ซางสิงโจวไม่อาจเดินออกไปจากวังหลวง
เจตจำนงของเขาเป็นเสมือนน้ำท่วมที่เกือบจะล้นเอ่อออกนอกจิงตูและท่วมท้นทั้งโลก หมายจะกลืนกินเฉินฉางเซิงและไม่ทิ้งสิ่งใดเอาไว้
ในตอนนี้มีคนยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา
สังฆราชยังอยู่ในพระราชวังหลี หวังผ้อยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ สวีโหย่วหรงอยู่ที่สถานศึกษาหนานซี บรรดาหญิงสาวจากสถานศึกษาหนานซีถูกนักบวชซินขังอยู่ในสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วอยู่ที่เวิ่นสุ่ยและเจ๋อซิ่วก็หายตัวไป
คนที่ยืนขวางอยู่นี้เป็นคนที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็คาดได้ว่าจะเป็นคนที่ยืนขึ้นมา
อวี๋เหรินยืนอยู่ในลมหิมะ ขันทีกับนางกำนัลคุกเข่าอยู่บนพื้นรอบตัวเขา
เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิหนุ่มปฏิเสธความปรารถนาของอาจารย์และเหล่าขุนนาง มาปรากฏตัวขึ้นในที่บางแห่ง
เป็นที่ที่เขาเลือกด้วยตัวเอง
สายลมพัดเสื้อคลุมปลิวแต่ไม่อาจพัดใบหน้าและดวงตา ใบหน้าดูสงบเงียบเหมือนเช่นปกติ
ลมหิมะที่รุนแรงยังคงเป็นไปตามธรรมชาติ
เขามองไปที่อาจารย์อย่างสุขุม
ซางสิงโจวก็มองไปที่เขาอย่างสุขุม
ผิดจากเฉินฉางเซิง อวี๋เหรินเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของซางสิงโจว คนที่ซางสิงโจวฝากความฝันทั้งหมดเอาไว้
ซางสิงโจวรักเขาอย่างแท้จริงและยินดีสละทุกอย่างเพื่อเขา ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเขา
อวี๋เหรินรู้ทั้งหมดนี้ ดังนั้นเขาจึงซาบซึ้ง แล้วก็ไม่สบายใจและหวาดกลัว
ไม่กี่วันก่อนเขาอยู่ในวังหลวง เรียนรู้การเป็นผู้ปกครองที่ดีอยู่อย่างเงียบๆ และหวาดกลัว
เขารู้ว่าอาจารย์จะต้องสังหารศิษย์น้องอย่างแน่นอน
เพื่อที่จะกลายเป็นผู้ปกครองที่ได้รับการยกย่องไปทุกยุคสมัย จิตของเขาต้องไม่มีจุดอ่อนแม้แต่น้อย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะสั่นคลอนความคิดของเขาได้
นี่เป็นเรื่องที่ซางสิงโจวต้องการจะทำให้แน่ใจ เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมีผลกระทบเช่นกัน
เฉินฉางเซิงกลับสามารถทำได้ ดังนั้นเขาต้องตาย
ไม่มีใครเข้าใจ
ดินแดนต้าซีไม่เข้าใจ เมืองไป๋ตี้ไม่เข้าใจ แดนใต้ไม่เข้าใจ สังฆราชก็ไม่เข้าใจ
มีแต่วัดเก่าเมืองซีหนิงที่เข้าใจ
เช้าวันนั้นที่สุสานเทียนซู อวี๋เหรินเห็นศิษย์น้องแบกร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ลงจากเขา เห็นอาจารย์เดินขึ้นเขามา เห็นทั้งสองคนเดินผ่านกันไปราวกับคนแปลกหน้า และเขาก็เข้าใจ
ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่ในวังหลวงอย่างเชื่อฟัง ตั้งใจเรียนอย่างแข็งขันเพื่อเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ
ยิ่งเขารู้สึกไม่สบายใจและหวาดกลัวเท่าไร ก็ยิ่งเชื่อฟังและนิ่งเงียบเท่านั้น เฉกเช่นตอนอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง
แต่อาจารย์ก็ยังต้องการที่จะสังหารศิษย์น้องอยู่ดี
ดังนั้นเขาเหลือทางเดียวคือยืนขึ้น บอกอาจารย์ว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
เมื่อเขามองไปที่อวี๋เหรินในหิมะ ซางสิงโจวก็มีสีหน้าเคร่งเคียดยิ่งขึ้น ความต้องการที่จะฆ่าเฉินฉางเซิงยิ่งเด็ดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม
เขาต้องการให้เฉินฉางเซิงตายก็ด้วยเหตุเรื่อง และการที่อวี๋เหรินยืนตรงนี้ในตอนนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่เขาต้องการ ในสายตาเขา การตายของเฉินฉางเซิงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น
จะหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร จะเปลี่ยนใจคนอย่างซางสิงโจวได้อย่างไร
มือของอวี๋เหรินกำจี้หยกที่มัดอยู่กับเอวของเขา
จี้หยกนี้ทำจากหยกเขียว โปร่งใสไม่มีสิ่งเจือปนแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเป็นของหายากและแพงมาก
ไม่มีคลื่นพลังปราณแผ่ออกมาจากจี้หยกเพราะมันไม่ใช่ของวิเศษ เป็นเพียงของขวัญที่ประมุขตระกูลชิวซานมอบให้จักรพรรดิองค์ใหม่ตอนที่เขาเข้าวังมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
ของขวัญนี้เหมาะกับความคิดของจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างมาก
ในตอนนั้นเมื่ออวี๋เหรินรับจี้หยกในวัง เขาไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติแต่ในใจนั้นปั่นป่วน
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครในโลกที่สามารถคาดเดาความกังวลของเขาได้ ทั้งยังมอบทางแก้ไขให้กับเขาอีกด้วย
เขาเข้าใจดีว่าระหว่างการขัดแย้งภายในหลีซาน คนที่เรียกว่าชิวซานจวินที่มีชื่อเสียงพอๆ กับศิษย์น้อง ได้ทำบางสิ่งคล้ายคลึงกันนี้ตอนที่เผชิญหน้ากับบิดาตนเอง
ดังนั้นเมื่อเขาเผชิญหน้ากับอาจารย์ บางทีเขาอาจต้องทำแบบเดียวกัน
สายตาซางสิงโจวมองผ่านหิมะและไปตกอยู่บนหยกที่อยู่ในมือของอวี๋เหริน
เขารู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่าจี้หยกนั้นมีที่มาอย่างไร
เขาเข้าใจว่าอวี๋เหรินมีเจตนาเช่นไรดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบ
ลมหิมะพัดไม่หยุด หิมะค่อยๆ สุมตัวในลานของวังหลวง ขันทีนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่กับพื้นและนักพรตสิบกว่าคนดูเหมือนกับจุดสีดำ
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ซางสิงโจวก็พูดขึ้นในที่สุด
“ครั้งเดียว” เขากล่าวกับอวี๋เหริน “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
อวี๋เหรินพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซางสิงโจวกล่าวต่อ “แต่ฝ่าบาทต้องเข้าใจ ที่นี่คือจิงตู ไม่ใช่วัดเก่าเมืองซีหนิง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโลกไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างอาจารย์กับศิษย์ เขาไม่ได้ลืมต้มน้ำ ทำอาหารหรือทำความสะอาด หากท่านต้องการจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาก็ทำได้และข้าก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษเขา แต่คนอื่นจะทำเรื่องนี้แทนฟ้า และเขาก็ต้องตายอยู่ดี”
อวี๋เหรินไม่คิดเช่นนั้น
เขารู้ว่ามู่ฮูหยินได้ไปที่พระราชวังหลี ยอดฝีมืออย่างเถี่ยซู่ได้ไปคุ้มกันคุกโจว แม้แต่เสี่ยวเต๋อ เซียวจางและตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ร่วมด้วย
แต่เขาก็ยังเชื่อในตัวเฉินฉางเซิง
เพราะเฉินฉางเซิงไม่ได้ตัวคนเดียว เขามีเพื่อน
อวี๋เหรินเข้าใจดีว่าเพราะอิทธิพลของเขา ศิษย์น้องจึงไม่พูดอะไรมากหรือมีความน่าสนใจมากนัก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะไปล่าสัตว์บนเขา ไปที่ลำธารเพื่อจับปลา หรือไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อผัก เขาก็สามารถหาคนที่พร้อมจะช่วยได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนายพรานหรือชาวประมง ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา
บางทีอาจเพราะพวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน พวกเขาจึงมีความเมตตาต่อโลกนี้เหมือนกัน
……
……
การต่อสู้ที่ปลายถนนหยุดลงอย่างฉับพลัน
นี่ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้ได้บทสรุปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเฉินฉางเซิงยังยืนอยู่ในพายุหิมะ
นิ้วหวังผ้อยาวและมั่นคงอย่างมาก โดยเฉพาะในยามที่เขากำด้ามดาบเอาไว้
หิมะบางร่วงลง เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของดาบ ซึ่งยังอยู่ในฝัก เร้นความแหลมคมเอาไว้
แต่มันก็ต่างไปมาก
ก่อนหน้านี้ดาบนี้ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะเงียบๆ แต่ตอนนี้ด้ามของมันอยู่ในมือเขา
ด้วยความเคลื่อนไหวนี้ หลายสิ่งจึงเปลี่ยนไป
สีหน้าประมุขรองตระกูลถังเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดผิดปกติ
ประกายความสับสนฉายขึ้นในดวงตาเถียซู่
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยได้ใช้ความเมตตาที่หนักดั่งขุนเขา แต่ก็ยังไม่อาจหยุดดาบของคนผู้นี้ได้
“เจ้ากล้าใช้ดาบนั้นโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ”
ประมุขรองตระกูลถังจ้องเข้าไปในดวงตาของหวังผ้อ น้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าหิมะ
เขาเป็นตัวแทนตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ตัวแทนของประมุขผู้เฒ่า ตัวแทนของภูเขาลูกนั้น
หวังผ้อยืนขึ้นและตอบ “ข้าจะไม่ใช้ดาบกับท่าน”
ประมุขรองตระกูลถังไม่พูดอะไร รู้ว่าประโยคยังไม่จบ
เป็นไปตามคาด
“เพราะท่านไม่คู่ควร” หวังผ้อพูดต่อให้จบ
จากอารามถานเจ้อถึงถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จากใบไม้เหลืองถึงลมหิมะ ดาบของหวังผ้อไม่เคยออกจากฝักระหว่างที่เขาอยู่ในจิงตู
ทุกคนรู้ว่าเขาทำความเข้าใจในเต๋าแห่งดาบและสะสมความแหลมคม ดาบเดียวก็สามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
จะมีใครที่คู่ควรกับดาบนี้นอกจากยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
ในยามที่หวังผ้อกล่าวว่าประมุขรองตระกูลถังไม่คู่ควรกับดาบนี้ ไม่ใช่การเย้ยหยันหากแต่เป็นความจริง
และความจริงเจ็บปวดที่สุด
ประมุขรองตระกูลถังหน้าตาบูดเบี้ยวจากนั้นก็เริ่มหัวเราะ
ในครั้งนี้เขาหัวเราะแบบมีเสียง เสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน
เสียงหัวเราะพลันหายไป เขาจ้องไปที่หวังผ้อ พูดด้วยเสียงเย็น “ไม่ว่าข้าไม่คู่ควรหรือเจ้าไม่กล้า หากเจ้าไม่ชักดาบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะแก้ไขสถานการณ์ในวันนี้ได้”
นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน หากหวังผ้อไม่ชักดาบ แล้วเขาจะช่วยเฉินฉางเซิงได้อย่างไร
สิ่งที่เกิดตามมาคือคำตอบของหวังผ้อ
เขากำด้ามดาบและโบกไปที่ประมุขรองตระกูลถัง
ประหนึ่งพลิกแขนเสื้อ ปัดฝุ่นทิ้งหรือปัดสิ่งรบกวนออกไปจากสายตา การเคลื่อนไหวนี้แผ่วเบาและรังเกียจอย่างมาก
ประมุขรองตระกูลถังหรี่ตา ไม่คาดคิดวาหวังผ้อจะโจมตีเขาจริงๆ ปราณแท้เริ่มไหลเวียนในยามที่เขาก้าวเข้าไปในหิมะและเปลี่ยนเป็นภาพติดตาจำนวนมากที่ส่องแสงสีทองหนีไปทุกทิศทาง
หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้บำเพ็ญเพียรอย่างแข็งขันเช่นในอดีต ทว่าเขาก็ยังมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ เป็นทายาทสายตรงตระกูลถัง อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งและระดับการบำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างสูง
เขาได้ใช้วิชาหมื่นใบไม้ทอง ซึ่งเป็นท่าร่างของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ด้วยวิชานี้สามารถเดินทางได้ไกลในเวลาแค่พริบตาเดียว เป็นวิชาลับที่แม้แต่ถังซานสือลิ่วก็ยังไม่ได้เรียน แม้ว่าไม่อาจเทียบกับย่างก้าวหยั่งเทวาที่น่าอัศจรรย์ แต่ก็ค่อนข้างยากที่จะมองออกได้
ก้อนหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวขึ้นสู่อากาศเมื่อดาบเหล็กของหวังผ้อฟาดลง
ดาบเหล็กฟาดลงมาง่ายๆ แต่ก็ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน
ดาบเหล็กวาดเป็นเส้นตรงผ่านลมหิมะ ง่ายและชัดเจน
ส่วนหน้าของเส้นนี้ฟาดใส่ภาพติดตาในแสงสีทอง
มีเสียงดังเพียะดุจเสียงตบ
ประมุขรองตระกูลถังร่วงลงบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ
แก้มขวาแดงก่ำและเลือดซึมออกมาจากมุมปาก มีประกายความไม่เชื่อเต็มอยู่ในดวงตา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่หวังผ้อ “เจ้ากล้าตีข้า!”
หวังผ้อมองเขา ไม่พูดอะไร
ประมุขรองตระกูลถังพ่นฟันเปื้อนเลือดออกมาจากปากหลายซี่
เขาลูบหน้าตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา ส่งเสียงแหลมสูงอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้าตบหน้าข้าจริงๆ!”
“นับจากครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าในเวิ่นสุ่ย ข้าก็ต้องการจะตบเจ้ามาตลอด”
หวังผ้อหยุดจากนั้นก็กล่าวเสริม “โดยเฉพาะตบหน้าเจ้า”