ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 40 ปรมาจารย์ลงมือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

จักรพรรดิเทพห้าท่านทุกคนต่างก็นำขบวนจ้าวเทพยี่สิบท่าน นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการที่สมาคมจิตมารโจมตีสกุลอวี้เฟิง! สกุลอวี้เฟิงมีเพียงแค่ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่สมาคมจิตมารนอกจากหัวหน้าแล้วยังมีจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ถึงห้าท่าน! พวกเขานำขบวนจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบก็ย่อมเอาชนะทุกสนามรบได้อยู่แล้ว

 

ถึงแม้ว่าสกุลอวี้เฟิงจะมีค่ายกลช่วยเหลือ แต่ความแตกต่างระหว่างจ้าวเทพและ ‘จักรพรรดิเทพ’ ก็ชัดเจนเกินไป นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของระดับขั้นใหญ่

 

มิใช่ว่าใครต่อใครต่างก็สามารถต่อสู้ข้ามชั้นเหมือนกับผู้เหินทะยานกันได้ทั้งหมด

 

“จัดการกับบุตรชายบุตรสาวของอวี้เฟิงจวิ้นซานก่อนเถิด”

 

“อวี้เฟิงเหลย บุตรชายคนโตของเขาแข็งแกร่งนัก ตอนนี้ก็มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบอยู่ ข้าจะไปจัดการเขาเอง”

 

“บุตรชายบุตรสาวอีกคู่หนึ่งของเขาที่มือชื่อว่าอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินนั่นก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน ฮ่าฮ่า ข้าต้องจัดการพวกเขาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”

 

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!!!!!

 

กองกำลังย่อยห้ากองแยกกันเคลื่อนไหวแล้วยังเหลือจ้าวเทพอยู่ถึงสองร้อยท่าน จ้าวเทพสองร้อยท่านนี้ก็ได้เตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้ว ก่อตัวเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าโจมตีเบื้องล่างในทันที!

 

……

 

ถ้าหากทางด้านสมาคมจิตมารร่วมมือกันทั้งหมด ทางด้านสกุลอวี้เฟิงร่วมมือกันทั้งหมด อาศัยค่ายกลก็ยังสามารถประคับประคองไปได้

 

แต่เมื่อแบ่งแยกกันแล้ว

 

ข้อได้เปรียบของยอดฝีมือสมาคมจิตมารก็แสดงออกมา กองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพห้าท่านนั้นนำทัพ ก็เป็นเขี้ยวเล็บอันแหลมคม!

 

“ต้านรับศัตรู” ผุ้อาวุโสของตระกูลสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่งคำรามอย่างเดือดดาล

 

“ฆ่ามัน” บรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงก็พากันตะเบ็งเสียง

 

พวกเขาแต่ละคนต่างก็กกกอดความคิดที่จะต่อสู้จนตัวตาย บ้าคลั่งหาใดเปรียบ

 

“อะไรกัน พอเริ่มต้นก็จะจัดการพวกเราแล้วหรือ” อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินสองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นชายหนุ่มผู้เยียบเย็นคนหนึ่งนำทัพจ้าวเทพถึงยี่สิบท่าน ก่อตัวเป็นค่ายกลรบพุ่งลงมา มุ่งหน้าสังหารมาทางพวกเขาสองคน! ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นกำลังจ้องมองพวกเขาสองพี่น้อง เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายก็คือพวกเขาสองคน

 

“ยังอยากจะดูสมาชิกสกุลอวี้เฟิงของข้าสังหารศัตรูให้มากอีกสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าพอเริ่มต้น จักรพรรดิเทพก็นำค่ายกลรบมาจัดการพวกเราเลย” อวี้เฟิงจิ่นมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ

 

“พวกเราเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด” อวี้เฟิงชิงอินเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ นางหันหน้ามองไปยังบริเวณรอบๆ รอบตัวนั้นมีคนที่นางคุ้นเคยมากมายเหลือเกิน ทั้งบิดาของนาง พี่ชายทั้งสองของนาง พี่น้องร่วมตระกูลของนางจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีท่านปรมาจารย์ของนางอยู่อีกด้วย! อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางถ่ายเสียงพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ รักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสาวน้อยผู้นี้เป็นเช่นนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มมิได้

 

อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง ยิ้มหรือ ท่านปรมาจารย์กำลังยิ้มหรือ

 

“อวี้เฟิงจวิ้นซาน ฮ่าฮ่า นี่คงเป็นบุตรชายบุตรสาวของเจ้ากระมัง!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นเอ่ยเสียงสูง

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานที่ฝืนต้านทานอยู่ที่บริเวณไกลออกไปซึ่งกำลังถูกนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาดที่อาศัยพลังค่ายกลแล้วก็ยังตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิงสังเกตเห็นบุตรของตนที่ยืนอยู่ที่ประตูโถงตำหนัก เขาอดที่จะเจ็บปวดในใจมิได้ “จิ่นเอ๋อร์ ชิงอิน พวกเจ้าเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด อีกประเดี๋ยวพ่อก็จะตามไปแล้ว” แต่หลังจากนั้นอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว

 

เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูโถงตำหนักเช่นเดียวกันก็ถูกจัดการให้เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของค่ายกลรบ แต่กลับมิได้สนใจค่ายกลรบแต่อย่างใด แล้วเงยหน้ามองกองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพท่านหนึ่งนำทัพพุ่งสังหารตรงมานั้น

 

“สวบ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เหยียบย่างไปบนอากาศ

 

การเหยียบย่างไปบนอากาศก้าวนี้กลับก่อให้เกิดพายุห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับกระแสคลื่นปะทะโจมตีตรงออกไปยังเบื้องหน้า ส่งผลกระทบไปถึงชายหนุ่มผู้เยียบเย็นที่สังหารเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมเทียมฟ้าและจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แต่ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้นั้นมีวิธีการอันละเอียดอ่อนเพียงใด อีกทั้งยุทธวิธีเมฆาแดงก่อนหน้านี้ก็มีวิธีการทำลายค่ายกลรบอยู่ด้วย ตอนนี้ก็ยิ่งทั้งสมบูรณ์แบบทั้งกล้าแกร่ง

 

“ระวัง” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งต่อการประกอบเป็นค่ายกลรบกับจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน

 

แต่ยามที่กระแสคลื่นอากาศโจมตีบนค่ายกลรบของพวกเขานั้นเอง พลังคุกคามก็ช่างรุนแรงเหลือเกิน!พวกเขาที่เดิมทีพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงกลับถูกทำให้ตระหนกจนต้องหยุดลงอย่างมิอาจหักห้ามได้

 

นอกจากนี้ในขณะที่กำลังถูกปะทะนั้นเอง ก็มีระลอกคลื่นแปลกประหลาดแทรกผ่านตรงเข้าไปภายในร่างกายของจักรพรรดิเทพท่านนั้นและจ้าวเทพยี่สิบท่านอย่างไม่แยแสการป้องกันของค่ายกลรบของศัตรู

 

“ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง”

 

 

ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นรู้สึกว่าพลังแปลกประหลาดขุมหนึ่งกำลังระเบิดอยู่ภายในร่างกาย แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิเทพ บำเพ็ญพลังสายโลหิตก็ย่อมปรามเอาไว้ได้อยู่แล้ว

 

แต่บรรดาจ้าวเทพคนอื่นๆ ยี่สิบท่านกลับเหินบินออกไป มีจำนวนมากพอสมควรที่กระอักเลือดลอยออกไป ร่างกายที่หนักหน่อยก็ระเบิดออกเป็นส่วนใหญ่แล้วพยายามฟื้นฟูร่างกาย!

 

“อะไรกันนี่” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นตกตะลึง

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกปะทะลอยออกไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ เหลือไว้เพียงแค่จักรพรรดิเทพอย่างเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกทำให้ตกใจจนบินหนีไปเช่นนั้นหรือ

 

ก็เพียงแค่ย่างก้าวเดียวเท่านั้น

 

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก็มิได้ปกปิดกลิ่นอายอีกต่อไปแล้ว กลิ่นอายฝึกกายคละถิ่นอันแกร่งกล้าพุ่งทะยานสู่ฟ้า! ถ้าหากมิใช่ลงมือเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ ถ้าหากสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปได้ เกรงว่าเขาก็ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเจียมเนื้อเจียมตัวไปโดยตลอดมากกว่า

 

จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวยาวๆ อีกครั้ง ทว่าเงาร่างรางเลือน ผู้ที่อยู่ในที่นั้นรวมทั้งนายท่านแห่งสมาคมจิตมารด้วย ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างชัดเจน! ถึงแม้ว่าจะช้ากว่านี้หมื่นเท่าล้านเท่า อัตราเร็วเชื่องช้ากว่านี้ เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็รางเลือนอยู่ดี เพราะว่าเคล็ดการหลบหลีกที่เขาแสดงก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ด้วยระดับขั้นของเขา ตอนนี้ก็ย่อมศึกษาเคล็ดการหลบหลีกศาสตร์นี้ได้สำเร็จไปนานแล้ว

 

เงาร่างอันรางเลือนแต่กลับรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น เพียงพริบตาก็มาถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นี้เสียแล้ว

 

“ใคร เขาเป็นใครกัน!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นเกิดความรู้สึกไม่สงบอันแรงกล้า ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดหวั่นอันรุนแรง แต่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ เขาก็มีความมั่นใจในตนเอง ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปลงเป็นแมลงเปลือกสีดำที่มีขานับพันอันแน่นขนัดตัวหนึ่ง ร่างของกิ้งกือยาวประมาณร้อยเมตร เลื้อยคดเคี้ยวพุ่งตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปากใหญ่อันกระหายเลือดนั้นยังมีเมือกอยู่ด้วย ปากใหญ่ก็อ้างับมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง

 

การงับในครั้งนี้ก็คือพลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นที่ส่งผลกระทบบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง

 

“พรึ่บ”

 

มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หอกยาวดำขลับตลอดทั้งเล่ม ดูสามัญกธรรมดายิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือหอกเทพเปลวทอง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงปกปิดเอาไว้เล็กน้อย

 

หอกยาวอยู่ในมือ

 

เริ่มต้นก็ทิ่มแทงเลย!

 

ร่างของกิ้งกือเลื้อยคดเคี้ยว ถึงแม้ว่าปากใหญ่กระหายเลือดหมายจะกลืนกิน แต่ทันใดนั้นก็สะบัดหาง กรงเล็บเท้าจำนวนมากก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปลายหอกก็ปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บเท้าหนึ่งในบรรดานั้น

 

“ปะทะกับข้าดูสิ” กิ้งกือยิ้มเยาะอยู่ในใจ เปลือกหุ้มสีดำของเขานั้นร้ายกาจอย่างที่สุด คิดจะระเบิดทำลายนั้นยากเย็นยิ่งนัก

 

“ฉึก”

 

การทิ่มแทงนี้

 

ก็คือระลอกคลื่นอันปั่นป่วนไร้ที่สิ้นสุดแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกาย พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แบ่งออกเป็นระลอกคลื่นถึงสามสาย นอกจากนี้ระลอกคลื่นเหล่านี้ยังถึงกับมาบรรจบกัน ยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นมากขึ้นอีกด้วย ร่างของกิ้งกือยังบิดเบี้ยวขึ้นมา เขานึกอยากจะกดดันระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นภายในร่างกายเหล่านี้เอาไว้ แต่ว่าในที่สุดก็เกิดเสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายของมันก็ระเบิดกลายเป็นสามชิ้นส่วนในทันใด เลือดเนื้อและเกล็ดจำนวนมหาศาลลอยกระจัดกระจาย

 

“ไม่ ไม่” ร่างของกิ้งกือที่กระจายออกเป็นสามชิ้นส่วน ลอยมารวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายก็หดเล็กลงไปเป็นอันมากแล้ว

 

มันก็มิกล้าแปลงกลับไปเป็นร่างมนุษย์ ก็ยิ่งยากที่จะหนีเอาชีวิตรอด

 

“ฉึก!”

 

แล้วก็ทิ่มแทกอีกคราหนึ่ง

 

ฝีหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงออกไปรวดเร็วเพียงใด ฝีหอกนี้ทิ่มแทงลงไปบนร่างของกิ้งกือที่เพิ่งจะรวมร่างเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่ากิ้งกือจะหลบหนี แต่ว่าจะรวดเร็วสู้อัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างไรกัน เงาร่างอันรางเลือนของตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดราวกับเงา ท่ามกลางฝีหอกที่ทิ่มแทงคราหนึ่ง ร่างของกิ้งกือนั้นก็บิดเบี้ยวอีกครั้งแล้วระเบิดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คราวนี้ก็แหลกสลายอย่างสาหัสยิ่งขึ้น

 

“ทำลายมัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงอีกครั้ง

 

แต่คราวนี้กลับมีฟองอากาศขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ฟองอากาศนี้ห่อหุ้มเลือดเนื้อที่กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกส่วนของกิ้งกือนี้เอาไว้ จากนั้นก็หดตัวลงกลายเป็นจุดสีดำอย่างรวดเร็ว แล้วระเบิดออกมาตรงตำแหน่งปลายหอก

 

กิ้งกือแหลกลาญ!

 

เหลือเอาไว้เพียงแค่วัตถุบางอย่างเท่านั้น

 

ทั่วทั้งสนามรบล้วนเงียบสงบโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว กองกำลังย่อยสี่กองที่มีจักรพรรดิเทพนำทางเช่นกัน ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่กดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบท่านนั้น ยังมีจ้าวภูเขาค้างคาว และเหล่าผู้แกร่งกล้าภายในเมืองกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากจะถูกฝังเป็นเพื่อน แต่ละคนล้วนตกตะลึงไปเสียแล้ว!

 

พูดไปก็ยืดยาว ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน

 

ก้าวย่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพฝ่ายศัตรูก็หลบหนี! กลิ่นอายอันแกร่งกล้าก็ระเบิดออกมาด้วย!

 

อีกก้าวย่างหนึ่งก็คือสามฝีหอกทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องกัน ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนหนึ่งก็ถูกล้างผลาญโดยสมบูรณ์แบบ!

 

“นี่…นี่คือท่านอาจารย์ของข้าหรือ” อวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายมองดูอย่างตกตะลึง ในห้วงสมองเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย

 

…………………………………………