ราชันเร้นลับ 917 : สามทางเลือก

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 917 : สามทางเลือก
การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดภายในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ทำให้ไคลน์ผู้กำลังหลับตาสนิท ยากที่จะคาดเดาว่าปัจจุบันกำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่ทราบว่าสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางที่ดีหรือร้าย ดังนั้น แม้ว่าจะท่องคาถาเปิดใช้งานยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ แล้ว แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามขว้างออกไป เกรงว่าจะเกิดผลกระทบด้านลบที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนา

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที ไคลน์รู้สึกเพียงว่า กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ประหนึ่งผ่านไปเป็นสิบปีก็มิปาน

ในที่สุด มันได้ยินเสียงอะซิกกล่าวด้วยความสงสัย

“เป็นท่านเองหรือ…”

เพียงพริบตาหลังจากนั้น เสียของสตรีที่ไม่สั่นคลอน ดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“เจ้ามีสามทางเลือก… ประการแรก สานต่อกระบวนการปัจจุบัน แสวงหาความสมบูรณ์แก่ดวงวิญญาณและยอมให้ซาลินเจอร์เกิดใหม่ในร่างกายเจ้า… ประการที่สอง ข้าจะช่วยดึงวิญญาณของเจ้าครึ่งหนึ่งออกจากงูตัวนั้น ส่วนเจ้าไปหาวิธีเย็บเอาเอง แต่วิธีนี้จะทำให้เจ้ากลับไปเป็นตัวตนเก่า หยุดวังวนการตายและฟื้นฟูความทรงจำ แต่เจ้าจะไม่ใช่ตัวเจ้าในปัจจุบัน และช่วงชีวิตที่เคยผ่านมาในอดีตจะกลายเป็นหนึ่งในความฝันซึ่งค่อยๆ เลือนหายไป… ประการที่สาม หันหลังให้กับทุกสิ่งและออกไปจากที่นี่ แต่ลำดับพลังของเจ้าจะหยุดค้างในระดับปัจจุบันโดยไม่สามารถเลื่อนขั้นได้อีก และจะเผชิญกับวังวนความตายไม่จบสิ้น ต้องฟื้นฟูความทรงจำไม่จบสิ้น และไขว่คว้าหาอดีตไม่จบสิ้น”

ไคลน์พลันผงะ คาดไม่ถึงว่าจะยังมี ‘คนอื่น’ อยู่ในส่วนลึกของสุสานแห่งนี้ด้วย แถมยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่นี่ สามารถมอบทางเลือกให้แก่ ‘กงสุลมรณะ’ อะซิก·อายเกสได้ถึงสามทาง

หรือจะเป็นเทพมรณาเทียมที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหมอกดำ?

ไม่ใช่… ใครๆ ก็รู้ว่าเทพมรณาเทียมไม่มีสติปัญญามากขนาดนี้ ไม่เคยมีข้อมูลที่ ‘ท่าน’ พยายามสื่อสารมาก่อน…

ดึงวิญญาณออกมาครึ่งหนึ่งและหาวิธีเย็บเอง… หมายความว่ายังไง? ดวงวิญญาณของมิสเตอร์อะซิกอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์?

แล้วไปดึงมาจากไหน? ‘ท่าน’ ผู้นี้สามารถทำในสิ่งที่แม้แต่มิสเตอร์อะซิกก็ยังทำไม่ได้?

และนอกจากนั้น ใครคือซาลินเจอร์? แล้วทำไมถึงเกิดใหม่ภายในร่างกายมิสเตอร์อะซิก? อย่างบอกนะว่า เขาหรือ ‘ท่าน’ คือ ‘เทพมรณา’ ผู้ทำให้เกิดยุคสมัยแห่งความไร้ชีวิตชีวา? บิดาหรือปู่ของมิสเตอร์อะซิก? เทพมรณามองเห็นอนาคตการร่วงหล่นของตัวเอง จึงเหลือเศษเสี้ยวสำหรับคืนชีพไว้ในร่างมิสเตอร์อะซิก?

ตัวเลือกแรกตัดทิ้งได้เลยโดยไม่ต้องคิด ทั้งข้อสองและข้อสามต่างมีปัญหาในตัวเอง สำหรับข้อที่สอง มิสเตอร์อะซิกจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็น ‘ท่าน’ ที่เราไม่คุ้นเคย… ส่วนข้อสามจะต้องแบกรับคำสาปของอมรณาไว้ตลอดชีวิต ไม่มีทางหนีพ้น… หากมิสเตอร์อะซิกมั่นใจในตัวเอง เชื่อว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็น ‘หลักยึดเหนี่ยว’ การเลือกข้อที่สองก็ไม่เลวนัก สามารถปรับปรุงอุปนิสัยระหว่างอดีตและปัจจุบันให้สมดุล… แต่นั่นก็ต้องครึ่งอยู่กับดวงวิญญาณอีกหนึ่งซีกที่ถูกแบ่งออกไป เราไม่เคยสัมผัสกับอีกครึ่งหนึ่งของเขา ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ บางที หลักยึดเหนี่ยวอาจไม่ได้ผล…

ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์อย่างรวดเร็ว สมองเต็มไปด้วยคำถามและความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ทำไม่ได้มากไปกว่าการยืนอยู่ห่างๆ และปิดตาให้สนิท

นั่นคือชีวิตของอะซิก เป็นอนาคตที่ชายคนนั้นต้องเผชิญ ไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนได้

และสิ่งที่ไคลน์ควรจะพูด มันได้พูดไปหมดแล้ว ปัจจุบันจึงทำได้เพียงยืนเป็นกังวลอยู่ที่นี่อย่างมิอาจยื่นมือช่วย รอให้มิสเตอร์อะซิกเป็นคนตัดสินใจเอง

อะซิกจ้องหน้าสตรีเลอโฉมในเสื้อคลุมศีรษะ ไม่กล่าวคำใดออกมาเป็นเวลานาน เปลวไฟสีซีดในดวงตายังคงสั่นไหว

งูขนนกกึ่งมายากึ่งคมชัด คล้ายกับมันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ รีบตวัดหางกวาดไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงพร้อมกับอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงเข้มและเขี้ยวที่ย้อมน้ำมันสีเหลือง ก่อนจะเหยียดลิ้นงูสีดำสนิทเปื้อนเมือกสีเขียวเข้ม ออกมาตวัดอะซิก·อายเกส

ทว่า ความพยายามทั้งหมดของมันลงเอยด้วยความล้มเหลว คล้ายกับพลังของมันไม่มีผลกับโลกทางนี้

ท่ามกลางความเงียบเชียบ อะซิกยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากพลางยิ้มและตอบ

“บางที ผมคงคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว… เลือกข้อสาม”

เมื่อสิ้นเสียง สตรีสวมผ้าคลุมศีรษะตรงหน้าเหยียดแขนออกมาคว้าเครื่องประดับทองคำรูปนกและบีบไว้ในมือสักพัก ก่อนจะชักแขนกลับพร้อมกับดึงวัตถุโบราณออกจากรอยแยกกึ่งกลางหน้าผากของอะซิก

สีหน้าอะซิกพลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง คล้ายกับกำลังเผชิญความเจ็บปวดแสนสาหัส

ในทุกหยดของเลือดที่ไหลริน ในทุกอณูของเลือดเนื้อ เศษเสี้ยวดวงวิญญาณจำนวนมากค่อยๆ แผ่ซ่าน ก่อนจะผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นร่างวิญญาณที่โปร่งใส

แม้ร่างวิญญาณดังกล่าวจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว แต่ก็เผยให้เห็นความขัดแย้งและไม่กลมกลืน เนื่องจากครึ่งหนึ่งของวิญญาณเป็นสีเหลืองทอง ไล่ตั้งแต่คิ้ว ดวงตา ไปจนถึงแขนขา มอบบรรยากาศสง่างามแต่เรียบง่าย

เมื่อไม่มีเครื่องประดับทองคำเป็นตัวเชื่อม ร่างวิญญาณกึ่งทองคำของอะซิกจึงค่อยๆ แยกออกจากกันทั้งเป็น

ลำคออะซิกแผดเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์อีกครั้ง ไคลน์ซึ่งได้ยินจากระยะไกล พลันปวดศีรษะรุนแรงประหนึ่งถูกเข็มจำนวนมากทิ่มแทงสมอง

ผ่านไปไม่กี่วินาที ร่างวิญญาณของอะซิกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยสมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ผสานเข้ากับเครื่องประดับรูปนก ครึ่งหนึ่งกลับคืนสู่ร่างเนื้อ ผสมผสานกับเลือดเนื้อที่เป็นของอะซิก·อายเกส

เปลวไฟสีซีดในดวงตาทั้งสองข้างของอะซิกพลันดับมอด ขนนกสีขาวและเกล็ดสีดำที่งอกขึ้นบนตามผิวหนังค่อยๆ เลือนหาย สีหน้าที่บิดเบี้ยวค่อยๆ บรรเทาลงก่อนจะกลับเป็นปรกติ

ใบหน้าของอะซิกค่อนข้างซีด ค่อนข้างโปร่งใส หน้าผากสั่นกระตุกอย่างชัดเจน คล้ายกับกำลังเจ็บปวดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณ

“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” อะซิกคำนับสตรีเลอโฉมผู้สวมเสื้อคลุมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวเดินมาทางขั้นบันไดที่ว่างเปล่า กลับมายืนด้านข้างไคลน์

“ลืมตาได้แล้ว” อะซิกยิ้มด้วยความอ่อนเพลีย

ไคลน์ลืมตาขึ้นและรีบสำรวจอะซิกฝั่งตรงข้าม เมื่อพบว่าไม่มีอาการเสียสติหรือคลุ้มคลั่งจึงเผยความโล่งใจ แอบชำเลืองสายตาไปยังส่วนลึกของสุสานด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ที่นั่นมีเพียงหมอกดำคอยปกคลุมทุกสิ่ง

“เมื่อครู่ใครหรือครับ?” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถาม

อะซิกยิ้มพลางยื่นมือมาจับไหล่

“ถึงผมอยากจะบอกมากเพียงใด แต่คุณก็คงไม่ได้ยิน เว้นเสียแต่ท่านต้องการให้คุณได้ยิน”

ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์จับไหล่หุ่นเชิดทั้งสองตามสัญชาตญาณ

สีสันรอบตัวฉูดฉาดและซ้อนทับกันอีกครั้ง ในไม่ช้าทั้งคู่ก็เคลื่อนที่ผ่านโลกวิญญาณซึ่งสอดคล้องกับทะเลคลั่ง เดินทางกลับไปยังห้องพักโรงแรมที่ไคลน์เช่าไว้ในเมืองเครน

อะซิกปล่อยมือ ลูบหน้าผากพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ผมคงต้องหลับไปอีกสักพัก… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคราวนี้จะนานแค่ไหน หากมีคำถาม คุณสามารถถามเจ็ดแสงพิสุทธิ์แห่งโลกวิญญาณได้โดยตรง คงรู้จักพิธีกรรมอยู่แล้วใช่ไหม?”

“มิสเตอร์อะซิก… คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ไคลน์ถามด้วยความเป็นกังวล

ขณะเดียวกัน มันจิกกัดตัวเอง

ครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณต้องหายไปตลอดกาล จะให้ไม่เป็นอะไรได้ยังไง?

อะซิกยิ้มและตอบ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร… ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม เมื่อใดที่เห็นว่าตัวเองกำลังจะตาย ผมก็แค่จัดเตรียมทุกอย่างสำหรับชีวิตใหม่ ตัดความสัมพันธ์กับชีวิตเก่า จากนั้นสูญเสียความทรงจำพร้อมกับคืนชีพ ออกค้นหาอดีตอีกครั้ง… เทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยคราวนี้ผมก็มีคุณ คนที่รู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับตัวผม หากผมต้องสูญเสียความทรงจำอีกครั้ง การอ่านจดหมายของคุณคงช่วยให้จดจำอะไรได้มากมาย”

มันเว้นวรรค ตามด้วยพยักหน้าแผ่วเบาและหัวเราะ

“การนอนหลับก็ไม่ได้แย่เสมอไป… อย่างน้อยผมก็ยังฝัน เป็นความฝันที่ไม่เคยเลือนหายไปไหน ผมยังคงนอนอาบแดดกับเธอที่ริมทะเลใต้ ยังคงสอนเด็กดื้อให้รู้จักการใช้ดาบ ยังคงสร้างชิงช้าให้กับเจ้าตัวเล็กที่เอาแต่ใจ…”

กล่าวจบ อะซิกโยนนกหวีดทองแดงด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“อย่าลืมเขียนจดหมายหาผมบ้าง… แต่ก่อนที่จะตื่น ผมคงไม่ได้เขียนตอบกลับ”

ในวินาทีที่ไคลน์เหยียดแขนออกไปรับนกหวีดทองแดงโบราณที่มีลวดลายงดงาม อะซิกหายตัวไปจากห้อง ไม่มีใครทราบว่าไปที่ไหน

จ้องมองความว่างเปล่าสักพัก ไคลน์ถอนหายใจเสียงต่ำ

หากต้องการไปที่อื่นนอกจากเมืองเครน ถ้าเป็นทางบกก็ต้องเดินตามเส้นทางอันคดเคี้ยวขึ้นข้างบน ผ่านถนนหลายเส้นจนกระทั่งจุดสูงสุดของเมือง ถึงตอนนั้นก็จะสามารถปีนขึ้นไปบนภูเขาและเข้าสู่เขตที่ราบสูง

ณ ปัจจุบัน หน่วยถุงมือแดงที่นำโดยโซสต์ กำลังยืนอยู่บนจัตุรัสที่สูงที่สุดของเมืองพลางมองไปทางทะเลคลั่งที่ค่อนข้างผิดปกติ

ดาลีย์·ซิโมเน่ซึ่งยังคงใช้มือจับหน้าผาก ค่อยๆ ลดฝ่ามือลงพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเจือความประหลาดใจ

“ทุกสิ่งกลับเป็นปรกติแล้ว… หมดปัญหา”

“ปกติแล้ว?” เลียวนาร์ดถามด้วยความฉงน

ตามความเห็นของมัน หากการกลายพันธุ์ของทะเลคลั่งยังไม่สิ้นสุดลง คงเป็นเรื่องยากที่ดาลีย์จะกลับสู่ภาวะปกติ

“อาการแบบนี้อาจจะมาเป็นพักๆ …” โซสต์คาดเดาคลุมเครือ

ขณะดาลีย์เตรียมตอบ สัมผัสวิญญาณของทุกคนพลันถูกกระตุ้นอย่างพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายต่างรีบหันไปทางทะเลคลั่ง

ท่ามกลางบรรยากาศอันดำมืด ดวงดาวค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวง

เบ็คลันด์ ภายในวิหารนักบุญแซมมวล

อาร์ชบิชอปแอนโทนี·สตีเวนสันได้รับโทรเลขฉุกเฉินจากทะเล

เนื้อหาของโทรเลขค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็ค่อนข้างน่าทึ่ง

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้ขึ้นเรือ ‘ทิวลิปดำ’ พร้อมกับชายคนหนึ่งและเปลี่ยนให้ลูเธอร์ไวล์กลายเป็นหุ่นเชิด ลูเธอร์ไวล์เรียกคนที่มากับเกอร์มันว่า ‘กงสุลมรณะ’ ”

เกอร์มัน·สแปร์โรว์… กงสุลมรณะ… นักบุญแอนโทนีทวนทั้งสองคำอย่างแผ่วเบา

มันเอนหลังอย่างเชื่องช้าพลางหลับตา นึกทบทวนข้อมูลของสมบัติปิดผนึก ‘0-17’ ภายในใจ เป็นข้อมูลที่สมบูรณ์มาก

“หมายเลข: 17”

“ชื่อ: เทวทูตแห่งความลับ”

“ระดับอันตราย: ‘0’ อันตรายยิ่งยวด… ระดับความเฝ้าระวังสูงสุด ระดับการรักษาความลับสูงสุด ห้ามถามข้อมูล ห้ามแพร่งพรายข้อมูล ห้ามเอ่ยถึง ห้ามแอบสอดแนม”

“ผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูล: สันตะปาปา, นักวิจัยทีม A และอาร์ชบิชอปมุขมณฑลเบ็คลันด์ (หมายเหตุ เมื่ออาร์ชบิชอปถูกย้ายออกจากเบ็คลันด์ จำเป็นต้องใช้สมบัติปิดผนึก ‘1-29’ เพื่อล้างความทรงจำที่เกี่ยวข้อง) ”

“วิธีผนึก: อาศัยความร่วมมือของสมบัติปิดผนึก ‘1-29’ และ ‘1-80’ เพื่อผนึกให้สมบูรณ์”

“รายละเอียด: นี่มิใช่วัตถุ”

“คำเตือน: ไม่สามารถใช้งาน ‘ท่าน’ ได้!”

“ภาคผนวก 1: สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุคไร้ชีวิตชีวาแห่งยุคสมัยที่สี่ ปีที่พบ: ไม่ปรากฏ, วันที่พบ: ไม่ปรากฏ, สถานที่พบ: ไม่ปรากฏ”

“ภาคผนวก 2: จากบันทึก ‘ท่าน’ ตื่นขึ้นมาแล้วห้าครั้ง”

“ภาคผนวก 3: ไม่สามารถใช้งาน ‘ท่าน’ ได้เนื่องจากติดข้อจำกัดที่สำคัญบางประการ… เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ‘ท่าน’ สามารถถูกใช้เป็นภาชนะในการเสด็จเยือนผืนพิภพของเทพธิดา”