บทที่ 180 ชุดเกราะเวหา
ภายในคฤหาสน์ตระกูลกู่
ครั้งนี้ซูเฉินได้รับการต้อนรับจากตระกูลกู่เป็นอย่างดี
แม้ซูเฉินจะย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาไม่ใช้สามคำสาปทำอะไรตระกูลกู่แน่ แต่แค่เขาคุมคำสาปได้ก็บีบให้ตระกูลกู่ต้องปฏิบัติตนกับเขาด้วยความเคารพแล้ว
อีกทั้งตระกูลกู่ยังทุ่มความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา
ด้วยเชื่อว่าซูเฉินจะเป็นคนที่สามารถลบล้างสามคำสาปได้
เย็นวันนั้น ตระกูลกู่จัดงานฉลองให้ซูเฉิน กระทั่งองค์รัชทายาทฉู่ยังเข้าร่วม หน้าที่หลักคือจับตาดูตระกูลกู่ เขาจึงย่อมไม่อยากให้ซูเฉินสนิทสนมกับตระกูลกู่มากเกินไป
แม้จะไม่อาจทำได้มากด้วยความสัมพันธ์ของซูเฉินกับกู่ชิงลั่ว แต่อย่างน้อยตระกูลฉู่ก็เข้าร่วมงานด้วย
เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉู่เจียงอวี๋ไม่อยากเจอซูเฉิน การมาถึงของเขาหมายความว่าตระกูลฉู่จะต้องยุ่งวุ่นวาย ฉู่เจียงอวี๋ต้องคอยตามติดซูเฉินอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะติดตามซูเฉินใกล้ชิดอย่างไร ก็ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวเรื่องสามีภรรยาได้
ฉู่เจียงอวี๋มองร่างซูเฉินหายเข้าไปในห้องกู่ชิงลั่วแล้วถอนใจ…. ด้วยจนใจราวกับถูกทิ้ง
แต่สิ่งที่เขาสนใจนั้นตรงข้ามกับสิ่งที่ซูเฉินสนใจอย่างสิ้นเชิง
แล้วซูเฉินสนใจอะไรงั้นหรือ ?
ยังต้องให้พูดอีก ?
ในฐานะสามีที่ซื่อสัตย์ เขายังจะสนใจอะไรได้อีก ?
ช่วงเวลาดื่มด่ำหลังแต่งงานของทั้งสองช่างสั้น หาโอกาสได้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกันยากมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งคู่อยากจะใช้เวลาร่วมกัน
เพราะซูเฉินและกู่ชิงลั่วเป็นผู้เชี่ยวชาญทรงพลังทั้งคู่ ดังนั้นจึงมีแรงรักกันทั้งคืนโดยไร้ปัญหา แต่ก็ต้องมาหยุดกลางคันเพราะเตียงไม่เอื้ออำนวย
กู่ชิงลั่วส่งสายตาอ่อนโยนมองซูเฉินที่นอนซบอกนางอยู่ แต่น้ำเสียงซ่อนความเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย “เจ้ายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อนางเลยหรือ ?”
“ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก เพียงต้องปรับอะไรบางอย่างหน่อยก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบด้วยท่าทีแนบเนียน
“ตอนจะแต่งกับข้าไม่เห็นกระตือรือร้นเช่นนี้เลย” กู่ชิงลั่วทำเป็นขู่เล่น กัดซูเฉินเบา ๆ
ซูเฉินหัวเราะ
เขารู้ว่าอย่างไรกู่ชิงลั่วก็ต้องถามถึงเรื่องนี้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็พูดอย่างเสน่หาออกมา “สองสถานการณ์นั้นไม่เหมือนกัน ข้ายอมรับว่าข้าเองก็ยอมไปไม่น้อยเพื่อจูเซียนเหยา แต่มันก็มีเหตุผล ประการแรก สถานการณ์อันตรายของจูเซียนเหยามีเหตุมาจากข้า ข้าเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเช่นกัน ประการที่สอง มันเป็นสถานการณ์ถึงตาย ส่วนมากแล้วข้าจะสามารถต่อรองได้ แต่หากเสี่ยงมากเช่นนี้ก็ทำไม่ได้ ข้าไม่สามารถมองสตรีของตนเองตายไปโดยไม่ลงมือทำอะไรได้ ประการที่สาม มันเป็น…… ข้อแลกเปลี่ยนที่ข้ากับหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นชอบ ในเมื่อข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่เช่นนั้นเมื่อสตรีตนตายไป ข้าคงไม่มีหน้าไปมองใคร หากเป็นเจ้าข้าก็จะทำเช่นเดียวกัน”
สีหน้ากู่ชิงลั่วอ่อนลงพลางพึมพำ “อย่างน้อยเจ้าก็รู้จักพูดจาเอาตัวรอด”
แต่นางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับสถานการณ์ทั้งหมดนี่เท่าไหร่
ซูเฉินเห็นสีหน้าสับสนนั่นแล้วก็หัวเราะ “อย่าโกรธข้าเลยนะ เอ้านี่ ดูของขวัญที่ข้าเอามาฝากเจ้า”
“ข้าไม่สน” กู่ชิงลั่วไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ
“โอ้โห ไม่จริงน่า แม่นางกู่ของเราเก่งกล้าเหนือใครจนไม่ชายตามองเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์แล้วงั้นหรือนี่ ?” ซูเฉินเอ่ยหยอก
“เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ ?” กู่ชิงลั่วได้ยินก็ตกใจ
เกราะรบสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตานาง
มันบางราวกระดาษ อยู่บนมือซูเฉินราวกับไร้น้ำหนัก แต่พอสัมผัสผิวดูดี ๆ ก็พบว่ามันมีอักขระลึกล้ำฝังอยู่
“นี่มัน ……” กู่ชิงลั่วร่างสะท้านน้อย ๆ
“ชุดเกราะเวหานิกายแห่งพระแม่ มันไม่สมบูรณ์นะ” ซูเฉินตอบ
“ไม่สมบูรณ์ ?”
“อืม ชิ้นที่สมบูรณ์จะทรงพลังอย่างเหลือเชื่อเลย” เขาอธิบาย
เพราะซูเฉินได้มันมาระยะหนึ่งแล้ว จึงค่อย ๆ เรียนรู้ถึงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน
พลังของมันในฐานะเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เหลือเชื่อแทบไม่อาจจะเข้าใจ กระทั่งซูเฉินที่ไม่ค่อยสนใจว่าตนเองจะใช้เครื่องมืออะไรยังอดรู้สึกเสียดายไม่ได้หากต้องมอบมันให้คนอื่น
ความสามารถในการป้องกันของมันโดดเด่นเหนือใครแม้จะมีน้ำหนักเบา
ก่อนหน้านี้ซูเฉินเคยลองโจมตีมันเพื่อทดสอบพลังหลังจากทะลวงผ่านด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถสร้างได้แม้รอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน
อีกทั้งยังประทานพรวิเศษให้กับผู้ใช้ได้อีกด้วย
ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถวิชาต้นกำเนิดของผู้ใช้ได้โดยตรง ดังนั้นจึงมีผลเหมือนกับคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์ แต่คัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้กับวิชาอาร์คาน่าเพียงครั้งละหนึ่ง แต่พลังของชุดเกราะเวหานำมาใช้ตอนไหนก็ได้ เพิ่มพลังได้ทั้งวิชาวิชาอาร์คาน่าและวิชาต้นกำเนิด
เทียบกันแล้วคัมภีร์พลังศักดิ์สิทธิ์จึงด้อยกว่า แม้จะเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่เทียบชุดเกราะเวหาไม่ได้สักกระผีก
นอกจากนั้นชุดเกราะเวหายังมีความสามารถพิเศษที่ 3 นั่นคือสามารถปล่อยแรงกดดันเพื่อต้านคู่ต่อสู้ออกมาได้
อาจกล่าวได้ตรงกว่าว่ามันคือการโจมตีภายใน ใครที่อ่อนแอกว่าผู้ใช้จะไม่สามารถป้องกันมันได้เลย ส่วนคนที่แข็งแกร่งกว่าก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ทว่าผู้ใช้เกราะก็จะไม่ถูกพลังตีกลับแต่อย่างใด และเพราะความสามารถนี้ส่งผลกระทบกับทุกเป้าหมายรอบกายผู้ใช้ จึงมีประโยชน์ในการต่อสู้ขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก
ใครที่มีชุดเกราะเวหา คิดจะใช้จำนวนเข้าสู้อย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้
แม้ในชุดเกราะจะมีเพียง 3 พลังฝังเอาไว้ ทว่าพลังแต่ละอย่างก็นับว่าสูงส่งหาที่ใดเปรียบ
น่าเสียดายที่ยังมีจุดบกพร่องเพราะมันยังไม่สมบูรณ์
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดคือมันจำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์
และจำเป็นต้องมีแหล่งพลังเพราะความสามารถทั้งหมดของชุดเกราะเวหาต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอด
ชุดเกราะเวหาที่สมบูรณ์จะมีแหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของมันเอง
ความสำคัญของแหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของชุดเกราะเวหาสามารถเทียบได้กับความสำคัญของแกนพลังงานแห่งซาร์คที่มีต่อเมืองล่องนภา ทั้งสองอย่างเป็นส่วนประกอบสำคัญทั้งคู่ และเป็นส่วนที่สร้างขึ้นได้ยากที่สุดเช่นกัน
ไม่เพียงแต่ชุดเกราะเวหาจะเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ไม่ธรรมดาด้วย และก็เพราะพลังเช่นนี้ที่ทำให้แทบไม่มีใครสร้างมันขึ้นมาได้เลย
เมื่อเป็นเรื่องของพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว การจะเติมพลังให้ชุดเกราะก็มีเพียงวิธีเดียวคือการวางมันไว้ภายในรูปปั้นพระแม่ จากนั้นมันก็จะเติมพลังด้วยความศรัทธาจากสาวกนิกายทั้งหลาย
แต่กระนั้นก็ยังใช้เวลานานมาก
“เพราะงั้น…… เมื่อไร้แหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นแค่เกราะเปล่าน่ะสิ ?” กู่ชิงลั่วรู้ซึ้งถึงข้อเสียแล้วก็ถามขึ้นเสียงจนใจ
“ไม่ถึงขนาดนั้น แม้รูปปั้นจะถูกทำลายไปแล้ว แต่สาวกและความศรัทธายังคงอยู่ ชุดเกราะเวหาสามารถสื่อสารกับความศรัทธานั้นได้ เพียงแต่อัตราในการฟื้นพลังจะต่ำกว่าปกติเท่านั้น” ซูเฉินตอบ
หากอัตรากักเก็บพลังพลังศักดิ์สิทธิ์เมื่อใช้แหล่งพลังงานนับได้เป็น 100 หน่วย ชุดเกราะที่ไม่สมบูรณ์ยามถูกวางไว้ในรูปปั้นพระแม่ก็จะสามารถฟื้นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ที่ 10 หน่วยต่อวินาที และจะสามารถฟื้นพลังได้เองราว 1 หน่วยต่อวินาที
“เช่นนั้นหากในกาลปกติใช้ไม่ได้ เก็บเป็นไพ่ตายเอาไว้ใช้ในยามเข้าตาจนก็ยังได้” ซูเฉินอธิบาย
“เท่านี้ก็ดีมากแล้ว” กู่ชิงลั่วคลี่ยิ้มเอ่ยเสียงมีความสุข
ที่นางดีใจไม่ใช่เพราะได้เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเพราะซูเฉินยังคิดถึงนาง
แม้มันจะไม่สมบูรณ์ แต่ชุดเกราะเวหาก็ยังล้ำค่ามากอยู่ดี
ซูเฉินเต็มใจมอบให้นางเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามน่าสนใจขึ้นหลายประการ
อาทิเช่น แสดงว่านางมีความสำคัญมากกว่าจูเซียนเหยาหรือ ?
ไม่แน่ว่าความคิดเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นสิ่งที่สตรีส่วนมากไม่อาจหลุดพ้น
ความเสียสละของซูเฉินเพื่อจูเซียนเหยาทำกู่ชิงลั่วหึงหวงไม่น้อย แต่ตอนนี้นางพอใจกับท่าทีของเขาที่มีต่อนางแล้ว
บางครั้งสตรีก็ต้องการการปลอบประโลมมากเช่นนี้ ไม่สิ ต้องดูแลให้มากกว่าเด็ก ๆ เสียอีก
กู่ชิงลั่วลองสวมชุดเกราะทันใด พริบตานั้น รอบกายก็เปล่งแสงสีแดงเพลิง เกิดเป็นกลิ่นอายกล้าหาญดูองอาจขึ้นมา
กู่ชิงลั่วดูดีใจไม่น้อย นัยน์ตาเป็นประกาย พลันเอ่ยขึ้น “รับนี่ไปเสีย !”
นางกระแทกฝ่ามือส่งมาทางซูเฉิน
ซูเฉินไม่ตกใจ พลังของเขาในตอนนี้ ทำเมินเฉยต่อการโจมตีของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ยังได้ กู่ชิงลั่วอยู่เพียงด่านสู่พิสดาร เขาแค่เอื้อมมือไปหยุดก็ได้แล้ว
ไม่คาดคิดว่าฝ่ามือถือกู่ชิงลั่วจะเริ่มเปล่งแสงสีทองออกมา พลังพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว
มือซูเฉินยามแตะกับฝ่ามือกู่ชิงลั่วจึงสะท้าน เกือบต้านรับไว้ไม่ไหว
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันใด “นี่ หยุดเล่นเถอะ ! พลังศักดิ์สิทธิ์ใช้เวลาฟื้นนานนะ !”
จังหวะเมื่อครู่ กู่ชิงลั่วใช้พลังจากชุดเกราะเวหา
แต่กู่ชิงลั่วทำเพียงตอบไม่สนใจ “อย่างไรก็ต้องใช้ให้ถนัดมือ ช่วงนี้ข้าคงไม่พบปัญหาอะไร ไม่ใช่ว่าต้องรีบเอามาใช้สักหน่อย”
นางกระแทกอีกหนึ่งฝ่ามือออกมา ครั้งนี้ก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ซูเฉินเริ่มโกรธขึ้นมา
เคยเป็นแม่นางน้อยอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน จะให้นางระวังสักหน่อยคงเป็นไปไม่ได้ กลับกันแล้ว ดูท่านางจะเอามันออกมาใช้เล่นกับคนอื่น ๆ เสียมากกว่า
แต่กู่ชิงลั่วก็พูดถูก ตระกูลกู่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลเลยถูกจับตาดูตลอดเวลา ไม่ว่านางจะมีชุดเกราะเวหาหรือไม่ก็ไม่ต่างนัก เหตุการณ์เดียวที่จะบีบให้นางต้องใช้มันก็คือจนกว่าอาณาจักรภูผาสูญล่มสลายและตระกูลกู่ตกอยู่ในภาวะจวนตัวขึ้นมา
ซูเฉินจึงเบาใจได้บ้าง
ทั้งสองคนประมือกันเล็กน้อยภายในห้องเล็ก กู่ชิงลั่วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เสริมแรงโจมตี ลองคาดคะเนขีดจำกัดและความสามารถของชุดเกราะด้วยตนเอง
แม้จะเป็นการประลองที่ดุเดือด แต่ก็ยั้งมือมากพอที่ของภายในห้องไม่แตกสักชิ้น
หลายชั่วอึดใจผ่านไป กู่ชิงลั่วจึงหยุดมือ
ซูเฉินถาม “หยุดทำไมเล่า ?”
กู่ชิงลั่วเบ้ปากอย่างน่ารัก “พลังศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว”
ซูเฉินหัวเราะ “คิดอยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องใช้จนหมด พลังที่เจ้าเพิ่งใช้จนหมดไป ข้าใช้เวลาสะสมอยู่ตั้งหลายวัน”
“ช่างมันเถอะ ความสามารถในการป้องกันของชุดเกราะเวหานี่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วกระมัง รูปลักษณ์ก็ดูไม่เลวเลย !” กู่ชิงลั่วหมุนตัวดูตนเองในกระจก ดูพึงพอใจกับรูปลักษณ์ตนมาก
สำหรับสตรี ความสวยงามของอาภรณ์สวมใส่นั้นมีความสำคัญสูงเกือบที่สุดทีเดียว
“งดงามจริง ๆ นั่นล่ะ น่าเสียดายที่พลังหมดแล้วก็เสียประกายที่เคยมีไป” ซูเฉินว่า
“ก็ถูก” กู่ชิงลั่วงึมงำ นางเองก็รู้ว่าเมื่อชุดเกราะเวหาเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปก็คือสิ้นพลัง “ต่อไปคงต้องเก็บพลังไว้สักหน่อย”
นางตั้งใจแค่จะทำให้ชุดเกราะยังคงความประกายเอาไว้เพียงอย่างเดียว ซูเฉินได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มขมขื่น
เมื่อปล่อยให้เล่นจนพอใจแล้ว สุดท้ายนางจึงถอดมันออก
เป็นตอนนั้นที่กู่ชิงลั่วเห็นสายสีดำยื่นออกมาจากแขนชุดเกราะข้างหนึ่ง
“อะไรกัน ?” กู่ชิงลั่วดึงมันออกมา
“อาจเป็นกระเป๋ากระมัง” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ
ทันใดนั้นมันก็ขยับราวกับมีชีวิต หดตัวลงจนขนาดเท่าเข็ม แล้วพุ่งเข้าไปในข้อมือกู่ชิงลั่ว
“อ๊ะ !” กู่ชิงลั่วร้องด้วยความเจ็บปวด
เป็นตอนนั้นเอง ชุดเกราะเวหาที่ก่อนหน้าหมดความประกายไปแล้วเริ่มเปล่งแสงออกมาสว่างไสวอีกครั้ง
มันสว่างเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน ขจัดความมืดทั้งหลายออกไปให้ไกล!!!