บทที่ 181 การร่วมมือและความขัดแย้ง
การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างกะทันหันทำให้ซูเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว เขาไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
“กู่ชิงลั่ว เกิดอะไรขึ้น ?”
กู่ชิงลั่วจับข้อมือตัวเองแล้วกดเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยความตระหนก “มันกำลังดูดเลือดข้า…. คุณพระคุณเจ้าช่วย มันพยายามจะเอาพลังของข้าไปจนหมด !”
ซูเฉินรีบพยายามดึงชุดเกราะเวหาออกจากร่างของนางทันที ทว่าด้วยพลังในการต้านทานของมันแล้ว ซูเฉินจะฉีกชุดเกราะนั้นออกได้อย่างไรกัน
กู่ชิงลั่วร้องขึ้นขณะที่ยังคงตระหนก “มันคือพลังสายเลือดของข้า ! มันกำลังดูดเอาพลังสายเลือดของข้าไป !”
อะไรนะ ?
ซูเฉินตะลึง
เพราะสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของนางหรือ ? ชุดเกราะถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้
แต่เดี๋ยวก่อน !
ชายหนุ่มพลันนึกขึ้นได้ว่าเลือดของตระกูลกู่นั้นถูกใช้เพื่อสร้างเทียนไขชีวิต ซึ่งผลลัพธ์ในการขยายพลังของทักษะต้นกำเนิดก็คล้ายกันมากทีเดียว
หรือว่าอันที่จริงแล้ว ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ นี้จะเป็น……
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของซูเฉิน
แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเกี่ยวกับเรื่องทางทฤษฎีพวกนั้น พลังสายเลือดของกู่ชิงลั่วกำลังถูกดูดออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน เขาจึงจำเป็นต้องทำใจให้เย็นลงเสียก่อน จากนั้นซูเฉินจึงกล่าวขึ้น “กู่ชิงลั่ว ควบคุมพลังของเจ้า เจ้าเป็นเจ้าของมันนะ ! มันจะเอาพลังของเจ้าไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจตจำนงของเจ้าเอง ถ้าเจ้าไม่ต้องการจะมอบพลังให้กับมัน มันก็ไม่มีทางเอาพลังนั้นไปจากเจ้าได้ !”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรเล่า ?” กู่ชิงลั่วเริ่มจะตระหนกอีกครั้ง
คำแนะนำของซูเฉินอาจฟังดูง่ายดายนัก แต่ปัญหาก็คือสิ่งที่กำลังดูดเอาพลังสายเลือดของกู่ชิงลั่วอยู่นั้นไม่ได้สนใจอำนาจของผู้สวมใส่เลยสักนิด
ซูเฉินก้มหน้าลงครุ่นคิด “ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใด แม้แต่สิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ล้วนต้องมีพลังจิต และดูเหมือนว่าชุดเกราะเวหาก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ด้วยการพุ่งเป้าไปยังพลังจิตของเป้าหมาย….”
“ข้าทำไม่ได้ พลังจิตของข้าไม่มากพอ และชุดเกราะนี่ก็ยังขัดขวางทุกการเคลื่อนไหวของข้าอีกด้วย” กู่ชิงลั่วส่ายหัวไปมาด้วยความหงุดหงิด
“ข้าอยู่นี่” ซูเฉินก้าวออกไปและโอบร่างกู่ชิงลั่วไว้แน่นขณะกล่าวกับนางอย่างอ่อนโยน “ปล่อยพลังจิตของเจ้าออกมาและให้ข้าเข้าไป !”
กู่ชิงลั่วหลับตาลงและปลดปล่อยพลังจิตเปิดให้กับซูเฉินอย่างเต็มที่
ทุกสิ่งในใจของนางถูกละทิ้งและวางลงชั่วคราว
หัวใจของกู่ชิงลั่วถูกเชื่อมอย่างเหนียวแน่นและเจตจำนงของทั้งสองก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งนั่นทำให้แทบแยกไม่ออกเลยว่าใครกันที่เป็นซูเฉิน และใครกันที่เป็นกู่ชิงลั่ว
ทว่าในตอนนั้นเอง เจตจำนงอันแรงกล้าก็ปรากฏขึ้น
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในห้องนั้นขณะที่พลังอันแข็งแกร่งกำลังก่อร่างขึ้น “กู่ชิงลั่ว เกิดอะไรขึ้น ?”
เป็นบรรพชนคนหนึ่งของตระกูลนั่นเอง !
กู่ชิงลั่วรู้สึกได้ว่าใจสั่น
แม้ว่าชุดเกราะเวหาจะทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในวงจำกัด แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ผันผวนและหลั่งไหลออกมาก็ยังคงดึงดูดสายตาและความสนใจของบรรพชนตระกูลกู่ได้อยู่ดี
บรรพชนที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นบรรพชนตระกูลกู่รุ่นที่สี่ผู้มีนามว่ากู่ซินหรง
การมาถึงของซูเฉินมีความสำคัญยิ่งนักต่อบรรพชนทั้งหลาย ดังนั้นกู่ซินหรงจึงทิ้งชิ้นส่วนเจตจำนงของนางไว้ใกล้กับห้องนั้นเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และนางก็จะเห็นทุกความโกลาหลใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในห้องนี้ได้ทันที
กู่ชิงลั่วกำลังจะตอบกลับไปพอดีกับที่ซูเฉินบอกให้นางอย่าเสียสมาธิ
ทั้งสองเดินทางมาสู่ปมของการหลอมรวมในที่สุด และจะไม่มีใครเสียสมาธิได้เป็นอันขาด
แม้ว่ากู่ซินหรงจะมีเพียงเจตนาดี แต่ซูเฉินกลับพบว่าเจตอันดีนั้นไม่สามารถยอมรับได้ในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อกู่ซินหรงไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ นางก็ตื่นตัวและพยายามจะเข้ามาในห้องนั้นทันที
ทว่าพลังจิตของนางแข็งแกร่งยิ่งนัก และจะมีอิทธิพลต่อซูเฉินกับกู่ชิงลั่วทันทีที่เข้ามาในห้องได้ ซึ่งซูเฉินไม่สามารถปล่อยให้กู่ซินหรงมาทำลายสถานการณ์นี้ได้เป็นอันขาด เขาไม่มีเวลาจะมาอธิบาย ชายหนุ่มจึงทำเพียงปล่อยคลื่นพลังจิตออกไปเพื่อหยุดนางไว้ไม่ให้เข้ามา
ตู้ม !
ตำหนักเซียนปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะของเขา และคลื่นพลังจิตจำนวนมหาศาลก็ห่อหุ้มทั้งห้องเอาไว้ทันที
กู่ซินหรงพบว่าชิ้นส่วนพลังจิตของนางถูกป้องกันไม่ให้เข้าไปในห้องเสียแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
แม้ว่านางจะพยายามส่งเพียงเจตจำนงเข้าไป แต่กู่ซินหรงก็ยังเป็นผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน… เป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของมนุษยชาติ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ชิ้นส่วนพลังจิตของนางกลับถูกหยุดไว้ที่หน้าประตู และนั่นทำให้นางรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน
กู่ซินหรงรู้ดีว่าซูเฉินจะไม่มีทางทำอันตรายกู่ชิงลั่ว และเขาคงมีเหตุผลที่ให้นางรออยู่ที่ข้างนอกตรงนี้ แต่ด้วยความบ้าบิ่นส่วนตัวและความไม่มีน้ำอดน้ำทนแล้ว จิตวิญญาณนักสู้ของกู่ซินหรงจึงได้ถูกชายหนุ่มคนนี้ปลุกให้ตื่นเสียแล้ว
อ้อ เจ้าไม่ให้ข้าเข้าไปใช่ไหม เอาสิ ข้าก็จะเข้าไปอยู่ดี !
นางใช้พลังจิตและเริ่มส่งแรงกดดันออกไปอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่หญิงชรารู้จักสงวนพลังเอาไว้บ้าง แทนที่จะจู่โจมอย่างสุดกำลัง นางเลือกที่จะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณของพลังจิตไปทีละน้อย
ซูเฉินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นซึ่งกำลังส่งผลต่อเขา… แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำอะไรได้
มันเกิดขึ้นเร็วไปหน่อย เขาไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจให้กับสิ่งอื่นใดได้ ซูเฉินจึงทำได้เพียงละทิ้งความคิดอื่น ๆ และเพ่งสมาธิกับพลังจิตของเขากับกู่ชิงลั่ว และในขณะเดียวกับก็ตอบสนองกู่ซินหรงที่เจาะเข้ามาในคลังพลังจิตของตัวเอง
แม้ว่าซูเฉินจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่เขาก็สามารถสร้างตำหนักเซียนที่มั่นคงยิ่งขึ้นมาได้ อีกทั้งความเชี่ยวชาญด้านวิญญาณของเขาก็ยังบรรลุถึงระดับสิบแล้วด้วย เพราะเมื่อเข้าสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ ความเชี่ยวชาญของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับนั่นเอง
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสิบนั้นสามารถต้านทานผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง เมื่อพื้นฐานพลังส่วนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยพลังระดับด่านผลาญจิตวิญญาณของซูเฉิน และพลังจิตที่มีอยู่อย่างมหาศาลของเขาแล้ว จึงกล่าวได้ว่าพลังจิตของซูเฉินนั้นแทบไม่มีใครในอาณาจักรที่จะเทียบได้เลย
นั่นจึงทำให้กู่ซินหรงที่กำลังดึงดันจะเข้ามานั้นไม่ต่างอะไรไปจากการวิ่งเข้าชนกำแพงเหล็กกว่าที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางถูกทำลายลงเพื่อให้นางผ่านเข้าไปได้เลย
มันทำให้กู่ซินหรงตะลึงพอสมควรทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงส่งพลังจิตต่อไปเพื่อพยายามจะผ่านไปให้ได้
ซูเฉินรู้ดังนั้นก็สบถอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าพลังจิตของเขาจะไม่ได้อ่อนแอกว่ากู่ซินหรง แต่พลังจิตก็ไม่ได้เป็นเพียงทักษะอย่างเดียว และทักษะส่วนตัวก็มีผลในการต่อกรกันด้วยเช่นกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เขาเองยังพยายามที่จะหลอมรวมพลังจิตของตัวเองเข้ากับพลังของกู่ชิงลั่วไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย แรงกดดันจากฝ่ายกู่ซินหรงกำลังทำให้ซูเฉินเสียสมาธิ
ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่สบถกับตัวเองที่กู่ซินหรงไม่รู้อะไรเอาเสียเลย และได้แต่พยายามยื้อสถานการณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ
ทั้งสองฝ่ายกำลังจมดิ่งลงสู้ห้วงสงครามที่ไม่สามารถมองเห็นได้และต่อกรกันในระดับพลังจิต
ซูเฉินเริ่มรู้สึกหายใจลำบาก ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาสบถออกมาหนักขึ้นไปอีก
พลังจิตของเขาเริ่มที่จะหลอมรวมเข้ากับพลังจิตของกู่ชิงลั่วแล้ว ดังนั้นกู่ชิงลั่วจึงเริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในใจของชายหนุ่มด้วย ทว่านางทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ากลอกตาด้วยความหน่ายใจเท่านั้น
“หือ เด็กนี่ฝึกด้วยวิธีอะไรกัน ทำไมพลังจิตของเขาถึงได้แกร่งนัก ?” หญิงชราลืมหน้าที่หลักที่ต้องดูแลไปเสียแล้ว ตอนนี้นางกลับสนใจแต่แรงกดดันที่ตอบสนองกลับมาจากซูเฉินแทน
เดี๋ยวก่อน !
ช้าก่อน !
ซูเฉินร้องตะโกนขึ้นซ้ำ ๆ ในใจ
การหลอมรวมใกล้จะเสร็จสิ้นเต็มทีแล้ว
มันกำลังจะสิ้นสุดลง และซูเฉินก็เริ่มกระอักเลือดออกมา
บรรพชนหญิงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงยังคงไม่ละความพยายามและส่งพลังออกไปมากขึ้นด้วย
สิบ
เก้า
แปด…
ทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นช่างเชื่องช้าราวกับว่ามันกินเวลานานเป็นปีสำหรับซูเฉิน
แม้แต่กู่ชิงลั่วเองก็ยังหวาดกลัวไปด้วย
นางเกรงว่าซูเฉินจะไม่สามารถต้านทานความยิ่งใหญ่ของบรรพชนผู้นี้ได้และอาจถูกสังหารเสียตรงนั้น
ทว่าชายหนุ่มกลับกัดฟันและไม่ละทิ้งความพยายามเลย
เขารู้ดีว่าหากหยุดกลางคันจะทำให้ทุกอย่างที่ทำไปเสียเปล่าทั้งหมด และทั้งสองก็จะพลาดโอกาสสำคัญในการหยุดพลังแทรกแซงของชุดเกราะได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วอาจมีความเป็นไปได้ที่กู่ชิงลั่วจะถูกดูดเลือดออกไปจนหมดตัวก็ได้
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ซูเฉินจึงจำเป็นต้องอดทนและผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้
กู่ชิงลั่วสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของซูเฉินเมื่อพลังจิตของทั้งคู่เชื่อมเข้าด้วยกัน
มันทำให้นางซึ้งใจยิ่งนัก
กู่ชิงลั่วเชื่อในที่สุดว่าซูเฉินรักนางจริง ๆ
เขาอาจวางแผนและก้มหัวให้กับศัตรูเพื่อจูเซียนเหยาก็จริง แต่เขายอมเอาชีวิตเขาเสี่ยงเพื่อต่อกรกับพลังด่านมหาราชันเพื่อนาง
ความรู้สึกอ่อนโยนเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนาง
สี่
สาม
สอง
หนึ่ง !
สำเร็จ !
พลังจิตของทั้งสองเชื่อมกันอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
ซูเฉินสัมผัสได้ถึงความรักในใจกู่ชิงลั่วที่นางมีต่อเขาได้โดยตรง มันประหลาดยิ่งนักเพราะบางครั้งความรู้สึกนี้ก็เหมือนกับการที่ซูเฉินกำลังหลงรักตัวเอง ฝ่ายกู่ชิงลั่วเองก็สัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานและความรู้ที่กว้างขวางของซูเฉินได้ รวมถึงความรักที่เขามีต่อนางด้วย ในที่สุดพลังงานจิตของชายหนุ่มก็ท่วมท้นเข้าสู่ร่างกายของนาง… พลังนี้เป็นทั้งของเขา และของกู่ชิงลั่วเอง
หญิงสาวหลับตาลง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
กู่ชิงลั่วพลันสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของซูเฉินโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม… นางรู้ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไป
ในขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายซูเฉินก็กล่าวขึ้นในที่สุด
เขาพ่นเลือดออกมาอึกใหญ่พร้อมกับพูดออกมาว่า “ไอ้หมาแก่ หยุด ! หยุดได้แล้ว ! จะฆ่ากู่ชิงลั่วกับข้าหรืออย่างไรกัน”
กู่ซินหรงถึงกับตัวสั่นสะท้าน นางหยุดแรงกดดันที่ส่งไปยังซูเฉินทันที “เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น ?”
“เรื่องนั้นเราค่อยว่ากัน เอาพลังงานจิตของท่านออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นท่านจะมาโทษว่าข้าไม่สุภาพไม่ได้นะ ให้ตายเถอะ ท่านเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว !!!” ซูเฉินสบถอย่างเดือดดาล
กู่ซินหรงหน้าซีดด้วยความโกรธ แต่นางก็รู้ว่าตัวเองเพิ่งสร้างปัญหาให้กับซูเฉินและกู่ชิงลั่ว ใบหน้าของหญิงชราเปลี่ยนเป็นสีแดง นางรีบถอนพลังจิตกลับออกไปโดยไม่ปริปากใด ๆ
หากเป็นชายหนุ่มคนอื่นที่ไม่ใช้ซูเฉินที่พูดจากับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น กู่ซินหรงคงไม่ไว้ชีวิตเขาแน่ ๆ แม้ว่านางจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
กู่ชิงลั่วรวบรวมพลังงานจิตของตัวเองและเริ่มผสานมันเข้าไปในชุดเกราะเวหา ไม่ช้าหญิงสาวก็เริ่มสัมผัสได้ถึงการตอบสนองบางอย่างจากชุดเกราะนั้น
เจตจำนงของชุดเกราะนั้นปรากฏขึ้นอย่างขุ่นมัว และมันขาดซึ่งสติปัญญาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเจตจำนงนี้ช่างกว้างขวางนัก มันขัดขวางไม่ให้พลังจิตของกู่ชิงลั่วแทรกตัวเข้าไปในชุดเกราะได้
กู่ชิงลั่วรู้ว่าสิ่งนี้คือพลังจิตของชุดเกราะเวหานั่นเอง หรือว่า… มันคือส่วนประกอบความศักดิ์สิทธิ์ของชุดเกราะนี้กันนะ ?
เดิมทีนั้นชุดเกราะเวหาเป็นวัตถุที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ แต่หลังจากถูกอาบไปด้วยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อของผู้คน มันก็พัฒนาพลังจิตขึ้นมา
และเพราะพลังจิตนี้ยังไม่พัฒนาอย่างเต็มที่ มันจึงยังซ่อนตัวอยู่ในนั้นและเลือกที่จะแสดงตัวออกมาเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น
อย่างเช่นในตอนนี้ ที่มันสัมผัสได้ถึงพลังสายเลือดของกู่ชิงลั่วนั่นเอง
ไม่ต่างไปจากสัญชาตญาณของทารกที่กระหายน้ำนมจากแม่
ชุดเกราะเวหาก็กระหายในพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
มันสูญเสียพลังจากนิกายแห่งแม่พระไป และในตอนนี้ชุดเกราะก็กำลังกระหายพลังเหลือเกิน กลิ่นหอมของสายเลือดทรงพลังจึงดึงดูดมันได้ในทันที
แม้ว่ากลิ่นของนมนั้นจะต่างไปจากนมของผู้ให้กำเนิดมัน…. แต่มันก็ยังเป็นนมที่ดื่มได้
กู่ชิงลั่วรู้สึกมั่นใจขึ้นมากหลังจากที่เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
นางเริ่มพยายามกล่อมให้ชุดเกราะเวหาไม่ตะกละตะกลามจนเกินไป
ทว่าพลังจิตที่กำลังพัฒนานั้นไม่ต่างอะไรไปจากเด็กคนหนึ่ง และมันไม่มีทางที่จะฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น หากมันต้องการจะกิน มันก็ต้องได้กิน ไม่มีทางเลยที่จะสามารถต่อรองกับมันได้
กู่ชิงลั่วรู้สึกหมดหนทาง
ต้องขอบคุณที่ซูเฉินอยู่ตรงนั้นกับนางด้วย
พลังจิตของชายหนุ่มทำให้กู่ชิงลั่วรู้ว่านางต้องทำอย่างไรต่อไป
ในเมื่อเจ้าไม่มีสติปัญญา ข้าก็จะมอบมันให้เจ้าเอง !
ไม่ช้ากู่ชิงลั่วก็เริ่มส่งพลังจิตเข้าสู่ชุดเกราะอีกครั้ง
พลังเริ่มก่อตัวขึ้นในชุดเกราะอีกเหมือนเดิม
หากเจตจำนงนั้นต้องการที่จะกำจัดพลังจิตของชุดเกราะ พลังนั้นก็คงสู้ตอบไปแล้ว แต่เพราะเจตจำนงนี้ถูกมอบให้กับมันในฐานะการเสริมกำลัง พลังจิตของชุดเกราะจึงรับมันไว้โดยไม่ลังเล
ทว่าเจตจำนงที่ว่านี้เต็มไปด้วยสติปัญญามนุษย์ของซูเฉินและกู่ชิงลั่ว เมื่อพลังจิตของชุดเกราะดูดซึมมันเข้าไป จึงทำให้ชุดเกราะเวหาได้รับสติปัญญาเข้าไปพร้อมกันด้วย
อันที่จริงแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมายังแรงกล้ากว่าที่คาดการณ์กันไว้อีกด้วย เพราะสติปัญญานั้นปรากฏขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเกินไป ทันทีที่ประกายแรกของมันส่องสว่างขึ้น สติปัญญามนุษย์ก็เข้าครอบงำและมีพลังเหนือกว่าพลังจิตดั้งเดิม หรือก็คือชุดเกราะเวหาได้กลายเป็นร่างแยกของซูเฉินกับกู่ชิงลั่วที่รวมตัวกันแล้วนั่นเอง
และเพราะมันคือแบบจำลองเจตจำนงของนางเอง จึงไม่แปลกเลยที่มันไม่คิดจะทำร้ายกู่ชิงลั่วอีกต่อไป
สายรัดของชุดเกราะเวหาเริ่มคลายตัวออก
กู่ชิงลั่วถอนใจด้วยความโล่งอก นางตรวจสอบพลังสายเลือดและพบว่ามันเหลืออยู่ 8 ใน 10 ส่วนหลังจากถูกดูดเอาไปเพียงช่วงสั้น ๆ เมื่อครู่นี้ “ขอบคุณสวรรค์ ถ้านานกว่านี้ข้าคงแห้งตายเพราะชุดเกราะนั่นแน่”
“เป็นความผิดข้าเอง ข้าทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย” ซูเฉินกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
พลังจิตของทั้งสองแยกออกจากกัน และความรู้สึกใกล้ชิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้หายไปพร้อมกับมันด้วย ทั้งคู่จึงต้องกลับมาสื่อสารกันด้วยคำพูดอีกครั้ง
แต่กู่ชิงลั่วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ “เจ้าไม่รู้นี่ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ และพวกเราก็ยังโชคดีอยู่บ้าง ตอนนี้ชุดเกราะเวหาเป็นของเราแล้ว ต่อไปหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็จะไม่มีใครสามารถใช้มันได้”
ถูกต้องแล้ว ชุดเกราะเวหาได้ทำความรู้จักกับเจ้าของใหม่ของมันอย่างเป็นทางการแล้ว และจากนี้ไปมันก็จะเชื่อฟังเพียงซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเท่านั้น
ส่วนพลังสายเลือดที่กู่ชิงลั่วสูญเสียไป นางก็จะฟื้นฟูมันกลับมาได้หลังโดยการกินอาหารและการนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพียงไม่กี่วัน
แต่ซูเฉินที่เสียพลังงานจิตไปเป็นจำนวนมาก และการกระทำที่รุนแรงของบรรพชนนั้นทำให้เขาต้องทรมานอย่างมาก สำหรับชายหนุ่มแล้วสิ่งที่เสียไปนั้นสมควรยิ่งนักที่เขาจะได้รับความภักดีจากชุดเกราะเวหา
“ซูเฉิน ตอนนี้ข้าขอเข้าไปได้หรือยัง ?” กู่ซินหรงถามขึ้น
นางตัดสินใจถามออกไปเมื่อได้ยินชายหญิงทั้งสองพูดคุยกัน
ซูเฉินขมวดคิ้ว “ตัวปัญหา ! ถ้าเมื่อกี้นี้จะสุภาพกับข้าแบบนี้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
ผู้ฝึกตนด่านมหาราชันและบรรพชนแห่งสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลถูกซูเฉินเรียกว่าเป็น ‘ตัวปัญหา’ เสียอย่างนั้น กู่ซินหรงแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว