ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 39 ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภายในโถงตำหนักกำลังปั่นป่วนเล็กน้อย อวี้เฟิงจวิ้นซานนั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งประธาน สีหน้าเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น

 

เขาเลือกที่จะรั้งอยู่ต่อไป เตรียมตัวต่อสู้จนตัวตายเป็นอย่างดี!

 

สกุลอวี้เฟิงขยายเผ่าพันธุ์มาเป็นระยะเวลายาวนาน สมาชิกตระกูลก็มีอยู่มากมายเป็นอย่างยิ่ง บรรดาคนวัยเยาว์หรือว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งในนั้นที่ถูกอวี้เฟิงจวิ้นซานคิดว่ามีความคุ้มค่าที่จะบ่มเพาะได้ ต่างก็ถูกส่งตัวไปยังปราการเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าในช่วงแปดล้านปีที่ผ่านมา เขายิ่งกำชับอย่างเข้มงวดให้บรรดาสมาชิกตระกูลที่จากไปกบดาน ไม่ให้อาศัยชื่อเสียงของ ‘สกุลอวี้เฟิง’ ไปเดินร่อนเร่อยู่ข้างนอก

 

“หึ สกุลอวี้เฟิงของข้ามีสมาชิกตระกูลมากมายถึงเพียงนั้นสมาคมจิตมารจะรู้จักมากมายสักเท่าใดกัน ต่อให้สามารถตรวจหารายนาทส่วนใหญ่ออกมาได้! แต่ยอดฝีมือที่สมาคมจิตมารสามารถสะกดรอยได้ทั้งหมดจะมีสักกี่คนกันเล่า จะไปที่เมืองทุกแห่ง เสาะหาทั่วทุกที่อย่างนั้นหรือ”

 

“สกุลอวี้เฟิงของข้าติดตั้งค่ายกลมากมายโดยไม่เสียดายมูลค่า ต่อสู้กับเจ้า โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์”

 

“คิดจะผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือของเจ้าจะต้องตายไปมากมายเท่าใด”

 

ในขณะนี้ความอาฆาตของอวี้เฟิงจวิ้นซานกำลังพุ่งทะยาน เขาคิดเพียงแต่ว่าจะสังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตาย!

 

……

 

จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นต่างก็เดินมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ พวกเขาทั้งสามคนล้ว

 

เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง

 

“น้องหิมะเหิน น้องเจียนอิ่น” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด “ท่านเจ้าเมืองให้พวกเราอยู่ที่นี่ทั้งหมด อยู่ภายในบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ดูท่าทางจะทอดทิ้งเมืองชั้นนอกตั้งแต่เริ่มต้น! หมายจะปกป้องเมืองชั้นในนี้อย่างสุดกำลังแล้ว ศัตรูสามารถบีบให้สกุลอวี้เฟิงละทิ้งเมืองชั้นนอก ปกป้องเมืองชั้นในอย่างสุดกำลัง ศัตรูจะต้องน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดอย่างแน่นอน”

 

“จ้าวภูเขาค้างคาวพูดก็มีเหตุผล น้องหิมะเหิน เจ้าเห็นว่าอย่างไร” จ้าวเทพเจียนอิ่นมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

 

“ก็ดูกันไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูดอะไรมาก

 

จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นอดที่จะลอบสงสัยมิได้ ที่พวกเขามาก็หมายจะสร้างทัพหน้าร่วมกันกับจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็จัดอยู่ในแถวหน้าในบรรดาจ้าวเทพช่วงสุดยอด สามคนร่วมมือกัน เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงต้น ก็สามารถรับมือได้พอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ทัศนคติของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใคร่จะเป็นเชิงรุกสักเท่าใดนัก

 

สายตาของตงป๋อเสวี่ยทะลุผ่านประตูโถงตำหนัก เพ่งมองออกไปยังโลกภายนอก

 

ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานก็มีอาณาเขตอยู่เพียงแค่หนึ่งล้านลี้เท่านั้น ซึ่งก็คือเมืองชั้นนอก ส่วนบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิงก็มีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ค่ายกลที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดต่างก็ติดตั้งอยู่ที่บ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ซึ่งก็คือเมืองชั้นในนั่นเอง

 

ภายในโถงตำหนัก กาลเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความวุ่นวายและไม่สงบ

 

“ในที่สุดก็มาแล้ว!” อวี้เฟิงจวิ้นซานลุกขึ้นยืนทันควัน มิได้ปิดบังกลิ่นอายบนร่างเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายล้นฟ้า จากนั้นก็เคลื่อนออกไปจากโถงตำหนักราวกับลำแสง

 

“น้องรอง น้องหญิงสาม พวกเจ้ารักษาตัวพวกเจ้าเองให้ดีล่ะ!” คุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยมองน้องชายน้องสาวของตนปราดหนึ่งแล้วก็พุ่งตัวออกไปจากโถงตำหนักเช่นเดียวกัน พ่อบ้านถงก็พุ่งตามออกไปด้วย

 

สวบๆๆ…

 

เงาร่างกลุ่มหนึ่งเหินทะยานออกมาอย่างต่อเนื่องกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดของสกุลอวี้เฟิงกว่าครึ่งต่างก็ออกไปจากโถงตำหนักแล้ว พวกเขาสร้างค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างคุ้นเคยยิ่ง

 

แต่บรรดายอดฝีมืออย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็มิได้ตื่นตัวเช่นนั้น แต่ละคนก็เดินไปถึงยังปากประตูโถงตำหนัก เพ่งมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ

 

“มาแล้ว”

 

“เรือรบ”

 

ทุกคนมองเห็นว่าที่ขอบฟ้าไกลลิบๆ มีเรือใหญ่ลำหนึ่งปรากฏขึ้น

 

เบื้องล่างทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานมีค่ายกลป้องกันเมืองขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ราวกับฉากกั้นที่ปกป้องทั่วทั้งปราการเมืองเอาไว้

 

ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากเรือรบลำนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาครั้งหนึ่งก็มีความยาวหลายลี้ ปกป้องบนที่ครอบแสงของทั่วทั้งปราการเมืองเสียงดังโครมคราม ที่ครอบแสงถูกกระแทกเปิดออกภายใต้ความบิดเบี้ยว เรือรบใหญ่ลำนั้นดูเหมือนว่าจะมิได้ชะลอตัวลงเลย มันทะยานตรงเข้าไปภายในเมืองจวิ้นซานทางปากถ้ำที่ครอบแสงที่ระเบิดออก

 

“ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรดายอดฝีมือของเมืองจวิ้นซานกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวอยู่ในโถงตำหนักนี้ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็หน้าถอดสี

 

“ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะละทิ้งเมืองชั้นนอก มิได้ต้านรับอย่างสุดกำลัง แต่ค่ายกลป้องกันเมืองถึงกับถูกระเบิดทำลายภายในฝ่ามือเดียว พลังยุทธ์ของศัตรูก็น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว”

 

“จักรพรรดิเทพช่วงต้นไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้กระมัง”

 

“หรือว่า…”

 

ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็มีความคิดต่างๆ นานาปรากฏขึ้นภายในใจ

 

การก้าวข้ามทุกระดับขั้นเล็กของระดับจักรพรรดิเทพต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ร้อยละเก้าสิบเก้าของ ‘จักรพรรดิเทพ’ ทั่วทั้งโลกเทพต่างก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น การจะไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้นั้นช่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก! จักรพรรดิเทพช่วงกลางโดยทั่วไปต่างก็มีสิทธิ์เข้าชื่อในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพแล้ว บนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพทั้งหมดก็เพิ่งจะมีเพียงหนึ่งพันชื่อเท่านั้น! เห็นได้ว่า ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ นั้นหาตัวได้ยากเย็นเพียงใด

 

……

 

เรือใหญ่มาถึง

 

ฝ่ามือหนึ่งระเบิดทำลายค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองชั้นนอกแล้วเข้าไปภายในเมือง

 

บรรดาประชากรจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกเทพเงยหน้าขึ้นมองแล้วต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี มีบางคนถึงขนาดที่หลบซ่อนตัวเข้าไปภายในบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการต่อสู้

 

“รีบซ่อนตัวเร็วเข้า”

 

“พวกเจ้าเข้าไปในห้องเงียบใต้ดินกันให้หมด”

 

ทั่วทั้งปราการเมืองเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย

 

ทว่าเรือใหญ่ลำนั้นกลับมิได้สนใจประชากรโลกเทพธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แล้วเหินลอยไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนของจวนสกุลอวี้เฟิงในระยะเวลาเพียงชั่วอึดใจ

 

“อวี้เฟิงจวิ้นซาน” เสียงหนึ่งดังก้องทั่วฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยความอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานล้วนเงียบสงัดไปชั่วขณะ

 

ชายชราทรงอำนาจที่สวมอาภรณ์หนาสีดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากเรือใหญ่แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ด้านหลังเขามีจักรพรรดิเทพห้าท่านติดตามมาด้วย

 

ชายชราทรงอำนาจผุ้นี้มองดูจวนสกุลอวี้เฟิงพลางหัวเราะอย่างเย็นชา “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว! วันนี้ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็จะต้องถูกข้าขุดรากถอนโคน”

 

“จิตมาร!” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือจวนเช่นกัน พลานุภาพของค่ายกลบ้านตระกูลอันแน่นหนาส่งเสริมร่างกาย ผิวกายของเขาในขณะนี้มีประกายชั้นแล้วชั้นเล่า เปล่งประกายระยับจับตากว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่พอสมควรเลยทีเดียว อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “คิดอยากจะล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า หึหึ ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือที่เจ้าพามาในวันนี้จะรอดชีวิตกลับไปได้สักกี่คนกัน”

 

“เจ้าก็ยกยอปอปั้นตัวเองเกินไปเสียแล้ว” ชายชราทรงอำนาจเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้าคือจิตมาร ขอเพียงแค่ยอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงภายในเมืองจวิ้นซานไม่เป็นอริต่อข้า ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้เลยแม้แต่น้อย วันนี้สกุลอวี้เฟิงจะต้องถูกผลาญย่อยยับอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็อย่าได้โง่เง่าไปถูกฝังเป็นเพื่อนพวกเขาเลย”

 

จากนั้นชายชราทรงอำนาจก็โบกมือคราหนึ่ง “ลงมือ”

 

“ขอรับ”

 

ทันใดนั้นจักรพรรดิเทพห้าท่านทางด้านหลังและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มใหญ่บนเรือก็เหินทะยานออกมาจนหมด ก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบขนาดมหึมาแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างมีระบบระเบียบยิ่ง แล้วเริ่มต้นโจมตีจวนสกุลอวี้เฟิงตรงหน้า

 

‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราผู้ทรงอำนาจเคลื่อนไหวตามลำพัง และกำลังโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน

 

“ขัดขวางพวกเขาเอาไว้”

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าไปรับมือกับนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร แต่ทั่วทั้งชั้นนอกของจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีค่ายกลคุ้มกันอยู่ นอกจากนี้ เพราะว่าอาณาเขตค่อนข้างเล็ก บวกกับเมื่อเร็วๆ นี้ ในช่วงหนึ่งล้านปีนี้ สกุลอวี้เฟิงได้สร้างค่ายกลใหม่แห่งแล้วแห่งเล่าโดยไม่คำนึงถึงราคา พลังคุกคามของค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งเพียงพอ

 

“พลั่ก”

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานเคลื่อนผ่านค่ายกลของบ้านเป็นระยะๆ ทำการโจมตีและลอบโจมตี หลังจากโจมตีแล้วก็ซ่อนตัวกลับเข้าไปภายในค่ายกลทันที

 

เขาควบคุมแก่นสำคัญของทั้งค่ายกลของบ้าน ก็ย่อมเข้าไปถึงหัวใจหลักของค่ายกล แต่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารนั้น ก่อนหน้าที่จะระเบิดทำลายค่ายกล ก็ย่อมไม่มีทางเข้ามาได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว

 

“โครม…”

 

จักรพรรดิเทพห้าท่านนำขบวนจ้าวเทพสามร้อยท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ พลังคุกคามยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ หัวหน้าของพวกเขาเสียอีก

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเคลื่อนไหวตามลำพัง ก็มีพลังคุกคามเกือบครึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชา!

 

……

 

“เตรียมรับการต่อสู้” อวี้เฟิงเหลยกวาดสายตามองจ้าวภูเขาค้างคาว ตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพเจียนอิ่นและผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่คนอื่นๆ ปราดหนึ่ง “ตลอดมาสกุลอวี้เฟิงของข้าไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อทุกท่านเลย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกท่านต้องแสดงฝีมือแล้ว! หวังว่าทุกท่านจะไม่ทรยศหักหลังในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อใดที่หักหลัง พลังของค่ายกลก็จะไม่ช่วยส่งเสริมทุกท่านอีกต่อไป แต่กลับจะกดดันทุกท่านแทน! ยอดฝีมือสกุลอวี้เฟิงของข้าก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แล้วยังมีค่ายกลส่งเสริม พอถึงเวลาก็สามารถสังหารผู้ทรยศได้อย่างสบายๆ นี่คือช่วงเวลาแห่งความเป็นตายของสกุลอวี้เฟิงของข้า ย่อมไม่มีทางอดทนต่อผู้ทรยศคนใดๆ ได้อยู่แล้ว”

 

เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็หวาดหวั่นในใจ

 

“ตอนนี้ก็ฟังการจัดการของข้า” อวี้เฟิงเหลยจัดการในทันที

 

แบ่งเหล่าผู้แกร่งกล้าที่อยู่ในสกุลอวี้เฟิงออกเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่า ภายในค่ายกลรบทุกแห่งต่างก็มียอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วต่อให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของค่ายกลรบต่างพากันหักหลัง เพราะว่าระหว่างกลางมียอดฝีมือคนหนึ่งของสกุลอวี้เฟิงอยู่ พวกเขาทรยศแล้วก็ไม่มีทางก่อตัวเป็นค่ายกลรบอันสมบูรณ์แบบได้

 

“ก็ได้แต่ล่าช้าไปชั่วคราวแล้ว”

 

“ต้านรับสักหน่อยก็แล้วกัน”

 

จ้าวภูเขาค้างคาวและคนอื่นๆ สีหน้ามิใคร่จะหน้าดูสักเท่าใดนัก แต่ก็มิกล้าต่อต้าน

 

พวกเขาต่างก็รู้จักบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ ก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่มีชื่ออยู่ในนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด! มองไม่เห็นอีกฝ่ายส่งตัวผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพห้าท่านกับจ้าวเทพสามร้อยคนมาอย่างง่ายดายหรืออย่างไร ถึงแม้ว่าจะนับรวมยอดฝีมือทุกประเภทในเมืองจวิ้นซาน ก็เพิ่งจะเกินจ้าวเทพสามร้อยท่านมาเท่านั้น แต่ก็มีบางส่วนที่มิได้มาในวันนี้ อย่างเช่นยอดฝีมือของ ‘หอจิตฟ้า’ หรืออย่างเช่นกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร ก็มีจำนวนมากพอสมควรที่ไม่ฟังการจัดการของสกุลอวี้เฟิง

 

“ปัง ปัง ปัง…”

 

ท้องฟ้าเบื้องบนส่งเสียงอึกทึกไม่หยุดหย่อน

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานและบรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนอื่นๆ ทะลุผ่านผนังกั้นของค่ายกลแล้วทำการลอบโจมตีเป็นระยะๆ

 

ถึงแม้ว่าจะลอบโจมตี อิทธิพลของทางด้านสมาคมจิตมารก็ยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ยังคงทำให้ทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

 

“แย่แล้ว” สองพี่น้องอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ตรงปากประตูโถงตำหนักมองพื้นดิน ผิวดินของบ้านประจำตระกูลจำนวนมากต่างก็เริ่มแตกร้าว เห็นได้ชัดว่าศัตรูโจมตีอย่างแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ค่ายกลจำนวนหนึ่งต่างก็เริ่มสั่นสะท้านและแตกกระจาย ต้องรู้ไว้ว่าในความเป็นจริงแล้วที่ครอบแสงนั้นเกิดขึ้นจากพลังของค่ายกลหลายสิบแห่งซ้อนทับกัน พลังคุกคามของที่ครอบแสงก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากที่ค่ายกลจำนวนหนึ่งค่อยๆ แตกสลาย

 

“น้องหญิง” อวี้เฟิงจิ่นมองน้องสาว “พี่ชายไร้ประโยชน์ ปกป้องเจ้ามิได้”

 

“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้เฟิงชิงอินเผยรอยยิ้มออกมา “พวกเราก็อยู่กันที่นี่ ดูท่านพ่อ ดูพวกพี่ใหญ่ต่อสู้ด้วยกันเถิด”

 

“อืม” อวี้เฟิงจิ่นพยักหน้า

 

พวกเขาพลังยุทธ์อ่อนแอ ไปเข้าร่วมรบก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ เมื่อรู้ว่าคราวนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาสองคนก็ไม่อยากซ่อนตัว หากแต่ดูผู้แกร่งกล้าของตระกูลต่อสู้อยู่ด้วยกัน

 

“ปัง…”

 

เมื่อหลายบริเวณของบ้านแตกเปิดออก ค่ายกลจำนวนมากพอสมควรต่างก็แตกสลายไปอย่างควบคุมไม่อยู่ ในที่สุดที่ครอบแสงซึ่งริบหรี่ลงแล้วที่อยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงระเบิดเสียงหนึ่ง ถูกค่ายกลรบขนาดมหึมาของจักรพรรดิเทพห้าท่านระเบิดออกเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่

 

“ทลายแล้ว ทลายเปิดเสียแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวและผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตื่นตระหนก พวกเขามิได้อยากจะตายเป็นเพื่อนสกุลอวี้เฟิง

 

“มาแล้ว! ”อวี้เฟิงชิงอินร้อนรน

 

“น้องหญิง ดูสิ ดูพวกท่านพ่อเขาต่อสู้เถิด” พี่รองอวี้เฟิงจิ่นเองก็ขบกรามจ้องมอง

 

“ฆ่ามันให้ข้าเสีย! ล้างผลาญมันทั้งสกุลอวี้เฟิง ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” เสียงของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารทรงพลังกึกก้องทั่วฟ้าดิน

 

“ขอรับ!” จักรพรรดิเทพห้าท่านและจ้าวเทพสามร้อยคนพากันรับบัญชา!

 

……………………………..