ภาคที่ 5 บทที่ 183 ข้อตกลง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 183 ข้อตกลง

เจียงซีสุ่ยยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของซูเฉินอย่างอดไม่ได้

เขาไข้ขึ้นหรือเปล่านะ

แม้แต่จีหานเยี่ยนก็ดูจะเสียท่าทีไป นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงตะกุกตะกัก “ซูเฉิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ราชันจักรพรรดิอสูรในทะเลน่ะไม่ต่างไปจากเทพอสูรที่บนบก มันเป็นไปไม่ได้ ! เจ้าจะส่งคนพวกนั้นไปตายนะ !”

ทว่าซูเฉินกลับส่ายหน้า “นั่นมันคือความจริงที่บิดเบี้ยวไปต่างหากล่ะ ที่เทพอสูรพวกนั้นอยู่ในที่กำบังไม่ใช่เพราะมันคือเทพอสูร แต่เพราะพวกมันแข็งแกร่งเกินไปจนถึงขั้นที่ทวีปนี้ไม่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากพอให้กับมัน นั่นคือสาเหตุที่เทพอสูรจำเป็นต้องจำศีลอย่างไรล่ะ ดังนั้นสภาพแวดล้อมรอบตัวเราจึงมีขีดจำกัดให้กับความแข็งแกร่งของพวกมันอยู่แล้ว หากราชันจักรพรรดิอสูรเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระที่ใต้ทะเลนั่นจริง ๆ นั่นหมายความว่าพวกมันก็จะต้องอ่อนแอยิ่งกว่าเทพอสูรเสียอีก”

เจียงซีสุ่ยตอบ “เจ้าคงไม่เข้าใจ การใช้พลังต้นกำเนิดของพวกมันอาจด้อยกว่าเทพอสูร แต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างใต้ผืนน้ำนั้นส่งเสริมพลังของพวกมันได้เป็นอย่างดีทีเดียว ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็นการทำลายล้างของอสูรพวกนี้ด้วยตาตัวเองก็คงไม่มีวันเข้าใจหรอก”

ซูเฉินสวนกลับ “ข้าเคยเผชิญหน้ากับเทพอสูรมาแล้ว”

จากนั้นชายหนุ่มก็เผยยิ้ม “แน่นอนว่าข้ารู้อยู่แล้วด้วยว่าราชันจักรพรรดิอสูรพวกนั้นไม่ได้รับมือกันได้ง่าย ๆ ต่อให้พวกมันมีพลังเทียบเท่ากับเทพอสูร แต่ข้าต้องทำแบบนี้เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ อย่าห่วงเลย ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้าเบนความสนใจมันชั่วคราวเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกนั้นหรอก”

“แต่นั่นก็เสี่ยงมากอยู่ดี พ่อข้าไม่มีทางเห็นด้วยแน่ ข้าเองก็เหมือนกัน” เจียงซีสุ่ยกล่าวพร้อมกับส่ายหน้า

“ท่านจะต้องเห็นด้วยแน่” ซูเฉินพูดขึ้นอย่างใจเย็น

เจียงซีสุ่ยประหลาดใจ “ทำไมกัน ?”

“เพราะเราจะคุยกันเรื่องนี้ยังไงเล่า”

เจียงซีสุ่ยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกู่ต่อไปอีกสามวัน ไม่มีใครรู้ว่าเขากับซูเฉินคุยอะไรกันในช่วงสามวันนี้

แต่เมื่อชายหนุ่มกลับออกไปพร้อมกับจีหานเยี่ยนสามวันหลังจากนั้น ท่าทีของเขาก็ดูมั่นใจและผ่อนคลายมากขึ้น

ส่วนซูเฉินนั้นดูเหมือนว่าจะยังอยู่ที่นี่ต่อไป

เขาอยู่กับกู่ชิงลั่วและทำการค้นคว้าไปพร้อม ๆ กัน ภายในพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงสองเดือนแล้ว

เรื่องนี้ทำให้ตระกูลฉู่ต้องปวดหัวนัก

ซูเฉินทำภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไรกัน ? เมื่อธุระจบก็ควรออกไปทันทีไม่ใช่หรือ

พวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารเขาอีกแล้ว

หลังจากความล้มเหลวของฉู่ไหวเหลียง ความตั้งใจที่จะสังหารซูเฉินของตระกูลฉู่ก็ลดลงไปอีกมาก และที่สำคัญที่สุด ซูเฉินยุติการต่อรองลงได้และไม่ได้เปิดเผยเคล็ดวิชาใด ๆ เลยด้วย กลายเป็นว่าชายหนุ่มดูน่าเชื่อถือและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก

สำหรับตระกูลฉู่แล้ว คำสาปทั้งสามคือสิ่งที่สำคัญอย่างที่สุด แต่ในสายตาของซูเฉินมันเป็นเพียงเรื่องที่เขาเก็บไว้คิดยามว่างเท่านั้น

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือความแข็งแกร่งของซูเฉิน

เขาบรรลุถึงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ชายหนุ่มยังเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสิบอีกด้วย

พลังจากการฝึกทั้งสองรวมกันนั้นทำให้เขาพัฒนาพลังโดยรวมให้เพิ่มขึ้นไปอีกมาก

ดูเหมือนว่าพวกผู้ร้ายจะรู้สถานการณ์แล้ว และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงวิ่งวุ่นหาเรื่องซูเฉินอยู่ต่อไป ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจังไม่ค่อยมีโอกาสได้ทดลองใช้พลังนี้กับใคร

แต่ตระกูลฉู่รู้ว่า หากซูเฉินสามารถสังหารฉู่ไหวเหลียงโดยที่มีพลังด่านสู่พิสดารได้ แปลว่าการจะสังหารเขานั้นในตอนนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่าฉู่หยวนจะต้องเป็นคนลงมือเองเท่านั้น

พวกเขาไม่หลงเหลือแรงจูงใจอีกต่อไป อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็ยังแข็งแกร่งเหลือเกิน ดังนั้นความปรารถนาที่จะปิดปากซูเฉินจึงลดลงไปด้วย

แต่ตระกูลฉู่ก็รู้ว่าตราบใดที่ซูเฉินยังอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกู่ ตระกูลกู่ก็จะยังคงคิดหาวิธีการที่จะจัดการกับคำสาปเหล่านั้นต่อไป

ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลกู่จะรับปากอะไรกับซูเฉินที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจและเริ่มหาวิธีการบรรลุ

ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้นแล้ว คงไม่มีใครกล้าพูดได้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา

ดังนั้นตระกูลฉู่จึงเป็นกังวลเหลือเกินและจับตาดูซูเฉินอย่างใกล้ชิด แต่การที่ต้องจับจ้องเขาตลอดเวลาเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกัน !

สุดท้ายซูเฉินก็ได้รับเชิญโดยตระกูลฉู่อีกครั้งในฐานะแขก และฉู่หยวนก็ถามไถ่อย่างสุภาพถึงแผนการเดินทางออกจากที่นี่

ซูเฉินหยุดคิดเล็กน้อย “ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ บรรพชนลำดับที่สี่ของตระกูลกู่กล่าวบางอย่างกับข้า”

“นางบอกว่าอย่างไรหรือ ?” ฉู่หยวนไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ซูเฉินถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงตอบกลับไปได้เพียงเท่านั้น

ฝ่ายซูเฉินตอบกลับมา “นางต้องการให้ข้ากับกู่ชิงลั่วมีลูกด้วยกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่หยวนก็ถึงกับผงะและเปลี่ยนสีหน้าไป

กู่ซินหรงพยายามที่จะเข้าหาโดยทางอ้อม !

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ!

หากซูเฉินกับกู่ชิงลั่วมีลูกด้วยกัน สายเลือดของเด็กคนนั้นก็จะต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของคำสาปทั้งสาม เมื่อมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หากซูเฉินไม่ต้องการให้ลูกและพวกเขาเองตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลฉู่ เขาจะต้องหาทางแก้คำสาปนั้นอย่างแน่นอน

นางกำลังคิดจะใช้ความรักของพ่อจากซูเฉินเพื่อบังคับเขา !

แต่การที่สามีภรรยาจะมีลูกด้วยกันนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว คำขอนั้นไม่ใช่คำขอที่มากเกินไปเลยไม่ใช่หรือ ?

ฉู่หยวนไม่รู้จะตอบอย่างไร หลังจากเงียบไปเขาจึงได้แต่ถามขึ้น “แล้วท่านซูสนใจไหมเล่า ?”

“ข้าหรือ ข้าไม่ได้ใส่กับเรื่องนั้นมากนักหรอก” ซูเฉินพูดด้วยท่าทางเฉยเมย “หลายอย่างที่ข้าต้องทำอาจทำให้ใครหลายคนไม่พอใจได้ การมีลูกจะกลายเป็นจุดอ่อนของข้า”

“ถูกต้อง ! เหมือนกันกับจูเซียนเหยา ที่ตอนนี้เป็นเหมือนปัญหาหนึ่งของท่านอย่างไรล่ะ ท่านทะเยอทะยานยิ่งนัก จึงไม่สามารถปล่อยให้เรื่องพวกนั้นมาดึงความสนใจไปได้ !” ฉู่หยวนดูเหมือนจะ ‘บรรลุ’ ในที่สุดและพยายามที่จะโน้มน้าวซูเฉินด้วยท่าทางตื่นเต้น

“แต่ไม่ช้าก็เร็ว… ข้าก็จำเป็นต้องมีลูกอยู่ดี” คำที่ซูเฉินกล่าวต่อไปนั้นไม่ต่างจากเอาน้ำที่กำลังเดือดพล่านสาดเข้าใส่ฉู่หยวน “ข้าคงอยู่ข้างกู่ชิงลั่วได้ไม่นานนัก นางตัวคนเดียวและอาจเบื่อได้ ดังนั้นการมีลูกสักคนให้นางสนใจคงเป็นเรื่องที่ดี”

นางจะโดดเดี่ยวได้อย่างไรกัน !

กู่ชิงลั่วมีบริวารมากมายที่จะอยู่ใกล้ชิดกับนางตลอด ! คนอย่างนางไม่มีทางที่จะเหงาได้เลย !!

ฉู่หยวนกรีดร้องอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด แต่เขาก็ต้องแสร้งยิ้มและหัวเราะ “จริงของท่าน แต่……”

เขาเบือนหน้าและไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรต่อไป

ซูเฉินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “แต่พอข้าคิดว่าสุดท้ายลูกของตัวเองจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฉู่ไม่ต่างไปจากกู่ชิงลั่ว ข้าก็ลังเล ถ้าเป็นไปได้ ข้าคงอยากให้ลูกข้าไม่ต้องมีสายเลือดของตระกูลกู่จะดีกว่า บางทีข้าอาจลองค้นคว้าเรื่องนี้ดูด้วย”

ฉู่หยวนได้ยินดังนั้นก็ดีใจ “เรื่องนั้นเป็นไปได้แน่”

การหาทางปิดผนึกสายเลือดของลูกนั้นก็เป็นวิธีแก้สถานการณ์วิธีหนึ่งเช่นกัน

ทว่าซูเฉินกลับกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่นั่นก็จะไม่ยุติธรรมกับเด็ก ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก และรับปากจะหาวิธีการพัฒนาการฝึกให้กับหลายฝ่าย แปลว่าข้าคงไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องนี้ ถ้าข้ามีลูกก่อนที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าเกรงว่าทุกอย่างจะต้องจบสิ้นลงทั้งหมด”

อย่าเปลี่ยนใจอยู่เรื่อยอย่างนี้จะได้ไหม ! ฉู่หยวนรู้สึกเหมือนจะบ้า

เขามองซูเฉินด้วยท่าทีเฉยเมยแล้วกล่าวกับชายหนุ่ม “ท่านซู ได้โปรดบอกด้วยว่าท่านกำลังคิดจะทำอย่างไรกันแน่ ?”

เขารู้ว่าซูเฉินกำลังจงใจทำแบบนี้

การที่เขาพูดเรื่อยเปื่อยแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างอย่างแน่นอน

ซูเฉินหัวเราะ “ข้ามีวิธีหนึ่งที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดนี่ได้”

“วิธีที่ว่าคืออะไรหรือ ?”

ชายหนุ่มจิบเหล้าและกินเนื้อเข้าไปชิ้นหนึ่ง พอดีกับที่ฉู่หยวนกำลังจะหมดความอดทน ซูเฉินก็พลันกล่าวขึ้น “ให้กู่ชิงลั่วเดินทางไปกับข้า”

ซูเฉินกำลังของให้ฉู่หยวนยอมปล่อยกู่ชิงลั่วออกไปจากอาณาจักรภูผาสูญนั่นเอง !

เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว

ฉู่หยวนส่ายหน้าทันที “ไม่มีทาง หน้าที่ของตระกูลฉู่ก็คือจับตาดูตระกูลกู่และคอยระวังไม่ให้สายเลือดของตระกูลกู่ถูกเผยแพร่ไปสู่ผู้อื่น”

“ท่านกังวลว่าตระกูลกู่จะสร้างอิทธิพลที่ข้างนอกนั้นและเริ่มจะเรืองอำนาจอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ? นี่ไม่เหมือนกับการที่สมาชิกตระกูลกู่คนอื่นที่หนีออกไปอย่างที่เคยเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทำสำเร็จเสียด้วย เวลาผ่านมาร่วมสามพันปีแล้ว สมาชิกตระกูลกู่เลิกคิดอย่างนั้นไปนานแล้วละ”

ฉู่หยวนกล่าวตอบอย่างใจเย็น “นั่นก็เพราะพลังของพวกเขาถูกพวกข้าจำกัดไว้ หากวันหนึ่งข้างหน้านั้นไม่มีการกดดันจากทางการอีกต่อไป อิทธิพลของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น และตระกูลกู่ก็จะต้องการอำนาจกลับมาในไม่ช้า อย่างไรแล้วความทะเยอทะยานก็ผูกติดอยู่กับความแข็งแกร่งอยู่แล้ว”

ซูเฉินต้องยอมรับว่าที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริงอยู่บางเช่นกัน

ตอนนี้สมาชิกตระกูลกู่ไม่มีความทะเยอทะยานก็เพราะพลังของพวกเขาถูกกดไว้

หากวันหนึ่งอิทธิพลของตระกูลกู่แผ่ไปยังคนหมู่มากได้ พวกเขาก็จะเริ่มทวงคืนอำนาจและความรุ่งเรืองที่เคยมีกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นอาจใช้เวลานานถึงสามพันปี

“เราค่อยพูดกันเรื่องลูกหลังจากนี้ก็ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ข้าคงหาทางเอาสายเลือดออกไปจากลูกข้าอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็จะส่งลูกข้ากลับมายังอาณาจักรภูผาสูญ เพื่อที่ตระกูลฉู่จะได้คอยดูแล ท่านว่าอย่างไรล่ะ ?” ซูเฉินกล่าวด้วยความจริงใจ “ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นผู้ที่รับหน้าที่ในการดูแลกู่ชิงลั่วอย่างไรล่ะ”

ฉู่หยวนตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเชื่อในตัวท่านซู แต่สถานการณ์มันไม่ง่ายอย่างที่คิดน่ะสิ การกำกับดูแลของตระกูลฉู่ที่กระทำต่อตระกูลกู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าที่ เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจร่วมกันของเจ็ดอาณาจักร หากข้าปล่อยนางไป นั่นก็จะเป็นการละเมิดข้อตกลง และอาจถูกมองว่าเป็นการก่อกบฏได้ ผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นร้ายแรงนัก !”

ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น “ข้ารู้ แต่ข้อตกลงนี้ทำขึ้นโดยมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ก็สามารถละเมิดมันได้เหมือนกัน ตราบใดที่ทั้งเจ็ดอาณาจักรเห็นด้วยกับการละเว้นในเรื่องนี้ ก็ไม่น่ามีปัญหาใช่ไหม ?”

ฉู่หยวนพูดไม่ออก

แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็ยังพยักหน้าให้กับซูเฉิน

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นซูเฉินก็หัวเราะขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดี อ้อ มีอย่างหนึ่งที่ข้าลืมบอกท่าน ฝ่าบาท”

“อะไรหรือ ?” ฉู่หยวนชะงักไป ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่สบายใจนัก

ซูเฉินกล่าวต่อไป “อีกหกอาณาจักรที่เหลือต่างตกลงเรื่องนี้กับข้าหมดแล้ว”

นี่มันอะไรกัน !

ฉู่หยวนแทบจะกระโจนออกจากที่นั่ง

“เป็นไปไม่ได้ !”

“ดูนี่ก่อน ฝ่าบาท” ซูเฉินวางม้วนกระดาษที่ถูกปิดผนึกไว้จำนวนหกม้วนต่อหน้าฉู่หยวน

ทั้งหกม้วนนี้มาจากอาณาจักรทั้งหกแห่งและถูกลงนามโดย หลินเมิ่งเจ๋อแห่งอาณาจักรหลงซาง หลี่หวู่อี้แห่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย ตระกูลตูแห่งอาณาจักรเมฆาเคลื่อน ตระกูลเฉิงแห่งอาณาจักรนกฮูก และเฟิงจู่อิ่งแห่งอาณาจักรวายุโหมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มองเพียงแวบเดียวฉู่หยวนก็รู้ว่าเนื้อหาในจดหมายนั้นบ่งบอกว่า หากกู่ชิงลั่วไม่ได้เผยแพร่สายเลือดให้กับบุคคลภายนอก พวกเขาก็จะยอมให้นางออกไปจากเขตแดนของอาณาจักรภูผาสูญ

บนตัวหนังสือทั้งหกนั้นถูกประทับไว้ด้วยตราโลหิตของจริง

ตราโลหิตเหล่านั้นบ่งชี้ถึงการสนับสนุนของราชวงศ์ทั้งหลาย เพื่อจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดหรือเจตนาที่เป็นเท็จนั่นเอง

ฉู่หยวนตัวสั่นขณะอ่านจดหมายเหล่านั้น… สมองของเขาว่างเปล่าไปในทันที

ไม่ใช่เพราะเขาต้องปล่อยกู่ชิงลั่วไป แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของซูเฉินนั้นคาดเดาได้ยากเหลือเกิน

เขาเหลือบมองซูเฉินและถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ “บอกข้าได้ไหมว่าท่านทำสำเร็จได้อย่างไรกัน ?”