เกล็ดหิมะใสกระจ่าง ลอยละล่องไปทั่วฟ้าดิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินกำลังดื่มสุราด้วยกันพลางฟังเสียงพิณด้านข้าง ด้านข้างไม่ไกลออกไปนักมีสตรีโฉมงามนางหนึ่งกำลังดีดพิณอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงพิณอันไพเราะแผ่ไปทั่วทั้งสวน ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็รู้สึกดื่มด่ำเป็นอันมาก
รอจนเสียงพิณหยุดลง ปรมาจารย์พิณหญิงนางนั้นหยุดแล้วก็ยิ้มร่าพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอิน
“เชิญจ้าวเทพหิมะเหินและคุณหนูสามแสดงความเห็นเสียหน่อยเถิด” ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้พูด
“ทุกครั้งที่ได้ฟังพี่เหลิ่งดีดพิณ ก็ราวกับอยู่ในฝันอย่างไรอย่างนั้น ช่างงดงามเหลือเกิน” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยชม ดวงตาเปล่งประกายออกมา
ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้า ตลอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ แม้เขาจะชมชอบดนตรีเป็นอันมาก แต่ก็ไม่เคยใส่ใจมาตลอด นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์ยืนกรานจะแนะนำปรมาจารย์พิณ ‘เหลิ่งซิน’ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานให้ ตอนนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงให้ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาดีดพิณที่จวนของตน แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเก็บซ่อนพลังมาโดยตลอด แต่ดีร้ายอย่างไรพลังที่เผยออกมาภายนอกเพียงผิวเผินก็สามารถสังหารจ้าวภูเขาค้างคาวได้ปรมาจารย์พิณหญิง ‘เหลิ่งซิน’ ผู้นี้ก็ย่อมตั้งใจแสดงเป็นอันมาก
ตอนเริ่มแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าล้ำเลิศ
แต่หลังจากที่นางมาที่จวนของตนและได้ฟังหลายครั้งเข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ขัดเกลาจุดที่เหมือนกันของ ‘เสียงพิณ’ นี้กับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ของตนออกมาได้ ในวิถีเขตลวงโลกเทียมมี ‘ภาพลวง’ อยู่สายหนึ่ง ทางสายภาพลวงบางครั้งก็สามารถอาศัยเสียงสำแดงออกมาได้
“ไม่เสียทีที่เป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซาน สามารถสำเร็จเป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งได้ มีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ ผลสำเร็จทางด้านดนตรีของนางก็บรรลุถึงขั้นสูงส่งอย่างยิ่งทีเดียว สายเลือดบรรพเทวะของนางก็เชี่ยวชาญทางสายนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้หลายๆ เสียงของนางยังใช้ได้ค่อนข้างหยาบอยู่มาก แต่ความรู้สึกอิสระที่มาจากใจล้วนๆ กลับเป็นสิ่งที่ข้าสู้ไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
วิถีเขตลวงโลกเทียมของเขาเคยรู้แจ้งได้ถึงสองกระบวนท่า หนึ่งคือทำให้ศัตรูจมจ่อมลงไป หนึ่งคือผลาญทำลายวิญญาณของศัตรู ทั้งสองกระบวนท่านี้คือสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้จาก ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ แต่เขามิอาจทำให้ทั้งสองรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบได้
แต่หลังจากได้ฟังเสียงพิณแล้ว เขาก็รู้ปัญหาของตน
“ข้ารู้มาตลอดว่า สิ่งที่แก่นแท้ที่สุดของวิญญาณไม่ว่าดวงไหนปรารถนาก็คือ ‘อิสระ’ นั่นคือเส้นทางของวิถีเขตลวงโลกเทียม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ข้าเคยได้เห็นหยาดน้ำพันเนตรในตอนนั้นครั้งหนึ่ง และพยายามทบทวนความทรงจำตลอด พยายามหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่อันที่จริงกลับจงใจเกินไปแล้ว! ข้ารู้ทั้งรู้ว่า ‘อิสระ’ จึงจะเป็นแก่นแท้ของวิญญาณ นี่ต่างหากจึงจะเป็นการหลอมรวมแก่นสำคัญของท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน”
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ฮึดฮัด
การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง
ต่อให้คนอื่นบอกวิธีให้ทราบ หากตนเองไม่เผชิญความลำบากมากพอ ก็มิอาจรู้แจ้งถึงแก่นของวิธีนี้
หลังจากกระจ่างแจ้งในข้อนี้แล้ว
ร่างแยกของเขาที่อยู่ในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเก็บตัวเพื่อรับรู้ในทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงมีลางสังหรณ์ว่า เชื่อว่าหากใช้เวลานานพอ ท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมจะต้องสามารถรวมกันได้อย่างแท้จริงแน่นอน
……
นี่เป็นเพราะเสียงพิณนี้ไปกระตุ้นการบำเพ็ญทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะเชิญปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาเป็นประจำ
“จ้าวเทพหิมะเหินยังมิได้ออกความเห็นเลย” ปรมาจารย์พิณหญิงมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“เสียงพิณของแม่นางเหลิ่งเหินทะยานตามอำเภอใจ ทำให้จิตใจคนหลอมรวมกับมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ทว่าแม่นางเหลิ่งก็สามารถเก็บรวบรวมเคล็ดวิชาทางด้านเสียงต่างๆ แล้วรับรู้ให้มากหน่อย อาจจะมีส่วนช่วยแม่นางเหลิ่งบ้างก็เป็นได้”
ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูด ก็เพราะกังวลว่าหากนางตั้งใจค้นคว้าทางด้านเสียง อาจทำให้สูญเสียความอิสระที่มีแต่เดิมไป ทว่าเมื่อพูดจากมุมมองทางด้านการบำเพ็ญแล้ว ต่อให้ลำบางบ้าง ก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี
“เสียงหรือ” ปรมาจารย์พิณหญิงงุนงง “ดนตรีก็คือดนตรี เสียงก็คือเสียงกระมัง”
“รับรู้ดูเสียหน่อย จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ขอบคุณจ้าวเทพที่ชี้แนะ” แม้ปรมาจารย์พิณหญิงจะงุนงง แต่ก็ยังคงตัดสินใจฟังคำชี้แนะของผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพคนนี้ และไปตามหาคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญทางด้านเสียงต่างๆ มาบำเพ็ญเสียหน่อย ที่ผ่านมานางบำเพ็ญพละกำลังสายเลือดล้วนๆ ดนตรีนั้นสำแดงออกมาจากพละกำลังของสายโลหิตตามธรรมชาติ เป็นพรสวรรค์
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
แม้จะอยู่กับศิษย์และกำลังสนทนากับปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้ แต่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังคงมีความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายผุดขึ้นมา ระดับขั้นอย่างเขาแล้ว การแบ่งสมาธิทำหลายสิ่งพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องตามธรรมชาติราวกับการกินข้าวหรือดื่มน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้อาวุโสสองท่านนั้นสามารถคิดค้นคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางอย่างคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตขึ้นมาได้ ส่วนข้าอยากให้การฝึกกายคละถิ่นบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง กลับยังมีปัญหามากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด ตอนนี้การฝึกกายคละถิ่นของเขาในระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ นั้นมั่นคงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขายังถึงขั้น คิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ แต่การสำแดงพลังระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ออกมาอย่างพอถูไถนั้น กลับยังไม่มั่นคง
“ทว่าการบำเพ็ญภายใต้อารยธรรมที่แตกต่างกันก็มีส่วนช่วยอย่างแท้จริง” ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจนัยยะของ ‘หยวน’ แล้ว
อารยธรรมที่แตกต่างกัน
ในดินแดนจิตโลกาและโลกปัจจุบันนี้ การกดดันของกฎเกณฑ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของอารยธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งระหว่างกระบวนการปรับตัวนี้ ก็ทำให้ ‘วิถี’ ของเขาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่สามารถทะลุผ่านโลกทุกใบได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นนิรันดร์ และมีคุณสมบัติพอจะกระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้
“จ้าวเทพหิมะเหิน รีบมาในจวนข้าเร็วเข้า” สารหนึ่งถูกส่งมา
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือจอกสุราเอาไว้ในมือพลางไตร่ตรองเรื่องการฝึกกายคละถิ่นพลันสะดุ้งเฮือก “เป็นสารจากท่านเจ้าเมืองอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือ”
“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้งเฮือก นางก็ได้รับสารเช่นกัน
“ชิงอิน ท่านเจ้าเมืองก็เรียกตัวเจ้าไปด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสีหน้าของศิษย์ก็พูดยิ้มๆ ขึ้นมา
“เจ้าค่ะ” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว จากนั้นก็มองไปทางปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “แม่นางเหลิ่ง ข้าและชิงอินยังมีธุระบางอย่าง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินอำลาและจากไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พาอวี้เฟิงชิงอินมุ่งหน้าไปยังจวนท่านเจ้าเมือง
******
ณ จวนท่านเจ้าเมืองซึ่งก็คือที่ตั้งของสกุลอวี้เฟิงที่กินพื้นที่กว้างขวางนัก
ภายในตำหนักหลัก
ยามนี้มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ มีลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเอง และมีเหล่าผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ด้วย คนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เป็นจ้าวเทพช่วงกลาง และจ้าวเทพช่วงกลางขึ้นไป ผู้ที่มีพลังอ่อนแออย่างอวี้เฟิงชิงอินนั้นมีให้เห็นน้อยมาก เนื่องจากนางมีสถานะสูงส่งเป็นถึงธิดาของท่านเจ้าเมือง จึงมีสิทธิ์มาอยู่ที่นี่ได้
“พี่หิมะเหิน ท่านว่าจู่ๆ ท่านเจ้าเมืองผู้นี้เรียกคนมากมายเช่นนี้มารวมตัวกันทำไม ยอดฝีมือถูกเรียกตัวมาแทบจะครบทั้งเมืองแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวเดินเข้ามา ศีรษะทรงสามเหลี่ยมอัปลักษณ์โดยแท้ แต่สีหน้ากลับกระติอรือร้นเป็นอันมาก
“ผู้ใดจะไปรู้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ใส่ใจ เขาอยู่ในเมืองจวิ้นซาน ก็เพื่อพำนักและบำเพ็ญเป็นหลัก
“เมืองจวิ้นซานมิได้เรียกผู้แกร่งกล้ามากมายถึงเพียงนี้มารวมตัวกันตั้งนานแล้ว ข้าว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่” จ้าวภูเขาค้างคาวกล่าว มิใช้แค่เขาเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าหลายคนในที่นั้นก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ
จู่ๆ ก็เรียกรวมตัวอย่างกะทันหัน ทั้งยังมิได้บอกสาเหตุ ทุกคนพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา
“มาแล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”
ในโถงตำหนักเงียบลงทันใด ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ บุรุษวัยกลางคนผมสีดอกเลาผู้เจนโลก เดินออกมาจากประตูข้างของโถงตำหนัก มีพ่อบ้านถงติดตามอยู่ข้างกาย
อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ทำให้สกุลอวี้เฟิงรุ่งเรืองขึ้นมา ตนเองสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพได้ และถึงขั้นบุกเบิกขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ช่างเป็นวีรบุรุษโดยแท้ เพียงแต่วันนี้ใบหน้าของอวี้เฟิงจวิ้นซานเคร่งขรึมดุจวารี เขาเดินไปถึงหน้าบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งประธานแล้วก็ยืนตรงแน่วโดยมิได้นั่งลง เขามองลงไปเบื้องล่างแล้วเอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าทุกท่านคงกำลังคาดเดากันอยู่ ว่าจู่ๆ ข้าก็เรียกทุกท่านมารวมตัวกันอย่างกะทันหันด้วยเหตุใดกัน!”
ฝูงชนเบื้องล่างพากันเงยหน้ามองอวี้เฟิงจวิ้นซาน
“มีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งสังหารมาทางเมืองจวิ้นซานของเรา” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปเบื้องล่าง “คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามให้หลังก็จะมาถึงแล้ว”
“อะไรนะ”
“ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ”
“ครึ่งชั่วยามหรือ”
ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็เต็มไปด้วยความอลหม่าน ข่าวนี้มาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว
“ท่านเจ้าเมือง ศัตรูที่แข็งแกร่งอะไรกัน เหตุใดจึงมาโจมตีเมืองจวิ้นซานของเราเล่า” เบื้องล่างราวกับเกิดจลาจลขึ้นมา
อวี้เฟิงจวิ้นซานขมวดคิ้วน้อยๆ พลางแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง โถงตำหนักเงียบลงทันที
“ศัตรูมีพลังแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของสกุลอวี้เฟิงเราอีกด้วย ไม่มีทางแก้ไขได้เลย” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองลงไปเบื้องล่าง พูดพลางยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังคิดว่า มีความแค้นกับสกุลอวี้เฟิงมิได้มีความแค้นกับพวกท่านเสียหน่อย ถูกต้องหรือไม่”
ผู้แกร่งกล้าหลายคนด้านล่างสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
“ข้าอวี้เฟิงจวิ้นซานปกครองเมืองจวิ้นซานมาจวบจนบัดนี้ ดูแลพวกท่านดีไม่น้อย บัดนี้เมื่อเผชิญกับวิกฤต ก็ขอเชิญให้ทุกท่านช่วยอุทิศแรงสักหน่อย” อวี้เฟิงจวิ้นซานกล่าว แม้ปากจะพูดว่า ‘เชิญ’ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของอวี้เฟิงจวิ้นซาน! เห็นได้ชัดว่าทุกคนในที่นั้นต้องตอบตกลงสถานเดียว มิเช่นนั้นแล้วค่ายกลต่างๆ ทั่วจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีสกุลอวี้เฟิงเป็นผู้ควบคุมทั้งสิ้น
เดิมทีสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งยังควบคุมค่ายกลด้วย
แล้วพวกเขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไรกัน
“ข้าและคนอื่นๆ ย่อมทำอย่างสุดกำลังแน่นอน”
“ท่านเจ้าเมือง สกุลอวี้เฟิงมีบุญคุณต่อพวกเรา บัดนี้ย่อมไม่ถอยแน่นอน” ทันใดนั้นก็มีผู้แกร่งกล้หลายคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ก็ล้วนแต่ไม่โง่งม พวกเขาล้วนรู้ว่าเวลานี้คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว
“อื้ม” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้า “วางใจให้เต็มที่เถิด ถึงตอนนั้นข้าจะรับมือศัตรูที่อันตรายที่สุดเอง และผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงเราก็จะไปรับมือด้วยเช่นกัน พวกเจ้ามีพละกำลังของค่ายกลคอยช่วยเสริมแรง ศัตรูที่เผชิญหน้าก็แข็งแกร่งไปไม่ถึงไหนหรอก”
ทุกคนในที่นั้นทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่เงียบๆ ท่ามกลางกลุ่มคน
ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ
ทำให้อวี้เฟิงจวิ้นซานต้องบีบบังคับยอดฝีมือทั้งหลายในเมือง เห็นทีศัตรูคงจะมีภัยคุกคามมากทีเดียว
อวี้เฟิงชิงอินซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอบส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “ท่านอาจารย์ ศัตรูแข็งแกร่งนัก พวกเราสกุลอวี้เฟิงต้านทานเอาไว้ไม่ไหว ท่านอาจารย์จะต้องไปซ่อนตัวให้ไกลหน่อย ถ่อมตัวหน่อย หากสบโอกาสก็รีบหนีไปเสียเถิด ไม่จำเป็นต้องตายไปพร้อมกับสกุลอวี้เฟิงของข้าหรอก” พวกอวี้เฟิงชิงอินได้รับคำสั่งอันเข้มงวดมาก่อนแล้วว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนภายนอกรู้
“ต้านไว้ไม่ไหวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ เขาหันกลับไปมองศิษย์ของตน
อวี้เฟิงชิงอินมองเขาพลางพยักหน้าน้อยๆ ขณะเดียวกันก็ส่งสารไปว่า “ท่านอาจารย์ นี่คือหายนะของสกุลอวี้เฟิงเรา ได้รู้จักท่านอาจารย์ก่อนหายนะครั้งใหญ่ นับได้ว่าเป็นโชคดีของชิงอินแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้หายนะอันตรายเกินไป อาจารย์อย่าได้ถลำลึกเข้าไปมากนักเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกว่าสกุลอวี้เฟิงของข้ามากนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิสัมผัสได้ถึงความร้อนรนใจและความเป็นห่วงของศิษย์
พวกชิงอินเตรียมตัวสู้จนตัวตายแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าศิษย์ทึ่มนี่!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอวี้เฟิงชิงอิน ยิ้มแล้วยิ้มอีกก่อนจะถ่ายเสียงบอกว่า “วางใจเถิด แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจอยู่แล้ว”
อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ทั้งวางใจ ทั้งผิดหวังอยู่บ้างที่อาจารย์ไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์อย่างตนเลยแม้แต่น้อย
………………………………