต” ฉู่เจียงอวี๋ตอบห้วน ๆ ราวกับซูเฉินเป็นตัวเชื้อโรค หากสนทนาต่อไปอาจติดโรคมาได้

“ข้ายังต้องการเทียนไขชีวิตด้วย”

ฉู่เจียงอวี๋หน้าคว่ำทันใด “ซูเฉิน ได้คืบจะเอาศอก !”

ซูเฉินเอ่ยอย่างสงบ “กลับกันเลย ก่อนจะขออะไรข้าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว ข้าต้องการเทียนไขชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ว่าขอเปล่า จะซื้อจากท่านต่างหาก ในเมื่ออาณาจักรภูผาสูญยอมปลดทัพ ข้าก็พร้อมแสดงความซาบซึ้ง ไม่ใช้ 3 คำสาปเพื่อทรมานพวกท่าน”

ฉู่เจียงอวี๋ได้ยินดังนั้นจึงใจเย็นลงบ้าง “คิดจะแสดงความซาบซึ้งอย่างไร ?”

“ให้ข้าช่วยเพิ่มพลังสายเลือดของท่านเป็นอย่างไร ?”

ฉู่เจียงอวี๋รู้สึกตลกไม่น้อย “ซูเฉิน เจ้าคงคิดว่าตนเองใจกว้างมาก เจ้าตกลงช่วยหลี่หวู่อี้ปรับปรุงสายเลือดนิมิตลาวัณย์ ตอนนี้มาบอกว่าจะช่วยสายเลือดตระกูลฉู่ คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าจะหาโอกาสศึกษาสายเลือดของพวกเรา ?”

“ข้าศึกษามาตั้งนานแล้ว เลือดของฉู่ไหวเหลียงมีประโยชน์นัก” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ

ฉู่ไหวเหลียงที่ตระกูลฉู่ส่งไปสังหารเขากลับตายในเงื้อมมือเขาแทน หากไม่คิดเอาศพฉู่ไหวเหลียงมาวิจัยก็คงแปลกแล้ว

แม้จะรู้มานานว่าฉู่ไหวเหลียงตายในกำมือซูเฉิน แต่ฉู่เจียงอวี๋ได้ยินคำก็เกือบกระอักเลือดอยู่ดี

เขาตวัดสายตาดุดันหาซูเฉิน “ซูเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”

“ไม่ได้คิดจะทำอะไร เพียงแต่ต้องการปรับปรุงสายเลือดของเผ่ามนุษย์เท่านั้น” ซูเฉินตอบสงบนิ่ง “งานวิจัยสายเลือดที่ข้าทำมาก็เพื่อสิ่งนี้ ตอนนี้ก็ไม่ต่าง”

“เช่นนั้นทำไมไม่ทำให้ตั้งแต่ก่อนหน้า ?”

“ในอดีตสายตาข้าคับแคบ มองว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงเป็นศัตรู แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าคนชั้นสูงก็คือมนุษย์ หากเป็นไปได้ก็ควรรวมกำลังกันแทนที่จะต่อสู้กันเอง” ซูเฉินตอบจริงใจ

ฉู่เจียงอวี๋ได้ยินก็อดชะงักเพราะประหลาดใจไม่ได้

สุดท้ายครู่หนึ่งจึงตอบ “มั่นใจหรือว่าจะทำได้ ?”

“อย่างไรท่านก็ไม่ได้หวังมากอยู่แล้วนี่ ? หากข้าทำได้ ท่านก็ได้ประโยชน์ หากไม่ได้ ท่านก็ไม่เสียอะไร แต่หากท่านไม่มั่นใจในตัวข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องมอบโอกาสให้” ซูเฉินว่า

ซูเฉินในตอนนี้แตกต่างจากเขาในอดีตมาก

เขาผลักดันด่านพลังของคนไร้สายเลือดมาจนถึงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว พลังเขาไม่ใช่ว่าใครจะมาเทียบได้

ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเช่นนี้จึงไม่ต้องถามว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ใช้เวลาเท่าไหร่ต่างหาก

เงียบไปนาน ฉู่เจียงอวี๋พลันเอ่ย “ต้องการเทียนไขชีวิตเท่าไหร่ ?”

“ยิ่งมากยิ่งดี”

“ช้าจะถามท่านพ่อให้”

ฉู่เจียงอวี๋เดินกลับเข้าไปในลำเรือ

ครู่หนึ่งก็กลับมาพลางเอ่ย “สูงสุดคือ 10 เล่ม เล่มละหินพลัง 10 ล้าน”

“ตกลง” ซูเฉินไม่ลังเล โยนแหวนพลังให้ทันใด

ฉู่เจียงอวี๋เห็นอีกฝ่ายซื้อของหลายร้อยล้านตาไม่กะพริบก็รู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มเอ่ย “ได้ยินว่าเจ้าไปแดนปักษาได้ประโยชน์มาไม่น้อย เจ้าชิงเอาของมาได้เท่าไหร่กันแน่ ?”

“มากพอจะซื้อเทียนเหล่านี้ได้สักหลายร้อยเล่มทีเดียว”

……

ครู่หนึ่ง ฉู่เจียงอวี๋คิดกระทั่งจะลงมือสังหารเขาแล้วชิงเอาของมาเลยด้วยซ้ำ

ที่เขาไม่รู้คือซูเฉินแค่คำนวณพวกทรัพยากรธรรมดาเท่านั้น เพราะสมบัติขั้นสูงไม่สามารถประมาณค่าได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดรวมไปด้วย

ด้วยซูเฉินไม่คิดใช้คำสาปบีบบังคับ ทำให้ฉู่เจียงอวี๋มองซูเฉินในแง่บวกมากขึ้น ความเกลียดชังที่เคยมีเริ่มเจือจาง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการได้รู้จักซูเฉินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร