ประมุขรองตระกูลถังมีใบหน้าหล่อเหลา
แต่ตอนที่เขาหัวเราะอย่างไร้เสียงตามนิสัย ใบหน้าจะดูเกินจริงและน่าขัน
หวังผ้อไม่ชอบวิธีหัวเราะเช่นนี้ รู้สึกว่าเป็นเหมือนผ้าคลุมหน้าที่ปกปิดอารมณ์ต่างๆ เอาไว้
หลายปีก่อนตอนที่เขาไปเวิ่นสุ่ยครั้งแรกและพบกับประมุขรองตระกูลถังที่ศาลบรรพชนตระกูลถัง เขาก็ไม่ชอบคนผู้นี้ในทันที
ในตอนนั้นพอประมุขรองตระกูลถังเห็นหวังผ้อในชุดซอมซ่อ ก็กลอกตาหัวเราะไร้เสียง มองดูหวังผ้อเหมือนเป็นสุนัขจรจัดข้างถนนหรือญาติยากจนซึ่งมาหาที่หลบฝน
ในตอนนั้นหวังผ้อเห็นใบหน้าเขา ก็เกิดความปรารถนาที่เข้มข้นขึ้น
เขาอยากจะใช้ดาบเหล็กในมือตบหน้าหัวเราะเยาะของประมุขรองตระกูลถังเป็นเสี่ยงๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพที่มีต่อประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ด้วยความเคารพที่มีต่ออาชีพนักบัญชี เขาไม่ได้ทำตามความปรารถนานี้
ดังนั้นความปรารถนานี้จึงฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแม้ผ่านมานานหลายปี ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
เป็นเช่นนั้นมาจนถึงวันนี้ ตอนที่เขาเห็นประมุขรองตระกูลถังเดินออกมาจากร้านน้ำชาและใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะอย่างไร้เสียงและไร้ยางอาย หวังผ้อก็ไม่อาจสะกดแรงปรารถนาเอาไว้ได้
ความเมตตาหนักดั่งขุนเขาจริงๆ แต่ดาบของเขาก็หิวกระหายมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงฟาดดาบเหล็กออกไป
ในเวิ่นสุ่ยตอนที่พวกเขายังเยาว์ เขาไม่ได้ตบรอยยิ้มเย้ยหยันของประมุขรองตระกูลถัง เพราะเขาไม่ต้องการทำ เพราะเขาอดทนเอาไว้
ตอนนี้เขาไม่ต้องการจะอดทนอีกต่อไป เขาต้องการที่จะตบ ดังนั้นเขาก็ตบ
การตามรอยวิชาลับของตระกูลถังอย่างหมื่นใบไม้ทองเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง มันเป็นวิชาขั้นสูงแต่ไม่มีค่าอะไรในตายตาหวังผ้อ
เดือนที่สองที่อยู่ในเวิ่นสุ่ย ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ไปที่เรือนบัญชีและสอนวิชาท่าร่างนี้ให้เขาด้วยตัวเอง
เขาไม่จำเป็นต้องชักดาบ ต่อให้ดาบยังอยู่ในฝักเขาก็ยังตบประมุขรองตระกูลถังจนไม่อาจพูดได้
ประมุขรองตระกูลถังนั่งอยู่ในหิมะ เลือกบปากและใบหน้า ดวงตาลุกไหม้ไปด้วยเพลิงแห่งความเกลียดชังที่ยากจะบรรยาย
“ตระกูลถังของข้าต้องการไว้ชีวิตเจ้า…ในเมื่อเจ้าไม่สนและรนหาที่ตาย ก็ไปตายซะ”
หวังผ้อยืนขึ้นกำดาบเอาไว้และถึงขั้นฟาดใส่เขา ย่อมหมายความว่าเขาได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของตระกูลถัง
เขาต้องการฆ่าโจวทงกับเฉินฉางเซิง ดังนั้นเขาต้องสู้กับเถี่ยซู่
“ยังไม่เริ่มเลย แล้วเจ้าเรียกว่ารนหาที่ตายได้อย่างไร”
หวังผ้อมองประมุขรองตระกูลถังและกล่าว “ในเรื่องนี้เจ้าไม่อาจเทียบข้า สวินเหมย หรือเซียวจางได้”
นับตั้งแต่เริ่มยุคแห่งดอกไม้ป่าเบ่งบาน มีชื่อที่โดดเด่นหลายชื่อปรากฏขึ้น
หวังผ้อ สวินเหมย เซียวจาง เหลียงหวังซุน เสี่ยวเต๋อ…
น้อยคนจำได้ว่าในช่วงเริ่มต้นนั้นมีบางคนที่แซ่ ‘ถัง’ อยู่ในรายชื่อด้วย
“ทั้งหมดก็เหมือนเจ้า ไม่เคยไล่ตามข้าทัน ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือโชคชะตา แต่ไม่มีใครยอมแพ้ ไม่มีใครเลิกไล่ตามข้า”
สายตาเขามองไปที่ปลายถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
เขารู้ว่าเสี่ยวเต๋ออยู่ตรงนั้น และเซียวจางก็อาจปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
เหลียงหวังซุนลี้ภัยไปเมืองสวินหยาง สวินเหมยก็ไม่อาจปรากฏกายได้อีกต่อไป
“บำเพ็ญเพียรกับต่อสู้นั้นเหมือนกัน จนกว่าจะถึงจังหวะสุดท้าย สำเร็จหรือล้มเหลวถือว่ายังไม่กำหนด ในที่สุดสวินเหมยก็ไล่ตามข้าทันที่สุสานเทียนซู เซียวจางก็ยังมีโอกาสอยู่”
หวังผ้อดึงสายตากลับมาที่ประมุขรองตระกูลถังและกล่าวต่อ “ในขณะที่เจ้าสู้กับข้าครั้งหนึ่งในเวิ่นสุ่ย รู้สึกว่าเจ้าไม่อาจเทียบกับข้าได้ จึงเปลี่ยนไปเดาใจมนุษย์ ศึกษาเรื่องการวางแผนลวง…นี่ก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้ นับจากตอนนั้นเจ้าก็กลายเป็นขยะ เสียความหวังใดๆ ที่จะเอาชนะข้า กลายเป็นคนที่ด้อยกว่าข้าไปตลอดชีวิตของเจ้า”
ประมุขรองตระกูลถังมีแววตาเลื่อนลอยดูเหมือนจะสับสนอยู่บ้าง
เสียงหวังผ้อสุขุมอย่างมาก ไม่มีความดูถูกให้สัมผัสได้เลย เป็นเพียงการตัดสินที่เย็นชา
แต่คนย่อมรู้สึกบางอย่างเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความรู้สึกที่โดนดูถูก
เพราะสิ่งที่อยู่เหนือคำพูดพวกนั้นก็คือคำว่า ‘ไร้เทียมทาน’
นี่คือยอดฝีมือ
ในหมู่คู่ต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ว่าหวังผ้อมีการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะบดขยี้พวกเขาลง
คู่ต่อสู้อย่างนั้นรวมถึงเซียวจางกับเหลียงหวังซุน
อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ที่แท้จริง เขาไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว และมักจะได้รับชัยชนะอย่างล้นหลาม
เพราะในแง่ของความมุ่งมั่น เจตจำนง สภาพจิตใจและความเข้าใจในตัวเองกับโลกนี้นั้น เขาเหนือกว่าคู่ต่อสู้มาก
เถี่ยซู่รู้สึกชื่นชมและเสียใจยามที่เขามองหวังผ้อ
ผู้มีพรสวรรค์ปรากฏตัวออกจากภูเขาลำธารในแต่ละยุคสมัย ต่างก็มีผลงานที่จะดำรงอยู่ไปหลายทศวรรษ แต่ยอดฝีมือเหล่านี้จะสามารถครองอำนาจเหนือผู้คนโดยรอบด้วยความกล้าหาญอย่างนั้นหรือ
และนี่ไม่ได้รวมถึงการที่ช่วงหลายทศวรรษมานี้ในยุคของดอกไม้ป่าเบ่งบาน ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่ผุดขึ้นมาราวกับหน่อไม้หลังฝนตก
แต่หวังผ้อพึ่งพาเพียงแค่ดาบเดียวเพื่อสะกดยอดฝีมือและผู้มีพรสวรรค์พวกนี้ จนพวกเขายากจะหายใจได้ ยากจะลุกขึ้นได้
ไม่มีใครอีกนอกจากโจวตู๋ฟูที่สามารถทำสิ่งคล้ายคลึงกันนี้ได้
ความชื่นชมและเสียใจในที่สุดจะนำพาให้ทั้งโลกเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจ
นี่คือเหตุผลที่จูลั่วยินดีใช้ความตายเข้าแลกกับการทำให้หวังผ้อตาย
นับตั้งแต่หวังผ้อไม่คิดจะรับคำแนะนำของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เถี่ยซู่ย่อมต้องสังหารหวังผ้อ และอาจจะต้องถึงขั้นรีบทำให้เสร็จโดยเร็ว
ดังเช่นที่เขาต้องการทำตอนอยู่อารามถานเจ้อ
เพราะมีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่เขาหรือเปี๋ยยั่งหงหรืออู๋ฉยงปี้ยังมีความสามารถที่จะฆ่าหวังผ้อได้
หากพวกเขาช้าเกินไป หากปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกไม่กี่วัน หากหิมะตกอีกหนึ่งหรือสองครั้ง จะมีอะไรเกิดขึ้น
ในอีกไม่กี่วัน หลังจากหิมะตกอีกสองหน บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีทางสังหารหวังผ้อได้อีก
ความตระหนักรู้นี้ทำให้รู้สึกไม่สบายอย่างแท้จริง
แม้แต่ท้องฟ้าพร่างดาวที่ห้อมล้อมโลกนี้เอาไว้ยังสั่นสะท้านอย่างไม่สบายใจ
หรือว่าโจวตู๋ฟูคนที่สองจะปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ในตอนนี้
ไม่ ต่อให้เป็นแค่ข้อสันนิษฐานก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้
เถี่ยซู่มองไปที่หวังผ้อและกล่าว “ขอโทษ”
มีหลายเหตุผลที่เขาควรขอโทษ ไม่ว่าจะเป็นคำสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาว การที่ผู้แข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอกว่า ผู้อาวุโสทำร้ายผู้เยาว์ หรือการตายของผู้เป็นอนาคตของมนุษยชาติ
หวังผ้อไม่ตอบรับคำขอโทษ ในมุมมองของเขา การที่เขาจะพ่ายแพ้ในวันนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน
ใช่แล้ว บางทีทั่วทั้งต้าลู่อาจไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะได้ ต่อให้เขาเป็นหวังผ้อก็ตาม
แต่กระนั้น ตัวเขาเองเชื่อว่าเป็นไปได้
ด้วยว่าฝนในเมืองสวินหยางตกอย่างรวดเร็ว ใบไม้ร่วงในอารามถานเจ้อจึงงดงามมาก ต้นหลิวในฤดูหนาวชั้นแล้วชั้นเล่าเติบโตริมแม่น้ำลั่ว ทั้งหมดนี้เป็นเสมือนหมอกหนา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบดบังสายตาของเขา
หวังผ้อยกดาบขึ้นและชี้ไปที่เถี่ยซู่ การกระทำนี้เป็นไปอย่างมั่นคงและเรียบง่าย
แต่ดาบของเขาสั่นเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความปรารถนาจะต่อสู้ ความกล้าที่จะท้าทาย
ผ่านไปหลายวันหลังจากเหตุในอารามถานเจ้อ เขาก็ยังไม่ได้ชักดาบออกจากฝัก
ใครก็บอกได้ว่าดาบนี้ต้องเป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยใช้ออกมาในชีวิตนี้
เขาอยู่ห่างจากเถี่ยซู่แค่โต๊ะตัวเดียว ว่าตามเหตุผลดาบที่ยกขึ้นควรจะสัมผัสถูกเสื้อผ้าของเถี่ยซู่
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขายกดาบขึ้น กลับดูเหมือนจะถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยแม่น้ำกว้าง ระยะห่างระหว่างพวกเขากว้างมาก เป็นไปไม่ได้ที่ดาบนั้นจะสัมผัสเสื้อของเถี่ยซู่
หรือว่านี่คือระยะห่างอันกว้างใหญ่ของโลกมนุษย์กับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
ดาบเหล็กนี้จะสามารถตัดผ่านระยะห่างนี้และฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้าพร่างดาวหรือไม่
ไม่มีใครรู้ได้
ก่อนหวังผ้อจะชักดาบออกมา ความเป็นไปได้นั้นไร้ขีดจำกัด
ตอนที่เขาชักดาบออกมา ความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดก็จะถล่มลงจนเหลือแค่ความเป็นจริงแค่อย่างเดียว
ทั่วโลกกำลังรอดูความจริงนี้ ไม่รู้ว่าใครบ้างที่ไม่อาจทนรับความจริงนี้ได้
ในตอนนั้นเถี่ยซู่ได้ตัดสินใจ
ตัวเลือกนี้เรียบง่ายอย่างมาก แต่มันเป็นตัวแทนของประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายศตวรรษ
เขาเลือกที่จะโจมตี
เขาไม่อาจปล่อยให้หวังผ้อชักดาบได้
เขาตัดสินใจที่จะไม่มอบโอกาสให้หวังผ้อได้ชักดาบ
ไม่ว่าความจริงแบบใดที่ดาบนี้บรรจุไว้ เขาไม่หวังจะได้เห็นมัน
เป้าหมายของเขาก็คือฆ่าหวังผ้อมาตลอด ไม่ใช่ได้เห็นดาบของหวังผ้อ
ตอนที่เขาตัดสินใจจะโจมตี ไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วไปกว่าเขา
ต่อให้คู่ต่อสู้เป็นยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงในร่างหงส์สวรรค์ หรือหนานเค่อก็ไม่อาจเทียบได้
หวังผ้อไม่ใช่คนพวกนั้น
ดังนั้นมือของเถี่ยซู่จึงตกลงบนดาบของหวังผ้อเป็นอันดับแรก
ในตอนนี้ดาบของหวังผ้อยังคงอยู่ในฝัก
หิมะตกลงมาจากท้องฟ้าและแข็งไปอย่างฉับพลัน
เสียงฟ้าร้องดังผ่านถนน
อาคารสองฝั่งถนนก็ถูกบดเป็นผงในทันที
เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นผงไปเช่นกัน
ฝุ่นผงจางลง เมฆกระจายตัวไป ถนนไร้ซึ่งผู้คน ทั้งหวังผ้อและเถียซู่หายไปอย่างไรร่องรอย
ทว่าเสียงฟ้าร้องยังคงดำเนินต่อไป ดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่รู้จบ
ในที่สุดก็กระแทกเข้าสู่แม่น้ำลั่ว