บทที่ 1440 : เหตุผลสามข้อ
“เอาล่ะเฉิงซิ่วยี่เจ้ากลับไปรวมกับหลี่เพียวหยางและกัวผิงก่อน หากข้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมจะเรียกเจ้าเอง..”
หลิงหยุนร้องสั่งเจิ้งซิ่วยี่หลังจากที่จัดการสำรวจสมบัติและทรัพยากรต่างๆภายในโกดังแล้ว..
เจิ้งซิ่วยี่ถามขึ้นด้วยท่าทางเคารพนบนอบ“ท่านเจ้าสำนัก แล้วโกดังบนยอดเขาเทียนเฟิงกับมนุษย์เล่า ท่านมิต้องการไปดูด้วยหรอกรึ”
“ไม่จำเป็น!”หลิงหยุนปฏิเสธทันที
นั่นเพราะหลิงหยุนได้ใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจดูแล้วและพบว่าหาได้มีทรัพยากรในการฝึกฝนมากมายเท่ากับโกดังบนยอดเขาปฐพี แม้โกดังทั้งสองจะใหญ่โตกว่าที่นี่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นของใช้ประจำวันอย่างข้าวสาร เนื้อ บะหมี่ แล้วก็พวกเสื้อผ้า และอีกมากมายหลายอย่าง นอกเหนือจากนั้นก็มียุทธภัณฑ์ต่างๆอย่างเช่นกระบี่เป็นต้นหาได้มีสิ่งใดน่าสนใจสำหรับหลิงหยุนอีก..
หลิงหยุนมิต้องการเสียเวลาไปกับการสำรวจสิ่งเหล่านี้เขาจึงได้ปฏิเสธเจิ้งซิ่วยี่ไป..
อีกทั้งฉินจิวยื่อยังต้องอยู่บนยอดเขาเทียนเฟิงกว่าเจ็ดวันเขายังมีเวลาอีกมากมายที่จะค่อยๆสำรวจไป จึงมิได้รีบร้อนที่จะทำให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้
หลังจากเจิ้งซิ่วยี่จากไปแล้วหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน และไป๋เซียนเอ๋อก็ได้เดินสำรวจบนยอดเขาปฐพีไปเรื่อย
“หลิงหยุนดูท่าเมื่อคืนนี้เจ้าคงจะสร้างความหวาดผวาให้ศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานอย่างมากทีเดียว ดูเหมือนมิมีผู้ใดกล้าขี้เกียจสันหลังยาวแม้แต่คนเดียว เพียงแค่ชั่วข้ามคืนทุกคนต่างเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านถึงเพียงนี้”
หลังจากเดินสำรวจไปรอบๆแล้วเย่ซิงเฉินก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคืนนี้ยอดเขาปฐพีนับเป็นสนามรบใหญ่ เพราะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างมากในบริเวณนี้ ไม่เพียงหลายสิ่งหลายอย่างบริเวณนี้ถูกทำลายเสียหาย แต่ยังมีซากศพและคราบเลือดเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งบริเวณ
เริ่มจากเย่ซิงเฉินที่ทำลายค่ายกลขุนเขาบุกเข้ามาตามมาด้วยหลิงหยุนที่ฝ่าค่ายกลกระบี่สวรรค์เข้ามาจนสามารถควบคุมดวงคาค่ายกลไว้ได้ จากนั้นทั้งจ้าวหมิงถังและตี๋เฮ่ออี้ก็ตามมาสู้กับเขาที่นี่เช่นกัน
และการที่กระบี่สวรรค์โปรยปรายลงดั่งห่าฝนเมื่อคืนนี้ได้ทำลายอาคารบ้านช่องบนยอดเขาปฐพีเสียหายไปมากมาย
แต่เวลานี้ไม่เพียงซากศพและคราบเลือดทั้งหมดจะไม่ปรากฏแล้ว เศษหินดินทรายที่เกิดจากการพังทลายของอาคารต่างๆ ก็ถูกเก็บกวาดไปหมดแล้วเช่นกัน มิหนำซ้ำเวลานี้ยังมีการนำดินใหม่มาถมไว้อย่างเรียบร้อยอีกด้วย
“เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขาทั้งหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกบ่มเพาะทั้งสิ้น เรื่องเช่นนี้จึงหาใช่เรื่องยากเย็นอันใดสำหรับพวกเขาไม่”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงกความผ่อนคลายอย่างมากในขณะที่กำลังยืนอยู่บริเวณที่เคยเป็นหอควบคุมค่ายกลกระบี่สวรรค์นั้น เขาก็กำลังครุ่นคิดอยู่ว่า จักซ่อมแซมค่ายกลนี้กลับคืนดังเดิมดีหรือไม่
แต่แล้วจู่ๆกระบี่สีเขียวเข้มซึ่งเคยถูกใช้เป็นดวงตาค่ายกลกระบี่สวรรค์ ก็ปรากฏขึ้นในมือของหลิงหยุน เขายกมันขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าพร้อมกับพึมพำออกมา
“ช่างเป็นกระบี่ที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“กระบี่เล่มนี้คือดวงตาของค่ายกลกระบี่สวรรค์..”
“หากเมื่อคืนผู้ที่ควบคุมค่ายกลกระบี่สวรรค์เป็นศิษย์ทั้งสี่ของคุนหลุนหรือเป็นตี๋เฮ่อหมิง หรือว่าตี๋เฮ่ออี้แล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าข้าเองก็คงยากที่จะเอาชนะพวกเขาได้..” ต่อหน้าเย่ซิงเฉินและไป๋เซียนเอ๋อหลิงหยุนมิจำเป็นต้องปกปิดความจริง
“พลังของค่ายกลนี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!!เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ควบคุมเท่านั้น!”
เย่ซิงเฉินจ้องมองกระบี่สีเขียวเข้มพร้อมกับถามขึ้นว่า“นี่เจ้าต้องการจะซ่อมแซมค่ายกลที่เสียหายทั้งสอง เพื่อปกป้องขุนเขาแห่งนี้ไว้หรือไม่”
“อาจจะไม่..”
หลิงหยุนตัดสินใจที่จะไม่ซ่อมแซมค่ายกลขุนเขาและค่ายกลกระบี่สวรรค์ที่เสีย “การที่ข้าไว้ชีวิตศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่เหลือ ก็ด้วยเหตุผลสามประการ..”
“ประการแรก..ทั้งหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดคนนั้น นอกเหนือจากหลี่เพียวหยาง กัวผิง และเจิ้งซิ่วยี่แล้ว ยังมีศิษย์คนอื่นที่สามารถบ่มเพาะพลังเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้แล้วถึงสิบสองคน และด่านแรกขั้นพลังชี่อีกราวสิบห้าคน นอกเหนือจากนั้นก็อยู่ในขั้นเซียงเทียนลดหลั่นกันไป..”
“ฉะนั้นแล้วพวกเขาทั้งหมดจึงนับเป็นขุมกำลังที่มิได้ด้อยไปกว่าสำนักต่างๆ และตระกูลเก่าแก่อื่นๆเลย หากจะฆ่าพวกเขาทิ้งจนหมดก็น่าเสียดาย แต่หากพวกเขายอมภักดีต่อข้า ก็จะกลายเป็นประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล..”
“ประการที่สอง..ที่นี่อยู่สุดเขตดินแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจีน จึงนับว่าอยู่ห่างจากหูตาของรัฐบาลมาก อีกทั้งที่นี่ยังอยู่บนยอดเขาสูงซึ่งนับว่าลี้ลับยิ่งนัก จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นฐานบัญชาการของข้าในวันข้างหน้า..”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนี้นั่นเพราะเวลานี้เมืองจิงฉูเองก็ได้กลายเป็นฐานทัพของเขาไปหนึ่งแห่งแล้ว อิทธิพลของเขาได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง ในขณะที่ปักกิ่งก็มีตระกูลหลิง แม้จะมีอีกสองตระกูลเย่ และตระกูลหลงค้ำยันกันอยู่ก็ตาม นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีพื้นที่ในเขตอิทธิพลของตระกูลฉินอีกทั้งหลังจากการล่มสลายของสำนักกระบี่เทียนซาน ยอดเขาทั้งสามแห่งนี้ก็กำลังจะตกอยู่ในการครอบครองของหลิงหยุนอีกเช่นกัน
และการที่หลิงหยุนตั้งสำนักกระบี่หลิงหยุนขึ้นที่นี่ย่อมเป็นการสร้างฐานของตนเองขึ้นในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของจีนไปในตัว
“ประการที่สาม..จากที่นี่ไปถึงเทือกเขาคุนหลุน ก็มีเพียงแอ่งแผ่นดินทาริมกั้นขวางอยู่เพียงแค่ห้าร้อยกิโลเมตรเท่านั้น”
หลิงหยุนหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับพูดต่อว่า“พวกเขาย่อมสามารถทำหน้าที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของคุนหลุนแทนข้าได้ หากคุนหลุนมีการเคลื่อนไหวใดๆ พวกเขาก็สามารถรายงานให้ข้ารู้ได้ในทันที พวกเราจะได้เตรียมรับมือได้ทัน”
“ศิษย์ทั้งสี่ของคุนหลุนล้วนถูกข้าสังหารตายจนสิ้นอีกไม่นานคุนหลุนย่อมทราบข่าว ถึงตอนนั้นคุนหลุนย่อมต้องเคลื่อนไหวแน่!” “ฉะนั้นแล้วสำนักกระบี่คุนหลุนแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนหมุดที่ข้าจงใจปักไว้ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เพื่อคอยสืบข่าวคราวของคุนหลุน อย่าลืมว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้ง!”
แต่ยังมีอีกหนึ่งคำพูดที่หลิงหยุนมิได้กล่าวออกไปนั่นก็คือในวันที่เขาจะบุกไปถล่มคุนหลุนนั้น เขาย่อมต้องใช้เส้นทางนี้เป็นทางผ่าน..
“ข้าเข้าใจแล้ว..ที่เจ้าไม่ต้องการซ่อมแซมค่ายกล เพราะเกรงว่าคุนหลุนจักส่งคนมาที่นี่สินะ”
เย่ซิงเฉินเข้าใจความคิดของหลิงหยุนได้ในทันที
“ถูกต้อง!การซ่อมแซมค่ายกลหาใช่เรื่องยากเย็นอันใดสำหรับข้าไม่ เพียงแต่หากคุนหลุนบุกเข้ามาจริงๆ พวกมันย่อมต้องทำลายค่ายกลทิ้งอยู่ดี มิเท่ากับข้าเสียแรงเปล่าหรอกรึ.. ”
เย่ซิงเฉินจึงเอ่ยถามต่อ“แล้วเจ้าคิดที่จะถ่ายทอดวรยุทธบ่มเพาะให้กับศิษย์เหล่านี้ด้วยหรือไม่”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ลังเล“ข้าย่อมต้องทำแน่ แต่คงต้องรอให้คุนหลุนบุกเข้ามาเสียก่อน จะได้ดูความสามารถและศักยภาพของพวกเขาไปด้วย..”
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นหลิงหยุนถล่มสำนักกระบี่มามากมาย และสังหารมือกระบี่ไปนับไม่ถ้วน หากจะว่าไปความเชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธบ่มเพาะกระบี่ของหลิงหยุนนั้น เหนือกว่าสำนักกระบี่เทียนซานเป็นไหนๆ
แม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์สำนักกระบี่หลิงหยุนแล้วก็ตามแต่ก็เพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อเขาได้ไม่นาน หลิงหยุนจึงมิอาจปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นคนตระกูลหลิง หรือศิษย์สำนักหมอสวรรค์ได้
“หลิงหยุน..เหตุใดเจ้าจึงไม่จี้จุดพวกเขาไว้ เพื่อมิให้พวกเขากล้าทรยศหักหลังเจ้า” เย่ซิงเฉินเอ่ยเตือนหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง
“ซิงเฉินดูเหมือนเจ้าจะกังวลใจเรื่องนี้มาก..”
หลิงหยุนจึงอธิบายให้นางฟังเพื่อให้นางคลายความกังวล“ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด หลี่เพียวหยางนับว่าแข็งแกร่งที่สุด และหากเขาหนีไปจริงๆ ก็คงต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ และหากเขาต้องการหาที่สงบเงียบฝึกบ่มเพาะ ยังจะมีที่ใดที่เหมาะมากไปกว่าที่นี่อีกเล่า..”
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้าง“นั่นสินะ! ในเมื่อเจ้าเองก็มิได้คิดที่จะเข่นฆ่าพวกเขา เหตุใดพวกเขายังต้องหนีไปด้วย มิมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย..”
แม้แต่นกยังเลือกทำรังบนไม้ใหญ่..หลิงหยุนถล่มสำนักกระบี่เทียนซานจนราบเป็นหน้ากองได้ แต่กลับมิได้สังหารพวกเขา อีกทั้งมิได้กักขังไว้ มิหนำซ้ำยังให้อิสระอย่างเต็มที่ เช่นนี้แล้วหากยังมีผู้ที่คิดจะหลบหนีอีก ก็นับว่าคนผู้นั้นโง่เขลาเบาปัญญาเต็มที หลิงหยุนก็มิต้องการเก็บไว้เช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังสนทนากันอยู่นั้นใครบางคนก็ร่อนลงตรงด้านหน้าของพวกเขาทันที
“พี่หยุน..”ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยทักทาย
“บนยอดเขาเทียนเฟิงจัดการตามคำสั่งของพี่เรียบร้อยแล้ว!”
หลิงหยุนพยักหน้าหลังจากได้รับรายงานจากตี้เสี่ยวอู๋
“เวลานี้ท่านป้าฉินได้สั่งการไปทางบ้านมากมายหลายอย่างแล้วก็โทรติดต่อหลิงยู่ให้นางเดินทางมาที่นี่ในทันที!”
หลิงหยุนรู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่ฉินตงเฉวี่ยกับฉินจิวยื่อได้พบกัน นางจักต้องสั่งการไปทางตระกูลฉิน และติดต่อหนิงหลิงยู่ทันที หลิงหยุนจึงได้ถามกลับไปว่า
“หลิงยู่ว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านป้าฉินบอกกับข้าว่าหลิงยู่จะเดินทางไปที่ตระกูลฉินก่อน แล้วจึงค่อยนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาที่นี่!”
“อ่อ..พี่หยุน ท่านป้าฉินให้ข้ามาถามพี่ว่า พี่พอจะส่งคนสักสองคนไปที่เขาคุนหลุน แจ้งข่าวคราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ให้กับคนตระกูลหนิงทราบได้หรือไม่”
หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าฉินจิวยื่อตัดสินใจเรื่องหนิงเทียนหยาได้แล้ว นางต้องการให้หนิงหลิงยู่ได้มาพบพ่อของตนเป็นครั้งสุดท้าย และให้ตระกูลหนิงเป็นผู้จัดการเรื่องของหนิงเทียนหยา
“ได้..ข้าจะส่งคนไปจัดการให้เอง!”