ภาคที่ 5 บทที่ 182 พบหน้าเพื่อนเก่า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 182 พบหน้าเพื่อนเก่า

ที่คฤหาสน์ตระกูลกู่

กู่ซินหรงถอนใจไม่หยุดเมื่อรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ข้าผิดเองที่ใจร้อนเกินไป” หญิงชราถอนใจอีกครั้ง นางไม่เคยก้มหัวให้ใครมาก่อนเลย ทว่าตอนนี้กลับต้องมาขอโทษซูเฉิน

นี่ไม่ใช่เพียงเพราะนางทำผิดพลาด แต่เพราะความผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูเฉิน

ชายคนนี้มีอำนาจควบคุมคำสาปทั้งสามและเป็นปราชญ์ชาญโลกของเผ่ามนุษย์ อีกทั้งเขายังแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานกับพลังจิตของนางได้อีกด้วย

ในเมื่อผู้อาวุโสขอโทษเช่นนี้แล้ว ซูเฉินจึงปล่อยให้เรื่องนี้จบไป

กู่ซินหรงยิ่งหวั่นใจเมื่อรู้ว่ากู่ชิงลั่วได้รับชุดเกราะเวหาของนิกายแห่งแม่พระมาไว้ในครอบครอง

เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ ! มันคือเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์!

หญิงชราผู้นี้มีชีวิตมายาวนานเกือบพันปี แต่นางยังไม่เคยสัมผัสกับเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เลยสักครั้ง

เมื่อลูกหลานของตัวเองมีสิ่งนั้นอยู่ในมือแล้ว ดวงตาของกู่ซินหรงก็ลุกวาวด้วยความร้อนรน เพียงแค่มองดูมัน… นางก็รู้สึกว่าเส้นขอบฟ้านั้นกว้างขวางขึ้นกว่าที่เคยเป็นอีกมากแล้ว กู่ชิงลั่วเกือบจะคิดแล้วเชียวว่ากู่ซินหรงกำลังวางแผนจะช่วงชิงชุดเกราะนั้นไปจากนาง เพราะสายตาที่มองมานั้นเอง…….

ครึ่งชั่วยามต่อมา

กู่ซินหรงวางชุดเกราะเวหาลงในที่สุด

แต่หญิงชราก็ยังถอนใจไม่หยุด

“กู่ชิงลั่ว เจ้าพบกับชายที่น่าทึ่งเข้าแล้วล่ะ”

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะซูเฉินเพิ่งมอบเครื่องมือต้นกำเนิดให้ใช่ไหม ?

กู่ซินหรงรีบหยิบเอาเทียนไขชีวิตออกมาทันทีราวกับว่านางอ่านใจซูเฉินได้อย่างไรอย่างนั้น “เอานี่ไป และอย่าคิดว่าข้าแค่กำลังเอาเปรียบเจ้า”

เทียนไขชีวิตพวกนี้อาจเป็นประโยชน์กับเขาต่อไปได้ ซูเฉินจึงรับไว้โดยไม่ลังเล “ขอบคุณมาก ท่านบรรพชน”

กู่ซินหรงดูท่าทางพอใจทีเดียว “ซูเฉิน เจ้าแทบจะไม่แวะมาที่นี่เลย ทำไมไม่อยู่กับพวกข้าก่อนสักสองสามวันล่ะ ?”

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ข้าก็กำลังคิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน”

กู่ชิงลั่วผงะ “เจ้าต้องรีบไปอาณาจักรประกายวารีไม่ใช่หรอกหรือ ?”

หากซูเฉินต้องการจะสงบศึกระหว่างทั้งสามอาณาจักร เขาก็จำเป็นจะต้องเกลี้ยกล่อมให้อาณาจักรประกายวารีถอนตัวจากความขัดแย้งนี้ด้วย

ซูเฉินหัวเราะขึ้น “ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองหรอก”

ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเองหรือ ?

นั่นหมายความว่าอะไรกัน

ไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าใจความหมายคำพูดของซูเฉิน

เพราะคนจากอาณาจักรประกายวารีเป็นฝ่ายมาหาชายหนุ่มเอง

เจียงซีสุ่ย

จีหานเยี่ยน

ตอนนี้เจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนได้แต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การผูกขาดของเจียงซีสุ่ยในอดีตทั่วน่านน้ำใกล้เคียงเมืองธารน้ำใสนั้นเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งทีเดียว

สุดท้ายเมื่อเขาหยุดไล่ตามจีหานเยี่ยน นางก็เริ่มมองเห็นว่าเจียงซีสุ่ยเป็นคนที่ไว้ใจและพึ่งพาได้

และนั่นก็คือสาเหตุที่ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันในท้ายที่สุด

ไม่นานหลังจากที่ซูเฉินจากเมืองธารน้ำใสไป เจียงซีสุ่ยก็กลับมายังอาณาจักรประกายวารี เขากลายเป็นรองผู้นำแห่งทัพสยบสมุทรของกองราชนาวีและตอนนี้ก็ยังสร้างแท่นบงกชได้จำนวนสี่แท่นแล้วด้วย ส่วนจีหานเยี่ยนก็ให้กำเนิดทารกรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์แก่เจียงซีสุ่ยเมื่อสามปีก่อนและส่งข่าวมายังซูเฉิน ซึ่งซูเฉินก็ได้ส่งของขวัญแสดงความยินดีให้กับทั้งคู่ด้วย

ทั้งสามเป็นเพื่อนกันมานานจนไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองใด ๆ ต่อกันและกันอีกแล้ว

เจียงซีสุ่ยกอดซูเฉินแน่นก่อนจะชกเขาและกล่าวขึ้น “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?”

“ข้าคิดจะทำอะไรน่ะหรือ ?” ซูเฉินย้อนถามพร้อมกับเผยยิ้ม

“ยังจะทำไขสืออีก ?!” เจียงซีสุ่ยแสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าไปที่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและภูผาสูญ แต่ไม่ได้แวะมาที่อาณาจักรประกายวารีเลย เจ้าจะบอกว่าอย่างไรล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ฝ่าบาทก็รอข้ามาตลอดเลยหรือ ?”

เจียงซีสุ่ยกลอกตา “จะไม่ให้พวกข้ารอเจ้าได้อย่างไรกัน ทั้งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและอาณาจักรภูผาสูญต่างก็ไม่เข้าร่วมในการสำรวจ จึงไม่มีทางเลยที่พวกข้าจะโจมตีพวกปักษากันเองได้”

“นั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่ข้าไม่ได้ไป…” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น

แม้ว่าเผ่าปักษาจะต้องรับมือกับการรุกรานของคางคกพันพิษมาแล้ว แต่จุดลอยนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้นแล้วพันธมิตรทั้งสามอาณาจักรจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันบุกรุกด้วยกัน

ตอนนี้เมื่อทั้งสามทัพได้ถอยกลับออกมาแล้ว อาณาจักรประกายวารีก็ต้องตกที่นั่งลำบาก

พวกเจ้าเลิกเล่นกันแล้วหรือ ? เล่นแค่ฝ่ายเดียวมันจะมีประโยชน์อะไรเล่า พวกข้าไม่มีอะไรจะไปเทียบกับพวกปักษา ดังนั้นการเดินทางไปไกลขนาดนั้นโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจะมีค่าอะไร

อาณาจักรประกายวารีไม่ได้สนใจเรื่องการปะทะอีกต่อไป จึงไม่ยากเลยที่ซูเฉินจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาถอยทัพ

ทว่าซูเฉินกลับเลือกที่จะไม่ไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

เพราะเขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก

โดยปกติแล้วในการมีพันธมิตรลักษณะนี้ หากจุดเชื่อมเพียงจุดเดียวแตกหักออก ทุกอย่างก็จะพังทลายลงทันที

อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยเริ่มถอยทัพเป็นฝ่ายแรก จากนั้นอาณาจักรภูผาสูญจึงถอยทัพตามไปในไม่ช้า และตอนนี้อาณาจักรประกายวารีก็กำลังจะทำในสิ่งเดียวกัน

พวกเขาจึงนั่งรอให้ซูเฉินมาหา โดยเตรียมรายการสิ่งที่ต้องการเอาไว้ให้เขา

ทว่าซูเฉินกลับไม่ปรากฏตัวเสียอย่างนั้น

ช่างเป็นคนที่ไร้ราคาอะไรเช่นนี้

เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิแห่งอาณาจักรประกายวารีไม่พอใจมากทีเดียว

อาณาจักรทั้งสามร่วมมือกันเตรียมการโจมตีเผ่าปักษา แต่มีเพียงสองฝ่ายเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เพราะเหตุใดถึงได้มีฝ่ายหนึ่งที่ถูกแยกออกมาเช่นนี้ได้เล่า ?

นี่ไม่ได้เป็นเพียงคำถามถึงผลประโยชน์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเสียหน้าด้วย อย่างไรแล้วเรื่องนี้ก็หมายความได้ว่า อาณาจักรประกายวารีเป็นฝ่ายที่เล่นไม่ซื่อมาตลอดนั่นเอง

แม้ว่าเจียงจูเซิงจะไม่ใช่คนที่โลภในเกียรติยศ แต่เขาก็จำเป็นต้องรักษาหน้าให้กับอาณาจักรของตัวเอง

และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เจียงซีสุ่ยมาที่นี่ด้วย

เมื่อเจียงซีสุ่ยได้ยินคำตอบของซูเฉิน ดูเหมือนเขาจะขบขันกับมันมากทีเดียว “ข้ารู้อยู่แล้วละไอ้เวรนี่ ไม่มีทางเลยที่เจ้าจะยอมเสียในสิ่งที่ไม่ควรต้องเสีย เห็นไหมล่ะจีหานเยี่ยน เป็นอย่างที่ข้าบอกไว้ไม่มีผิด”

จีหานเยี่ยนตอบกลับมา “เจียงซีสุ่ยกับข้าพนันกันระหว่างทางมาที่นี่ เขาคิดว่าเจ้าไม่ได้มาที่อาณาจักรประกายวารี เพราะเจ้าคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาณาจักรประกายวารีคงไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ส่วนข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเห็นแก่ตัวขนาดที่จะปล่อยให้เจียงซีสุ่ยต้องตกที่นั่งลำบากได้”

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าสองคนเข้ากันได้ดีทีเดียวนะ ต่อให้ข้าหยั่งรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่พูดมันออกมาอยู่ดีนั่นละ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจเป็นที่เข้าใจผิดกันได้ว่าข้าคิดจะทำอันตรายต่อเจียงซีสุ่ย แล้วจักรพรรดิก็จะเชื่อว่าเจียงซีสุ่ยใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมานั้นในสถาบันมังกรซ่อนเร้นโดยไร้สาเหตุเมื่อเห็นว่าเจ้าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเพื่อนได้… โดยเฉพาะเพื่อนอย่างข้า”

จีหานเยี่ยนเลิกคิ้ว “เจ้าก็รู้นี่ แล้วไหนเล่าคำอธิบาย ?”

“ถ้าข้าบอกว่าเรื่องนั้นเป็นเพราะข้าอยากจะช่วยเจียงซีสุ่ยล่ะ” ซูเฉินสวนกลับ

เจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนมองหน้ากัน คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ทั้งสองรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาแล้ว

เจียงซีสุ่ยกล่าวตอบ “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่น้องซู ?”

ซูเฉินตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “การต้อนฝูงแกะหนึ่งหรือสองฝูงน่ะไม่ต่างกันเท่าไรหรอก อีกอย่าง สายเลือดลั่วโหยวก็เป็นสายเลือดเทพอสูรแรกที่ข้าได้เผชิญหน้าด้วย ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดของข้าปรากฏก็เพราะมัน ดังนั้นความเข้าใจที่ข้ามีต่อคุณสมบัติของมันจึงล้ำลึกนัก อันที่จริงแล้ว… ข้าทำไปแล้วก่อนที่พวกเจ้าจะมาเสียอีก”

เขากล่าวไปพร้อมกับหยิบเอาคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมา เจียงซีสุ่ยรับมันไปและมองดูเนื้อหาข้างในด้วยความตื่นตาตื่นใจ “นี่มันวิธีการที่เจ้าจะใช้ยกระดับสายเลือดลั่วโหยวของเจ้าได้นี่ !”

จีหานเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ปลื้มใจไปด้วย “ถ้าเช่นนั้นเจียงซีสุ่ยก็แพ้พนันข้าจริง ๆ สินะ”

“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

“อะไรล่ะ ว่ามาสิ”

“ข้าได้ยินว่าตอนนี้ เจียงซีสุ่ยเป็นถึงรองผู้นำทัพของทัพสยบสมุทรแห่งกองราชนาวี และกองราชนาวีก็เป็นกองทัพที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักร” ซูเฉินกล่าว

“ถูกต้อง”

“ข้าอยากให้เจียงซีสุ่ยเป็นผู้นำของทัพสยบสมุทร”

“ไม่มีทาง !” เจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนปฏิเสธพร้อมกันในทันที

กองราชนาวีของอาณาจักรประกายวารีนั้นแตกต่างไปจากที่อื่น เพราะพวกเขาเป็นทัพที่มีอำนาจและแข็งแกร่งที่สุด ราชนาวีแห่งอาณาจักรประกายวารีถูกแบ่งออกเป็นสามทัพด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ทัพสยบสมุทร ทัพทะเลสงัด และทัพสะท้านวารี โดยที่ทัพสยบสมุทรเป็นทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุด

และเพราะกองราชนาวีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาณาจักร ผู้ที่ได้รับเลือกให้ดูแลหนึ่งในเหล่าทัพพวกนี้ก็จะต้องเป็นผู้ที่จักรพรรดิไว้ใจให้เป็นผู้ช่วย

เจียงซีสุ่ยไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ดังนั้นการเป็นรองผู้นำทัพนั้นถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจมากแล้ว หากเขาต้องการจะควบคุมกองราชนาวีทั้งหมดอย่างที่ซูเฉินต้องการ

….นั่นย่อมหมายถึงการแย่งเอาตำแหน่งขององค์รัชทายาทมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย…. และใครจะไปรู้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเขาได้ควบคุมทั้งกองราชนาวีขึ้นมาจริง ๆ!

เจียงซีสุ่ยเดินทางมาไกลถึงสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็เพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อที่จะเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ

นี่เองที่เป็นสาเหตุให้เจียงซีสุ่ยไม่เคยแสดงความทะเยอทะยานออกมามากนัก และความสัมพันธ์ของเขากับเจียงส่าวหงผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทคนปัจจุบันนั้นก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียว

ทว่ามันก็เท่านั้น การให้เจียงซีสุ่ยมารับหน้าที่เป็นรองผู้นำทัพก็ถือว่ามีเกียรติมากแล้ว แต่การจะให้เขาไต่ระดับขึ้นไปสูงกว่านั้นคงเป็นไปไม่ได้

ซูเฉินหัวเราะ “ข้ารู้ แต่ถ้าเจ้าเป็นแค่ชั่วคราวล่ะ ?”

เจียงซีสุ่ยชะงักไป “เจ้ามีสิ่งที่ต้องการให้ทัพสยบสมุทรช่วยอย่างนั้นหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้า

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็คุยกับผู้นำทัพให้เจ้าได้ เขาน่าจะ……”

“ไม่ !” ซูเฉินส่ายหน้า “เรื่องนี้เปราะบางยิ่งนัก ข้าต้องการคนที่เชื่อมั่นในตัวข้าอย่างแท้จริง และยินดีที่จะรับการสูญเสียแทนข้าด้วย”

คำตอบนั้นทำให้เจียงซีสุ่ยต้องหรี่ตา “ปฏิบัติการทางทหารหรือ ?”

ซูเฉินพยักหน้า “ในเมื่ออาณาจักรประกายวารีก็คันไม้คันมืออยากจะออกรบอยู่แล้ว แต่พวกปักษาไม่ได้เป็นเป้าหมายที่ยังใช้งานได้อยู่อีกต่อไป แล้วทำไมไม่เพ่งเล็งไปที่ฝ่ายอื่นแทนล่ะ”

จีหานเยี่ยนรีบสวนทันควัน “ซูเฉิน เจ้าอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่ชาวมนุษย์และชาวสมุทรไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน แม้ว่าจะมีการปะทะกันบ้างตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แต่โดยมากแล้วพวกเราก็ญาติดีต่อกัน”

อาณาจักรประกายวารีต่างไปจากอาณาจักรอื่น ๆ เพราะพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับเพื่อนบ้านอย่างเผ่าท้องสมุทร

“ข้ารู้ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าไปปะทะกับชาวสมุทร ก็แค่พวกอสูรในเขตแดนของพวกเขาเท่านั้น” ซูเฉินกล่าว

เมื่อเจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา อันที่จริงแล้วอาณาจักรประกายวารีกับเผ่าท้องสมุทรน่ะร่วมมือกันเพื่อการนี้อยู่แล้ว”

อาณาจักรประกายวารีกับชาวสมุทรไม่เป็นศัตรูต่อกันก็เพราะในน้ำนั้นยังมีสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขาเวียนว่ายอยู่ ซึ่งก็คืออสูรทะเลนั่นเอง

อสูรทะเลเหล่านี้แข็งแกร่งจนแทบจะเหนือจินตนาการ ร่างกายของพวกมันมีขนาดมโหฬาร และมักเดินทางกันเป็นฝูง ในแง่หนึ่งแล้ว อสูรเหล่านี้น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรที่พบได้บนบกเสียอีก

มีเพียงอสูรบนบกไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่จะมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นได้ อสูรที่มีขนาดเทียบเท่าได้กับคางคกพันพิษที่มีตัวตนอยู่ในน้ำนั้นมีเพียงหนึ่งหยิบมือเท่านั้น

แน่นอนว่าเพียงเพราะมีขนาดใหญ่กว่านั้นไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะต้องแข็งแกร่งกว่าเทพอสูร ในธรรมชาติยังมีอสูรกายอยู่อีกมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายของอสูรที่อาศัยอยู่ในน้ำเหล่านี้ได้เปรียบกว่าอสูรอื่น ๆ ในระดับเดียวกันอยู่มากทีเดียว

อสูรทะเลแข็งแกร่งเหนือไปกว่าอสูรทุกชนิดที่มีชีวิตอยู่บนพื้นดินและมีพลังในระดับเดียวกับมัน

ดังนั้นเจ้าอสูรกายในทะเลจึงเทียบได้กับราชันอสูรกายบนบก ส่วนราชันอสูรกายก็เทียบได้กับจักรพรรดิอสูรกาย ในขณะที่จักรพรรดิอสูรกายก็เทียบได้กับราชันจักรพรรดิอสูร และราชันจักรพรรดิอสูรก็เทียบเท่ากับเทพอสูรนั่นเอง

เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลนั้นยากต่อการรอดชีวิตมากเพียงไร

เทพอสูรไม่ได้มีตัวตนอยู่ในทะเลก็จริง แต่ในนั้นมีราชันจักรพรรดิอสูรอยู่จำนวนมาก

การที่เผ่าท้องสมุทรสามารถต้านทานต่อการรุกรานรายวันของราชันจักรพรรดิอสูรได้ และมีชีวิตอยู่รอดมานั้นก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งนัก

และส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้พวกเขารอดมาได้นั้นก็คือการช่วยเหลือที่ได้รับจากอาณาจักรประกายวารีนั่นเอง

แม้ว่าชาวสมุทรจะอาศัยอยู่ในผืนน้ำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่เหนือน้ำหรือบนพื้นดินไม่ได้ พวกเขาเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก เพียงแต่ชาวสมุทรชอบที่จะอยู่ในน้ำมากกว่าก็เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาย้ายขึ้นมาอยู่บนบกจริง ๆ

เพื่อป้องกันไม่ให้อสูรทะเลได้โอกาส อาณาจักรประกายวารีจึงเลือกที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยชาวสมุทรและป้องกันเหล่าอสูรร้ายเอาไว้

ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชาวมนุษย์กับเผ่าท้องสมุทรจึงถือว่าดีทีเดียว แม้ว่าจะมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้บ้างในบางครั้ง แต่โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ก็ถือว่าเป็นไปในทางที่ดี

เจียงซีสุ่ยเองก็ไม่ได้มีปัญหากับการที่ซูเฉินต้องการจะโจมตีอสูรทะเล

“แล้วพวกราชันจักรพรรดิอสูรล่ะ ?” ซูเฉินถาม

“เรื่องนั้น… ถ้าแผนนี้เหมาะสมและไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เราค่อยคิดเรื่องนั้นกันก็ได้” เจียงซีสุ่ยหยุดคิดก่อนจะตอบกลับมา

ซูเฉินถามกลับไปอีกครั้ง “แล้วถ้ามีราชันจักรพรรดิอสูรอีกมากล่ะ แล้วถ้าเรามุ่งเป้าไปยังรังของพวกมัน เจ้าว่าอย่างไร ?”

เจียงซีสุ่ยกับจีหานเยี่ยนตะลึงทันทีที่ได้ยินดังนั้น