บทที่ 1439 : กระบี่ฑูตสวรรค์หกเล่ม
สำนักกระบี่หลิงหยุน!
ยังมิทันสิ้นเสียงหลิงหยุนดีเสียงร้องตะโกนเรียกสำนักกระบี่หลิงหยุนก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน!
“หลี่เพียวหยางคาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
“กัวผิง..เจิ้งซิ่วยี่.. คาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
“ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนคาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
เวลานี้ศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดคนของสำนักกระบี่หลิงหยุนต่างก็รีบทำการคาราวะหลิงหยุนพร้อมเรียกขานเขาเป็นเจ้าสำนักในทันที ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจกับฐานะใหม่ของตนเอง และไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกหลิงหยุนสังหารอีกด้วย..
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับผายมืออกและร้องตะโกนบอกทุกคนว่า “เอาล่ะ.. พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นได้!”
“น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
หลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วสีหน้าและแววตาของทุกคนก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด แววตาหวาดกลัวเคร่งเครียดได้มลายหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงแค่ความตื่นเต้นดีใจให้เห็นเท่านั้น
“สำนักกระบี่หลิงหยุนย่อมมีกฏระเบียบของตนเองเพียงแต่เวลานี้ข้ายังมิมีเวลาร่างกฏต่างๆออกมา ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่ข้าจะร่างกฏใหม่ขึ้นมา ระหว่างนี้ขอให้พวกเจ้ายึดกฏเดิมที่เคยใช้ที่นี่ไปก่อน เรื่องกฏใหม่หาใช่เรื่องเร่งร้อนอันใดไม่!”
ยอดฝีมือเหล่านี้เพิ่งจะหันมาสวามิภักดิ์ตนเองในช่วงเวลาสั้นๆนี้ หลิงหยุนต้องการให้ทุกคนได้มีเวลาปรับตัวเสียก่อน จึงยังไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆมากนัก
“หลี่เพียวหยาง..นับจากนี้ไปเจ้าคือผู้คุ้มกฏของสำนักกระบี่หลิงหยุน!” “กัวผิง..เจิ้งซิ่วยี่.. พวกเจ้าสองคนรับตำแหน่งพ่อบ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ภายในสำนักกระบี่หลิงหยุน!”
“พวกเจ้าทั้งสามล้วนคุ้นเคยที่นี่มากกว่าข้าฉะนั้นแล้วเรื่องราวต่างๆภายในสำนักกระบี่หลิงหยุน ข้าขอมอบให้พวกเจ้าทั้งสามคนช่วยกันดูแลจัดการ”
แน่นอนว่าทั้งสามย่อมยินดีที่จะทำหน้าที่นี้อย่างยิ่ง..
หลิงหยุนยังกำชับอีกว่า“ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนทุกคนฟังข้าให้ดี.. แม่นางผู้นี้นามว่าไป๋เซียนเอ๋อ ส่วนผู้นี้นามว่าเย่ซิงเฉิน คำสั่งของพวกนางย่อมเปรียบเสมือคำสั่งของข้า พวกเจ้าทั้งหมดจักต้องเชื่อฟัง และห้ามขัดขืนคำสั่งของพวกนางโดยเด็ดขาด!”
“พวกเราน้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
เมื่อเห็นทุกคนเชื่อฟังคำสั่งของตนเช่นนี้หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าด้วยความพอใจ “เอาล่ะ.. เวลานี้ข้ายังมิมีสิ่งใดที่สำคัญ พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไป ผู้ใดหิวก็ไปหากิน ผู้ใดต้องการพักผ่อน ก็ไปพักผ่อน ผู้ใดอยากฝึกวิชา ก็จงไปเสาะหาสถานที่ฝึกวิชาตามใจชอบ..”
“หากข้ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงข้าจักให้ผู้คุ้มกฏหลี่เพียวหยาง และพ่อบ้านทั้งสองไปบอกกล่าวกับพวกเจ้าเอง!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางหลี่เพียวหยาง..
“ท่านเจ้าสำนัก..คะ.. แค่นี้เองหรอกรึ”
หลี่เพียวหยางคิดว่าหลิงหยุนจะต้องใช้เวลาในการอบรมศิษย์สำนักหลิงหยุนนานกว่านี้แตเ่มื่อเห็นหลิงหยุนไล่ให้ทุกคนแยกย้ายไปเช่นนี้ เขาจึงอดที่ถามออกมาไม่ได้
นี่นับเป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่งของสำนักกระบี่หลิงหยุนไม่ใช่รึนี่คือการประกาศก่อตั้งสำนักกระบี่หลิงหยุน เหตุใดจึงมิได้มีพิธีกรรมใดๆ?
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“ที่เหลือจากนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าผู้คุ้มกฏหลี่เพียวหยาง!”
“เอ่อ..”
หลี่เพียวหยางถึงกับประหลาดใจเป็นที่สุดนั่นเพราะคำตอบของหลิงหยุนนั้น เท่ากับว่าได้มอบอำนาจในการดูแลสำนักกระบี่หลิงหยุนให้กับตน!
“หลี่เพียวหยางขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!ข้าจะทุ่มเททำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ จะมิทำให้ท่านเจ้าสำนัก…”
หลิงหยุนคร้านที่จะฟังหลี่เพียวหยางพล่ามไร้สาระอีกเขาจึงรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับพูดแทรกขึ้นทันที
“เจ้ารีบไปทำหน้าที่ของเจ้าได้แล้ว!”
หลี่เพียวหยางชะงักไปทันทีและรีบหันไปสั่งศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนทุกคนว่า “ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนทุกคน รีบทำการคาราวะขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ไว้ชีวิต แล้วแยกย้ายกันไปได้!”
ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนทั้งหมดรีบคุกเข่าทำการคาราวะขอบคุณหลิงหยุนทันทีจากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไปตามคำสั่ง..
“หลี่เพียวหยางที่ผ่านมาในสำนักกระบี่เทียนซาน พวกเจ้าสามคนรับผิดชอบหน้าที่ใดบ้าง”
หลังจากที่ศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนแยกย้ายกันไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปถามหลี่เทียนหยางที่อยู่ข้างๆ
หลี่เพียวหยางยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า“ท่านเจ้าสำนัก.. เนื่องจากพวกเราต่างก็มิได้แซ่ตี๋ จึงมิได้มีอำนาจใดในสำนักกระบี่เทียนซานนี้เลย อีกทั้งยังมิเคยได้รับประโยชน์ใดอีกด้วย..”
“แม้ข้าจะเป็นผู้คุ้มกฏก็จริงแต่นอกเหนือจากการฝึกฝนวิชาแล้ว ก็มีหน้าที่เพียงแค่ให้คำชี้แนะกับศิษย์คนอื่นๆที่มิได้แซ่ตี๋เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่หลิงหยุนเวลานี้..”
หลิงหยุนฟังแล้วแต่นึกดีใจ‘มิน่า.. ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อฟังเจ้ามากทีเดียว เช่นนี้ก็ดี.. จะได้มิมีผู้ใดสร้างปัญหาให้กับข้าในคราวหลัง!’
“ส่วนกัวผิงก็รับผิดชอบดูแลเรื่องในชีวิตประจำวันของเหล่าศิษย์และเจิ้งซิ่วยี่ดูแลโกังเก็บของภายในสำนัก”
หลิงหยุนพยักด้วยความพอใจ“เช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเจ้าทั้งสามนอกจากจะคุ้นเคยกับศิษย์ที่เหลือทั้งหมดแล้ว ยังคุ้นเคยกับภายในสำนักกระบี่เทียนซานเป็นอย่างดีด้วยสินะ!”
หลี่เพียวหยางตอบกลับไปทันที“ใช่แล้วท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ที่เหลือทั้งหมดล้วนแล้วแต่เชื่อฟังข้า ส่วนกัวผิงกับเจิ้งซิ่วยี่ก็คุ้นเคยกับพื้นที่ภายในสำนักกระบี่เทียนซานยิ่ง!”
จากคำบอกเล่าของหลี่เพียวหยางในเมื่อกัวผิงรับผิดชอบเรื่องชีวิตประจำวันของเหล่าศิษย์ ส่วนเจิ้งซิ่วยี่รับผิดชอบดูแลโกังเก็บของภายในสำนักกระบี่เทียนซาน เช่นนี้แล้วการเบิกจ่ายทรัพยากรในการฝึกฝนของศิษย์ภายในสำนัก ย่อมต้องผ่านพวกเขาทั้งสองคน
“ถ้าเช่นนั้น..ข้าจะมอบหมายให้พวกเจ้าทั้งสามคน ไปจัดการลบร่องรอยของตระกูลตี๋ภายในสำนักกระบี่เทียนซานออกให้หมดภายในสามวัน พวกเจ้าจะทำได้หรือไม่”
หลี่เพียวหยางมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ พวกเราทั้งสามจะจัดการรื้อป้ายสำนักกระบี่เทียนซานลง และสร้างป้ายสำนักกระบี่หลิงหยุนขึ้นมาแทนโดยเร็ว!”
แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าพร้อมกับอธิบายว่า“ข้ามิได้หมายถึงเพียงแค่ป้ายชื่อสำนักเท่านั้น แต่ข้าหมายถึงทุกที่ที่มีร่องรอยชวนให้นึกถึงตระกูลตี๋ ให้จัดการทำลายทิ้งให้หมด ข้าไม่ต้องการให้อยู่รกหูรกตาข้า..”
“น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
หลี่เพียวหยางเข้าใจได้ในทันทีความหมายของหลิงหยุนคือเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มิให้หลงเหลือร่องรอยของตระกูลตี๋อยู่ในที่นี้ และไม่มีสิ่งใดชวนให้นึกถึงสำนักกระบี่เทียนซานอีกแล้ว สำนักกระบี่เทียนซานจักต้องสูญหายไปจากยุทธภพอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางเจิ้งซิ่วยี่ว่า“โกังเก็บทรัพยากรในการฝึกฝนของสำนักกระบี่เทียนซานอยู่บนยอดเขาปฐพีใช่หรือไม่”
“เรียนท่าเจ้าสำนัก..ใช่แล้ว!”
เจิ้งซิ่วยี่ตอบกลับไปอย่างซื่อสัตย์“แต่ยังมีอีกสองแห่งคือที่ยอดเขามนุษย์และยอดเขาเทียนเฟิง โกังบนยอดเขามนุษย์นั้นเก็บทรัพยากรฝึกฝนพื้นๆสำหรับเหล่าศิษย์ทั่วไป ส่วนโกังบนยอดเขาเทียนเฟิงนั้น จัดเตรียมไว้สำหรับตี๋เสี่ยวเจินกับตี๋ชิงโหวเท่านั้น ส่วนโกังบนยอดเขาปฐพีนั้นเป็นโกังใหญ่”
“เอาล่ะ..พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ และเจิ้งซิ่วยี่ ต่างก็เหาะตรงไปยังยอดเขาปฐพีซึ่งเป็นโกังเก็บทรัพยากรหลักของสำนักกระบี่เทียนซาน หลิงหยุนดีอกดีใจยิ่งนักนั่นเพราะทรัพยากรทั้งหมดที่อยู่ภายในโกังแห่งนี้ มากมายพอที่จะสามารถแจกจ่ายให้แก่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังได้มากถึงสามร้อยกว่าคนเลยทีเดียว ยังไม่นับสมบัติอีกมากมายที่อยู่ภายใน
แทบมิต้องพูดถึงสมบัติอื่นเพราะในเวลานี้ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้น เขาพบกระบี่ฑูตสวรรค์ถึงหกเล่มอยู่ภายในโกังแห่งนี้ แต่ละเล่มล้วนมีขนาดที่แตกต่างกัน แต่มีสองเล่มที่มีขนาดเท่ากับกระบี่ฑูตสวรรค์ที่เขาได้มาจากโรงประมูลตระกูลเย่
“เปิดประตู!”หลิงหยุนร้องตะโกนสั่งให้เจิ้งซิ่วยี่เปิดประตูทันที
และทันทีที่ประตูเปิดออกหลิงหยุนก็พุ่งตรงเข้าไปหากระบี่ฑูตสวรรค์ทั้งหกเล่มอย่างรวดเร็ว แล้วรีบรวบทั้งหมดเก็บเข้าไปในแหวนจักรวาลของตนทันที
“ไม่เลวเลย!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างมีความสุขเพราะกระบี่ฑูตสวรรค์ทั้งหกเล่มรวมกับของเขาอีกหนึ่งเป็นเจ็ดนั้น จะสามารถนำไปหลอมเป็นกระบี่เหินชั้นเลิศได้ถึงสิบสองเล่มเลยทีเดียว!
นับว่าเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่เลวทีเดียว!
นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีโอสถเขาหลงหู่และโอสถอื่นๆอีกหลากหลายชนิดทีเดียว แต่เนื่องจากสำนักกระบี่เทียนซานเชี่ยวชาญเรื่องกระบี่ จึงมิได้เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถ หลิงหยุนจึงคาดเดาว่าโอสถเหล่านี้คงจะซื้อหามา หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนมา
หลิงหยุนจึงได้แต่หันไปถามเจิ้งซิ่วยี่ด้วยความสงสัย“เหตุใดสำนักกระบี่เทียนซานจึงต้องเก็บโอสถไว้มากมายถึงเพียงนี้”
“เรียนท่านเจ้าสำนักโอสถเหล่านี้จัดเตรียมไว้ให้กับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ เพื่อช่วยให้ขั้นพลังของเขาพัฒนาได้รวดเร็วขึ้น!”
“ช่างไร้สาระยิ่งนัก!”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ความจริงแล้ววิชาบ่มเพาะพลังของสำนักกระบี่เทียนซานก็นับว่าดีไม่น้อย เพียงแต่การฝึกฝนที่ถูกต้องนั้น ควรเน้นที่การกลั่นกระบี่ลมปราณ แม้นจะต้องใช้เวลานาน แต่หากสามารถทำได้สำเร็จ พลังจู่โจมก็จะน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!”
“หรือไม่ก็หมั่นฝึกฝนพัฒนาขั้นพลังของตนเองให้แข็งแกร่งเมื่อขั้นพลังเพียงพอจึงค่อยฝึกควบคุมกระบี่เหินเพื่อให้เป็นอาวุธจู่โจมที่แข็งแกร่งของตน!”
“การอาศัยแต่โอสถเหล่านี้ในการช่วยพัฒนาขั้นพลังทำให้กระบี่ลมปราณของศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานแต่ละคนไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควรจะเป็น! ช่างน่าเสียดายนัก..”
เจิ้งซิ่วยี่ตอบกลับมาทันที“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ชี้แนะ เพียงแต่พลังชีวิตบนโลกช่างมีอยู่น้อยนิดเสียเหลือเกิน หากไม่พึ่งพาโอสถเหล่านี้ ก็คงต้องใช้เวลานานมาก..”
“นั่นสินะ!ที่เจ้าพูดก็หาได้ผิดไม่..” หลิงหยุนตอบกลับพร้อมกับยกโอสถต่างๆขึ้นส่องดู ในขณะเดียวกันหลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่ากระบี่ต่างๆภายในโกังแห่งนี้ทำจากโลหะหลากหลายชนิด มีทั้งโลหะดำ เงิน และอีกหลากหลาย
“ซิงเฉินเซียนเอ๋อ พวกเจ้าสองคนช่วยข้าเก็บทุกอย่างที่เป็นโลหะกลับไป!”
เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน และไป๋เซียนเอ๋อ ก็กวาดทุกอย่างที่เป็นโลหะไปจนเกลี้ยงโกดัง
��