“ทว่าคัมภีร์ก็ศึกษาหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา
เขาได้ต้นฉบับคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือ ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอีกสองวิชาที่เหลือได้แก่คัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขต ตนก็ได้ศึกษาแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนานในโลกใบนี้ สติปัญญาที่ตกผลึกของผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับยอดสุดก็คือคัมภีร์ ‘ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ หนึ่งเล่มและคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองเล่มที่พวกเขาคิดค้นขึ้น
คัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเล่มนั้นไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก และยังศึกษามิได้ด้วย
ส่วนจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เนื่องจากมีเผยแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก ตนจึงสามารถใช้ของแลกของเพื่อศึกษาได้
“ซึมซับสติปัญญาของผู้แกร่งกล้าคนอื่นให้ตนเองใช้” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มตั้งใจรับรู้ขึ้นมา
ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่ง ควรจะรู้จักศึกษาสิ่งอื่น
ศึกษาจากฟ้าดิน!
ศึกษาจากหมื่นสรรพสิ่ง!
ศึกษาจากผู้อื่น!
ซึมซับและรับรู้จากบริเวณต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในกายตนเอง แล้วบุกเบิกเส้นทางของตนเองขึ้นมา
……
คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนแต่เยี่ยมยอดมาก ต่อให้เป็นคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยอดเยี่ยมมาก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือเคล็ดวิชาอันมั่นคง สิ่งที่คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศเชี่ยวชาญที่สุดก็คือศาสตร์การเหินทะยาน เมื่อทะยานไปก็เหมือนกับแมลงมารตัวหนึ่งที่เคลื่อนไหว แม้จะมิอาจทะลุอากาศไปได้ แต่ความเร็วกลับเหนือกว่าจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนอื่นๆ อยู่มากทีเดียว โดยทั่วไปแล้วจักรพรรดิเทพช่วงกลางก็มิอาจไล่ตามได้ทัน!
ทว่าเคล็ดวิชานี้ หนีเอาชีวิตรอดได้ร้ายกาจ แต่ทางด้านการต่อสู้กลับอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทั้งสองคือคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตนั้นก็ร้ายกาจนัก! พวกมันล้วนแต่เป็นเคล็ดวิชาฝึกกาย
คัมภีร์ฟ้าดิน เป็นการฝึกให้ทั้งร่างกลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล้ามเนื้อก็เหมือนกับผืนดินอันหนักแน่นซึ่งไร้ที่สิ้นสุด กระดูกประหนึ่งเทือกเขา โลหิตดุจดั่งสายน้ำกลางอากาศที่ทอดตัวออกไป และยังมีดาวเคราะห์ เทหวัตถุต่างๆ ล่องลอยอยู่ สายน้ำทอดตัวออกไป…โลกใบนี้กว้างใหญ่หาใดเปรียบ มีเทหวัตถุและผืนดิน
ร่างกายร่างหนึ่ง ภายในมีโลกหลายใบที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อฝึกเคล็ดวิชานี้จนถึงช่วงท้าย ขณะต่อสู้ก็จะถูกบีบบังคับจนเผยให้เห็น ‘ร่างจริง’ อันแข็งแกร่ง ออกมา ต่อให้อยู่ในโลกเทพ ร่างจริงที่เผยออกมาก็ใหญ่โตถึงหลายหมื่นลี้! ใหญ่กว่าชาวโลกเทพระดับจักรพรรดิเทพหลายคนมากทีเดียว ร่างกายใหญ่โต พลังยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด! แต่ละกระบวนท่าล้วนเหิมเกริมหาใดเปรียบ ในฐานะผู้เหินทะยาน ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง พลังรบก็เทียบได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว
แม้คัมภีร์ไร้ขอบเขตจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกกายเช่นเดียวกัน แต่กลับแตกต่างกับคัมภีร์ฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง
ฟ้าดิน แทบจะเป็นการนำเอาโครงสร้างโลกชนิดต่างๆ หลอมรวมเข้าไปภายในกายหยาบอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนคัมภีร์ไร้ขอบเขตกลับมีเพียงคำเดียว…ว่างเปล่า!
ทุกอณูภายในกายหยาบล้วนเหมือนกับมิติอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ทั้งกายหยาบก็คือมิติใหญ่ห่อหุ้มมิติขนาดเล็ก มิติขนาดใหญ่ยิ่งหุ้มมิติขนาดใหญ่เอาไว้อีกที…ห่อหุ้มชั้นแล้วชั้นเล่า ผู้แกร่งกล้าที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ กายหยาบก็คือมิติที่มีจำนวนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก่อให้เกิดเป็นร่างรวมอันสมบูรณ์แบบขึ้นมาในท้ายที่สุด หากฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ ขณะสู้รบก็พิสดารมากทีเดียว
ต่อให้อยู่ภายใต้การกดดันของโลกเทพ ใหญ่ ก็สามารถแปรเป็นยักษ์ตัวใหญ่นับล้านลี้ได้! เล็ก ก็เหมือนมดแมลง
หากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายโจมตีอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่งลงบนร่างของเขา มิติซึ่งมีชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกายหยาบก็สามารถดูดซึมพละกำลังที่เข้ามาโจมตีได้อย่างง่ายดาย! เขายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ศัตรูโจมตี ศัตรูก็มิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย ต่อให้เป็นบรรดาสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นซึ่งจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของโลกใบนี้ ก็ทำได้เพียงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ยากจะสังหารเขาได้
หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิต
คัมภีร์ไร้ขอบเขต เหนือกว่าคัมภีร์ฟ้าดินเสียอีก
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คัมภีร์ฟ้าดินนั้นสมดุลกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษาชีวิตหรือการห้ำหั่นซึ่งหน้า ล้วนสามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย
“ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ ได้ทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจไปจำนวนนับไม่ถ้วนบนเส้นทางเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า ตนอาจจะสามารถศึกษาได้ แต่ต่อจากนั้นจะคิดค้นต่อไปน่ะหรือ ไหนเลยจะเทียบได้กับผู้คิดค้นซึ่งบุกเบิกขึ้นมาทีละก้าวๆ ด้วยความลำบากยากเข็ญจนถึงทุกวันนี้ได้เล่า
“เคล็ดวิชาทั้งสองนี้ล้วนแต่มีจุดบกพร่อง”
“คัมภีร์ฟ้าดินทะเยอทะยานไปหน่อย จะทำให้ร่างกายกลายเป็นโลก เกี่ยวโยงกับการหมุนเวียนของโลกมากมายเกินไป การหมุนเวียนต่างๆ ซับซ้อนเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ข้าก็รู้สึกว่าซับซ้อนจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ จะไปถึงช่วงท้าย ไปจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ หรือกระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นน่ะหรือ คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าทางเส้นนี้ยากเกินไปแล้ว”
แน่นอนว่าผู้แกร่งกล้าแต่ละคนรู้เกี่ยวกับเข้าใจเรื่อง ‘วิถี’ แตกต่างกัน
ตัวเขาตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทางเส้นนี้แทบจะเป็นทางตัน แต่คนอื่นกลับรู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุด
“คัมภีร์ไร้ขอบเขตก็สุดโต่งเกินไปแล้ว ใฝ่หาความสามารถในการรักษาชีวิตขั้นสุดเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
……
คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนมีสิ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บตัวแล้วตั้งใจขัดเกลา ร่างแยกที่อยู่ไกลถึงในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดก็ล้วนกำลังรับรู้อยู่เช่นกัน เมื่อรับรู้มัน ซึมซับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หลอมรวมเข้าไปในการฝึกกายคละถิ่นของตน
ด้านการฝึกกายคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังจนถึงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ในที่สุด แม้แต่เคล็ดวิชาฝึกกายซึ่งเดิมทีไม่มั่นคงเท่าใดนักก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป และซึมซับการโอบอุ้มของคัมภีร์ไร้ขอบเขต ซึมซับการหมุนเวียนของคัมภีร์ฟ้าดิน เคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตนก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา อีกทั้งเนื่องจากอยู่ในดินแดนจิตโลกาและอยู่ในโลกใบนี้ ได้ใช้ความเร้นลับวิถีอากาศที่แตกต่างกัน บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ต่อเนื่องกัน และทำให้เขาสั่งสมได้อย่างหนาแน่นมากขึ้น
******
เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเวลาแปดล้านกว่าปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้แล้ว
……
ท่ามกลางเมฆหมอกอันเวิ้งว้าง เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินเหินไปด้วยความเร็วสูง
บนเรือใหญ่ บรรดาทหารรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายระดับจ้าวเทพออกมากระจายตัวกันอยู่ทั้งซ้ายขวา
“ฟิ้ว”
เงาร่างองอาจสายหนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารห้องหนึ่งบนเรือ เขาสวมอาภรณ์สีดำหนาเตอะ เขาเดินไปยังหัวเรือ ด้านหลังเขามีเงาร่างห้าสายติดตามมา ทั้งห้าคนนั้นมีทั้งชายหญิงซึ่งแผ่กลิ่นอายของจักรพรรดิเทพช่วงต้นออกมา
“ใกล้ถึงเมืองจวิ้นซานแล้วกระมัง” ชายชราผู้องอาจผู้นี้เอ่ยปาก
“ด้วยความเร็วในตอนนี้ คาดว่าต้องใช้เวลาราวห้าวัน” สตรีอาภรณ์เขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสัมผัสรับรู้ดูห่างๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ยังเหลืออีกห้าวัน!” ชายชราผู้องอาจมองดูอยู่ไกลๆ มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันคืนอันสงบสุขของเจ้าเหลือเพียงห้าวันเท่านั้น”
“พี่ใหญ่ นับตั้งแต่พลังของท่านบรรลุแล้ว สกุลอวี้เฟิงนี่ก็เตรียมกองวาณิชมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอื่นๆ มากมาย แม้จะกล่าวว่าเป็นกองวาณิช แต่อันที่จริงแล้วกลับพาลูกหลานสกุลอวี้เฟิงจำนวนมากไปด้วย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจายตัวกันอยู่ตามตัวเมืองต่างๆ มากมายยิ่งนัก! ลูกหลานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรนัก จะหาตัวให้พบก็ยากมาก” บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ทำเช่นไรได้เล่า”
ชายชราผู้องอาจพูดเสียงเรียบ “นี่เป็นวิธีที่สง่าผ่าเผย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจัดกระจายไปหลายเมืองถึงเพียงนั้น อีกทั้งแต่ละคนก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกด้วย ไม่มีทางตามหาได้พบ และไม่คุ้มค่าที่จะหาด้วย”
ตามหาหรือ
โดยทั่วไปแล้วก็อาศัยวิชาสะกดรอย ซึ่งการสะกดรอยนั้น อย่างแรกจะต้องสร้างเหตุปัจจัยต่อกันเสียก่อน! ลูกหลานทั่วไปของสกุลอวี้เฟิงนั้น จะมาสร้างเหตุปัจจัยกับพวกเขาก็ยากยิ่งนัก คงเล็กละเอียดเสียจนยากจะจะตรวจสอบได้ เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ก็หาไม่พบกันหมดแล้ว
“ในภายหน้าก็มีแต่ต้องจับตามองเอาไว้ก็เท่านั้น หากพบว่ามีผู้ใดรุ่งโรจน์ขึ้นมาด้วยชื่อเสียงของสกุลอวี้เฟิง ก็ค่อยไปกำจัดก็เท่านั้นเอง” บุรุษผู้องอาจกล่าว “ขอเพียงพวกเขามิได้รุ่งโรจน์ขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจลูกหลานที่อ่อนแอเหล่านั้นหรอก”
“ใช่แล้ว ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาเลย”
“สกุลอวี้เฟิงเป็นขุมอำนาจเล็กๆ ในโลกเทพ คิดจะมีจักรพรรดิเทพขึ้นมาสักคนก็ทำได้เพียงฝันไปเท่านั้น”
พวกเขาแต่ละคนล้วนรังเกียจ
อัตรส่นที่จะให้กำเนิดจักรพรรดิเทพขึ้นมานั้นยากเย็นเพียงใดกัน
ต่อให้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว คนสมาคมจิตมารก็สามารถกำจัดทิ้งได้หมด!
“กำจัดอวี้เฟิงจวิ้นซานและบุตรธิดาที่รักของเขารวมทั้งยอดฝีมือคนสำคัญทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งสกุลอวี้เฟิงที่ยังคงอยู่ในเมืองจวิ้นซานให้สิ้นซาก ความแค้นนี้ ก็จะดับลงไปชั่วคราว! ข้ายังเมตตามากนัก” บุรุษผู้องอาจยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มกลับเหี้ยมเกรียมอยู่บ้าง “อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ก็นับได้ว่าหาญกล้าอยู่เหมือนกัน อยู่ในเมืองมาตลอด มิได้หนีไปข้างนอกเลย”
“เขาจะหนีก็หนีไม่พ้น! พวกเราสะกดรอยคอยจับตามองเขา เขาไม่มีที่ให้หนีไปหรอก ”
“เกรงว่าเขาอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็เพราะจะอาศัยความได้เปรียบทางด้านพื้นที่สู้กับพวกเราให้รู้ดำรู้แดงสักตั้งน่ะสิ”
“สู้กับพวกเราสมาคมจิตมารให้รู้ดำรู้แดงอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า ช่างน่าขันนัก ด้วยการโจมตีของพวกเรา เกรงว่าทั้งเมืองจวิ้นซานคงจะต้านรับไม่ได้สักชั่วจอกชาเดียวเสียด้วยซ้ำ”
จักรพรรดิเทพอีกห้าคนพากันยิ้มหยัน
ด้วยพลังของคนสมาคมจิตมารที่บัดนี้จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพ ผู้ใต้บังคับบัญชามียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเพียงห้าคนเท่านั้น สาเหตุเพราะเขาบรรลุได้ไม่นานเท่าใดนัก โดยทั่วไปพลังระดับคนสมาคมจิตมารนั้น มีผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพสิบกว่าคนก็ถือเป็นเรื่องปกตินัก
“แม้พลังของเมืองจวิ้นซานจะธรรมดาทั่วไป แต่เจ้าและคนอื่นๆ ก็ต้องระมัดระวัง อีกฝ่ายจะสู้เอาเป็นเอาตายแล้ว พวกเราไม่ใช่แค่ต้องฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงเท่านั้น แต่ยังต้องลดความเสียหายของตนให้ต่ำที่สุดด้วย” คนสมาคมจิตมารหมุนกายกลับมามองลูกน้องทั้งห้าแวบหนึ่ง
“ขอรับ พี่ใหญ่” จักรพรรดิเทพทั้งห้ารับคำ
คนสมาคมจิตมารพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็สาวเท้าเข้าไปในห้องโดยสาร
………………………………