ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 41 หนีกระจัดกระจายทั่วสารทิศ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เพราะว่าท่ามกลางดินอันรกร้างมีสัตว์ถิ่นร้างจำนวนนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินเกิดมาก็แทบจะใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด เป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง นางก็ย่อมราวกับเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ ในเมืองจวิ้นซานไม่มีผู้ใดกล้าวางแผนจัดการนาง การเจริญเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมเช่นนี้ นางกลับไม่มีความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย หากแต่มีจิตใจเมตตา ถึงอย่างไรก็มีชีวิตอยู่มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ตัวนางเองก็แทบจะไม่เคยเผชิญกับด้านมืดมาก่อน แต่นางกลับ ‘มองเห็น’ ด้านมืดภายในเมือง

 

นางเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

 

ตระกูลเผชิญกับภัยคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่เคยบังลมกันฝนให้นางในอดีตต่างก็ตื่นตระหนกด้วยเหตุนี้ ต้องการให้นางทำการเสียสละ นางก็เต็มใจแบกรับภาระ! เพียงแต่‘เมืองไม้บูรพา’ นั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ไม่อยากจะพัวพันเข้ามาด้วย นาง อวี้เฟิงชิงอินไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่มองดูภัยคุกคามสุดท้ายมาเยือนตาปริบๆ

 

สิ่งที่นางสามารถทำได้ก็คือการอยู่กับพี่ชาย เดินมุ่งหน้าไปสู่ความตายพร้อมกัน!

 

ค่ายกลกำลังแตกสลาย ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ศัตรูผู้น่าหวาดหวั่นนำทัพเหล่ายอดฝีมือใต้บังคับบัญชาบุกสังหารเข้ามา ความใต้เฉียดเข้ามาใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แต่ในขณะนี้เอง…

 

“ท่านปรมาจารย์หรือ” อวี้เฟิงชิงอินมองอย่างตกตะลึง นางรู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอย ลอยเคว้งคว้าง จนวิงเวียน

 

“สวรรค์เอ๋ย”

 

“นี่ นี่ นี่…”

 

“นี่คือจ้าวเทพหิมะเหินอย่างนั้นหรือ”

 

“บ้าไปแล้ว!”

 

เหล่าผู้ชมดูที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ต่างพากันตกตะลึง

 

“อะไรกัน!” ภายใต้อิทธิพลอันหนาแน่นของค่ายกล ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก่อให้เกิดกระแสคลื่นอากาศทำให้จ้าวเทพกลุ่มหนึ่งตื่นตระหนกจนเหินบินหนีไปนั้นเอง ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราทรงอำนาจผู้นั้นที่ยังคงกดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานอย่างสมบูรณ์อยู่เช่นเดิมหัวใจขมวดรัดแน่น จากนั้นจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ถูกสังหารในชั่วขณะอันแสนสั้นด้วยฝีหอกเพียงแค่สามฝีหอกเท่านั้น

 

“ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ความแข็งแกร่งของเกราะหุ้มตลอดร่างของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง คุ้มกันชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด ต่อให้ข้าลงมือเองก็ยังต้องใช้หลายสิบกระบวนท่าจึงจะสามารถสังหารเขาได้ ทว่าคนเสื้อขาวผู้นี้กลับสามารถสังหารได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้นเองหรือ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตกใจ แต่เขาก็มองออกว่าถึงแม้กลิ่นอายที่คนเสื้อขาวผู้นี้ระเบิดออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยามที่หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงไปบนร่างของกิ้งกือนั้นเกราะหุ้มบนร่างของกิ้งกือก็มิได้แตกออก หากแต่ร่างกายระเบิดจากภายใน “เปลือกเกราะด้านนอกถึงกับไร้ประโยชน์ การโจมตีของคนเสื้อขาวผู้นี้แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงโดยตรง! ยังมีกระแสคลื่นอากาศที่ก่อตัวขึ้นจากการย่างก้าวเมื่อครู่ของเขาสามารถทำให้บรรดาจ้าวเทพตกใจจนเหินบินหนีไปได้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันของค่ายกลรบก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน”

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การใช้ประโยชน์จากพลังระดับนี้ช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง!

 

“พี่ใหญ่ คนเสื้อขาวผู้นี้น่าจะเป็นจ้าวเทพหิมะเหินในบันทึกข้อมูล! เขาเป็นผู้เหินทะยานคนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลางนะขอรับ”

 

“จ้าวเทพช่วงกลางหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น! นอกจากนี้ยังเป็นผู้เหินทะยานอีกด้วย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเข้าใจแล้ว ผู้เหินทะยานคนหนึ่งที่ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น พลังยุทธ์ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้ว! นอกจากนี้เคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานยังใช้ประโยชน์จากความเร้นลับ ย่อมไม่เหมือนกับพวกเขาประชากรโลกเทพเหล่านี้ที่ทำได้เพียงกระตุ้นพลังสายโลหิต สามารถแสดงเคล็ดวิชาที่ชวนให้คนอุทานมากมายได้อยู่เป็นประจำ

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การจัดการอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ย่อมชะลอไป

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ให้ความสนใจกับชะตาชีวิตของบุตรชายบุตรสาวที่อยู่ด้านล่างเช่นกัน

 

“อะไรกัน จ้าวเทพหิมะเหินเขา…” อวี้เฟิงจวิ้นซานตื่นตระหนกเสียแล้ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ฝ่ายศัตรูที่มีพลังยุทธ์เทียบเคียงกันกับเขาถึงกับถูกสังหารภายในสามกระบวนท่า “ที่แท้แล้วผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งที่สุดในเมืองจวิ้นซานมิใช่ข้า หากแต่เป็นจ้าวเทพหิมะเหิน ไม่สิ เป็นจักรพรรดิเทพหิมะเหินต่างหากเล่า!”

 

ขณะนี้หัวใจของอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับกลายเป็นยินดีจนแทบคลั่ง!

 

สามารถปลิดชีพจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ภายในสามกระบวนท่า!

 

นี่คือผู้ทรงพลังคนหนึ่ง!

 

โอบกอดไว้! จะต้องโอบกอดผู้ทรงพลังคนนี้เอาไว้ ชะตาชีวิตของพวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสิ้นเชิง!

 

……

 

แต่ละฝ่ายมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่ตื่นตระหนกเพราะพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง

 

“เฮอะ” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพท่านหนึ่งแล้วกลับมิได้หยุดมือ เขากวาดสายตาปราดหนึ่งก็ร่อนลงบนร่างของหนึ่งในจักรพรรดิเทพสี่ท่านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร นั่นก็คือบุรุษอาภรณ์เทาโฉมหน้าอัปลักษณ์ ผิวกายมีกลิ่นอายสีเทาขาวคุกรุ่นผู้หนึ่ง เดิมทีเขากำลังบัญชาการจ้าวเทพยี่สิบท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ บุกสังหารไปทางเหล่ายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิง หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดออกมาแล้ว บุรุษอาภรณ์เทาผู้นี้ก็มองมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

พรึ่บ!

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงาร่างวูบไหวแล้วสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้ง เงาร่างรางเลือนไม่ชัดเจน แต่กลับพุ่งเข้าใส่บุรุษอาภรณ์เทาผู้นั้นอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด

 

“แย่แล้ว” บุรุษอาภรณ์เทาสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงแล้วล่าถอยไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

“ถอยออกไปให้หมด!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตะโกนอย่างร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงตะคอกว่า “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากมีความกล้าก็มาสู้กับข้าสิ!”

 

พูดแล้วเขาก็จะไปช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา

 

ถึงอย่างไรผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาก็มีจักรพรรดิเทพอยู่ทั้งสิ้นเพียงห้าคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ถูกสังหารไปคนหนึ่งแล้ว จะถูกสังหารต่อไปอีกได้อย่างไร คราวนี้ต่อให้สามารถล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงได้แล้วจะมีจักรพรรดิเทพสักกี่คนกันที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ นอกจากนี้ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือน่าอัศจรรย์ยากคาดคะเน โดยทั่วไปแล้วการจัดการจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ง่ายราวกับปอกกล้วย!

 

“คิดจะหนีหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยายามถ่วงเวลาอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดที่ควบคุมพลังค่ายกลสกัดกั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างสุดกำลัง

 

“รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” บุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีสีหน้าไม่น่าดู เงาร่างอันรางเลือนด้านหลังดูคล้ายว่าเพียงชั่วพริบตาก็บีบคั้นเข้ามาใกล้แล้ว รวดเร็วเกินไปเสียแล้ว!

 

“พรึ่บ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็วผู้นี้ เพิ่งจะเตรียมตัวลงมือ กลิ่นอายสีขาวเทาที่พลุ่งพล่านอยู่บนผิวกายของบุรุษอาภรณ์เทาที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งทะยานในทันใด ร่างกายของเขาแยกสลายออกอย่างไร้สุ้มเสียง แปลงเป็นกลิ่นอายสีขาวเทาอันเข้มข้นหลบหนีไปทุกทิศทุกทาง นี่คือ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ หนึ่งในห้าจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร เป็นผู้ที่มีความอาฆาตหนักแน่นที่สุด ทั้งยังเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมที่สุดด้วย ตอนนี้กลับถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้ตกใจเสียจนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นร่างเพลิงปีศาจ หมายจะหลบหนี

 

“ล้างผลาญ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกุมหอกยาวเอาไว้ด้วยมือทั้งสอง เดือดดาลขึ้นมาในทันใด!

 

ปัง!

 

ภายใต้ความเดือดดาล ห้วงมิติเบื้องหน้าก็บีบคั้นลงมาในทันใด

 

“นี่คือ…” ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่แปลงกายเป็นเพลิงปีศาจสีเทาขาวกระจายตัวหลบหนีไปทั่วทุกสารทิศกลับรู้สึกว่าห้วงมิติบริเวณรอบๆ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน กดดันมาอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนจากห้วงมิติปกติเป็นห้วงมิติสองมิติ ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งก็มิปาน! ท่ามกลางความหวาดหวั่น เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีมีความสูงอยู่ถูกฝืนกดดันด้วยหมายจะสังหาร จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนก็ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง

 

เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถ้าหากถูกกดดันจนกลายเป็น ‘กระดาษแผ่นหนึ่ง’ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!

 

ใช่แล้ว

 

ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ย่อมเหนือชั้นกว่าท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่มากนัก กระบวนท่า ‘งดงามดุจภาพวาด’ นี้ พอสำแดงออกมาก็ห่างชั้นจากตอนแรกแล้ว นอกจากนี้กระบวนท่านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ทำเพื่อหยุดยั้งศัตรู หากแต่เป็นการสังหารศัตรู หมายจะปลิดชีพศัตรู ก็ย่อมไม่ไว้ไมตรีอยู่แล้ว!

 

“ปัง ปัง ปัง…” เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน ถูกลดทอนลงอย่างต่อเนื่อง

 

ในที่สุดพลานุภาพของห้วงมิติที่บีบอัดอย่างบ้าคลั่งก็สลายไปจนสิ้น! จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนยังหลงเหลือ ‘เพลิงปีศาจ’ อยู่ไม่น้อย ในใจยินดี แล้วกำลังจะทะยานหนีขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

แต่ในขณะที่ห้วงมิติที่บีบอัดกำลังสลายไปนั้นเอง กลับมีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเล่มหนึ่งปะทะมาถึงตรงหน้า

 

“ปัง!”

 

ห้วงมิติทั้งอันตรงหน้าถูกบีบอัดจนระเบิดออกมาราวกับเต้าหู้ก้อนหนึ่งก็มิปาน

 

‘เพลิงปีศาจ’ ส่วนหนึ่งที่จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนหลงเหลือเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งนี้สูญสลายไปจนหมดสิ้นตามการระเบิดอันน่าหวาดหวั่นนี้ ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

 

กระบวนท่านี้ก็คือ ‘ทลายเวหา’ นั่นเอง!

 

งดงามดุจภาพวาดและทลายเวหา…ก็คือกระบวนท่าที่สร้างชื่อเสียงให้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตงป๋อเสวี่ยอิงปรับปรุงบนพื้นฐานนี้ กระบวนท่าทั้งสองนี้ก็ผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนท่าหนึ่งกดดันศัตรูเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งหนึ่ง ส่วนอีกกระบวนท่าก็ทำให้ทั้งห้วงมิติแหลกสลายโดยตรง สองกระบวนท่าผสานรวมกัน พลังคุกคามก็ยิ่งมหาศาล! หลักๆ แล้วเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นร่างกายของจักรพรรดิเทพผู้นี้แปลงเป็นเพลิงปีศาจสีขาวเทา จึงรู้สึกว่าอาณาบริเวณเล็กๆ เช่นนี้ ใช้สองกระบวนท่าจึงจะเหมาะสมที่สุด

 

“ตายไปอีกคนแล้ว!”

 

“สวรรค์เอ๋ย”

 

“หนีเร็ว!”

 

จักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อีกสามท่านภายใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็หวาดหวั่นจนท้องไส้ปั่นป่วนเลยจริงๆ กุญแจสำคัญก็คือผู้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร คนหนึ่งคือผู้ที่การป้องกันภายนอกแข็งแกร่งที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ที่ร่างกายแปลงเป็นพลิงปีศาจ รักษาชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด คนหนึ่งแหลกสลายในสามกระบวนท่า ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นแหลกสลายในสองกระบวนท่า! พวกเขาจักรพรรดิเทพสามท่านที่เหลืออยู่ถามตนเอง เกรงว่าก็คงจะเดินหนีภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ได้ไม่เกินสามกระบวนท่าเช่นกัน

 

“เมืองจวิ้นซานแห่งนี้มียอดฝีมือเช่นนี้โผล่ออกมาได้อย่างไรกัน หนีเร็ว หนีเร็ว” จักรพรรดิเทพสามท่านนี้หนีอย่างตื่นตระหนกมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

 

“สมควรตาย!”

 

เสียงคำรามอย่างโมโหเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารกลับพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง ในที่สุดเขาก็วางมือจากอวี้เฟิงจวิ้นซาน จนใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาไม่สามารถเข้ามาได้ทันการณ์

 

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากเจ้ามีความกล้าก็มาสู้กับข้าสักยกหนึ่งสิ!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเส้นผมปลิวสยายดูราวกับวิปลาส พลังคุกคามล้นฟ้า

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพสามท่านที่หลบหนีไปไกลแล้วปราดหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองไปทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร มือหนึ่งกุมหอกยาวพลางเอ่ยว่า “ตามที่เจ้าประสงค์เลย!”

 

………………………