ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 42 คิดจะหนีหรือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เสียงยังคงก้องสะท้อน

 

เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงรางเลือนไปแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้งแล้วเหินบินไปเหนือท้องฟ้าเบื้องบน มือกุมหอกยาว มุ่งเข้าโจมตีนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นั้น

 

“มาได้ดีนี่!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจ ขณะนี้แววอาฆาตล้นฟ้า สองมือของเขายื่นออกไป ไอหนาวเหน็บอันไร้ที่สิ้นสุดก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ห้วงมิติล้วนถูกแช่แข็งเอาไว้ ผิวกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็รวมตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง พลังน้ำแข็งนี้… โอหังยิ่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวมากมายนัก

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิได้เผชิญกับมันก็รู้สึกไม่ดีรางๆ แล้ว รู้สึกว่ามิอาจถูกแช่แข็งได้ ทันใดนั้นหอกยาวในมือก็หมุนควง

 

ขวับๆๆ

 

หัวหอกยาวหมุนโคจร โคจรเอากระแสคลื่นหมุนวนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ห้วงมิติที่หมุนโคจรแต่ละชั้นส่งผลกระทบออกไปทั่วทุกสารทิศ ต้านทานไอหนาวเหน็บน่าหวาดหวั่นนั้นชั้นแล้วชั้นเล่า! สิ่งนี้ร้ายกาจกว่า ‘รุดหนีหมื่นโลกา’ เคล็ดวิชาคุ้มกันชีพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้มากมายเหลือเกิน อาศัยความเร้นลับบางส่วนในคัมภีร์ไร้ขอบเขต บวกกับระดับขั้นในตอนนี้ จึงคิดค้นเคล็ดวิชาหอกในตอนนี้ออกมาได้

 

ไอหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งนั้นผ่านการลดทอนชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีพลังคุกคามมหาศาลเช่นเดิม แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ฝึกกายคละถิ่นอีกทั้งยังเชี่ยวชาญการกลายเป็นอากาศธาตุแล้วก็สามารถมองข้ามไปได้

 

“อะไรกัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหน้าถอดสี จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ถึงกับสามารถฝ่าไอน้ำแข็งหนาวเหน็บตรงมาถึงยังเบื้องหน้าเขาได้

 

“สวบ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามา หอกยาวที่หมุนควงอยู่ในมือทิ่มแทงอย่างฉับพลัน แทงมาทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรู้สึกเพียงว่าห้วงอากาศกำลังสั่นคลอนและบิดเบี้ยว เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าไม่มีทางหลบหลีกจากฝีหอกนี้ได้เลย “ข้าเองก็รังเกียจที่จะหลบหลีกเช่นกัน! ย่อยยับให้ข้าเสีย!” กำปั้นทั้งสองของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารระเบิดพลังทำลายล้างออกมา ถึงขนาดที่กำปั้นมีสีแดงเข้มปรากฏขึ้น กำปั้นทั้งสองระเบิดพุ่งออกไปยังเบื้องหน้าพร้อมกันเสียงดังตูมตาม ยามที่ระเบิดออกไปนั้นกำปั้นก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นทันควัน กำปั้นทั้งสองบดขยี้เสียงดังปึงปังไปทางหัวหอกราวกับภูเขาลูกย่อมๆ สองแห่ง

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ดีอยู่แล้วว่าร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้ล้ำเลิศ ก่อนหน้านี้ก็ทลายเปิดค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองจวิ้นซาน แม้กระทั่งมือข้างหนึ่งก็พุ่งออกไปได้ยาวหลายลี้ ตรงไปบดขยี้ค่ายกลป้องกันเมือง

 

แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่เมืองจวิ้นซานจนถึงบัดนี้ ก็อยากจะหาศัตรูสักคนเพื่อทดสอบกระบวนท่ามานานแล้ว!

 

“ปัง!!!”

 

หอกยาวทิ่มแทงลงบนกำปั้นที่กระแทกมาราวกับภูเขาสองลูก

 

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารู้สึกเพียงว่าพลังอันโหดเหี้ยมหาใดเปรียบขุมหนึ่งแพร่ผ่านหอกยาวส่งมาถึงภายในร่างกาย ถึงแม้ว่าการกลายเป็นอากาศธาตุอย่างสุดกำลังของตนจะอ่อนลง พลังขุมนี้ก็ยังคงโจมตีอย่างหนักหน่วงราวกับภูเขาไฟอันดุดัน ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกปะทะจนลอยถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ลอยกระเด็นออกไปหลายร้อยเมตรจึงค่อยหยุดยั้งลง

 

สีหน้าของเขาไม่น่าดูอยู่บ้าง เมื่ออ้าปากก็แฝงไว้ด้วยเปลวเพลิงของสายโลหิตพ่นพรวดออกมา

 

“ร่างกายจักรพรรดิเทพช่วงต้นของข้านี้ อาศัยความเร้นลับของเคล็ดวิชา ก็สามารถแสดงพลังคุกคามออกมาได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถสำแดงท่าไม้ตายโดยมุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของศัตรูได้ด้วย การจัดการกับระดับเดียวกันนั้นก็สามารถสังหารได้อย่างสบายๆ หากแต่เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง… ถึงแม้ว่ากระบวนท่าของเขาจะโง่งมอยู๋บ้าง แต่ก็ย่อมมีพลังคุกคามแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ปะทะกันขึ้นมา ข้าก็ยังต้องเผชิญเคราะห์ร้ายอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

 

“หืม” ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่ยืนอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน ฝีหอกนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพื่อต่อกรกับท่าไม้ตายของ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ แล้วแพร่ไปถึงภายในร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโดยไม่แยแสการป้องกัน ระลอกคลื่นอันปั่นป่วนแผ่กวาดภายในร่างกายเขาอย่างใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังรวมตัวจนถึงขีดสุดแล้วจึงระเบิดออก!

 

ระเบิดจากภายในเหมือนกับ ‘ร่างกิ้งกือ’ ของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง

 

ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแข็งแกร่งยิ่งกว่า แข็งแกร่งเหมือนกันทั้งภายในและภายนอก แรงปะทะของการระเบิดภายในทำให้คอหอยของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็มีรสหวานปะแล่ม โลหิตคำหนึ่งถูกเขาฝืนกล้ำกลืนลงไปในท้อง

 

“ร่างน้ำแข็งของข้าถึงกับไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารพึมพำ ชั้นน้ำแข็งที่ผิวกายของเขาเป็นเคล็ดวิชาการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับกระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วกลับไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ก็นับได้ว่าเขาได้สัมผัสถึงความร้ายกาจน่าอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพแล้ว

 

“เอาใหม่อีกสิ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบุกเข้ามาพร้อมส่งเสียงคำราม

 

“เอาใหม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้าไปเช่นกัน

 

คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจสู้หัวชนฝาอย่างทื่อๆ ได้อีกแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ เงาร่างเลือนราง โอบล้อมนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างประหลาด อาศัยข้อได้เปรียบของเคล็ดร่างกายบุกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า! สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศแต่ละอันอย่างต่อเนื่อง ค้นหาท่าไม้ตายที่มีผลต่อนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้มากที่สุด ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ต้านรับอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีจักรพรรดิเทพตายไปแล้วถึงสองคน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจรามือโดยง่ายได้

 

“ปัง ปัง ปัง…”

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรุนแรงหาใดเปรียบ ไอหนาวเหน็บบริเวณรอบกายเขาแผ่ไปทั่วทุกทิศ ทว่าการโจมตีจากมือเท้าและส่วนใดๆ ของร่างกายกลับมีพลังอันร้อนแรง

 

“ตายเสีย!”

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารคลั่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาถึงขนาดแปลงกายเป็นร่างยักษ์สูงตระหง่านกว่าสิบลี้ และถึงขนาดที่ฝ่ามือทั้งสองฟาดเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ราวกับมดปลวก การฟาดครั้งหนึ่ง ฝ่ามือหนึ่งเป็นน้ำแข็ง ส่วนฝ่ามืออีกข้างเป็นเปลวเพลิงอันร้อนรุ่ม ฝ่ามือทั้งสองร่วมกันโจมตีก็ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นจนทำให้ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานสั่นสะเทือนไปด้วย นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ถูกทำให้ร้อนรนจนคลั่งไปเสียแล้ว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าพลังคุกคามของเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้มากขึ้นถึงห้าเท่า แต่ทางด้านความรวดเร็วและความคล่องแคล่วนั้นกลับได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด เพื่อเอาชนะ นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คิดหาทุกวิถีทาง

 

……

 

“นี่ นี่มัน…”

 

มองดู ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ผู้สูงกว่าสิบลี้ที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นประมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งแล้วครั้งเล่า นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบินออกมาจากค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงแล้ว เพราะว่าภายในค่ายกลก็เผชิญกับการกดดันของค่ายกลอยู่เป็นระยะๆ

 

เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากของทั้งจวนสกุลอวี้เฟิงแต่ละคนต่างพากันจิตใจสั่นไหว

 

“มิเสียทีที่เป็นพลังยุทธ์ที่สามารถมีชื่อจัดอยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพได้” ทว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับจิตใจสั่นไหวด้วยเหตุนี้ “ถ้าหากไม่มีจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจรเฒ่าจิตมาร ถึงแม้ว่าข้าจะมีค่ายกลส่งเสริม โจรเฒ่าจิตมารมีค่ายกลกดดัน ข้าทานทนอีกไม่กี่สิบอึดใจก็เกรงว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว”

 

“นี่คือน้องหิมะเหินหรือ” จ้าวภูเขาค้างคาวตื่นเต้น “ข้า ข้า ภูเขาค้างคาว ถึงกับเคยส่งยอดฝีมือไปปลิดชีพน้องหิมะเหินด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

เขาหวาดหวั่นไปชั่วครู่!

 

โชคดีที่การท้าทายจ้าวเทพหิมะเหินในเวลาต่อมานั้นอยู่บนเวทีประลองภายในจวนสกุลอวี้เฟิงซึ่งเพียงแค่รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น ไม่ทำร้ายจนถึงชีวิต! โชคดีที่ภายหลังได้ทำการขอโทษขอโพยแล้ว!

 

“เถี่ยเฉิงหลิ่วที่สมควรตาย” ในขณะนี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็อดที่จะด่าทอเถี่ยเฉิงหลิ่วที่ตายไปแล้วในใจประโยคหนึ่งมิได้

 

“ปรมาจารย์หิมะเหิน…” อวี้เฟิงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองแล้วมองน้องสาวที่อยู่ข้างกาย

 

……

 

และภายในเมืองจวิ้นซานก็มียอดฝีมือบางส่วนที่มิได้พัวพันกับการต่อสู้ อย่างเช่นประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า หรืออย่างเช่นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร

 

พวกเขาต่างก็เพียงแค่ชมดูอยู่ห่างๆ มองดูคนร่างยักษ์ที่กลางเวหาเหนือจวนสกุลอวี้เฟิงประมือกับจักรพรรดิเทพหิมะเหิน

 

“น้องหิมะเหินถึงกับมีพลังยุทธ์เช่นนี้ เขามิใช่จ้าวเทพ หากแต่เป็นจักรพรรดิเทพ” จ้าวเทพชวนชิ่งมองแล้วก็อุทานขึ้น “มิเสียทีที่เป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้นำของสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่น้องหิมะเหินกลับมิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย”

 

ส่วนประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าก็มองดูอยู่ห่างๆ มือหนึ่งถือตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ พลางบันทึกภาพเหตุการณ์การต่อสู้ลงไปบนตำราอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังจดบันทึกตัวอักษรลงไปเป็นจำนวนมากด้วย

 

หอจิตฟ้ารวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ทั้งยังจัดทำ ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ด้วย

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คือยอดฝีมือบนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ การต่อสู้เช่นนี้ก็ย่อมมีความสำคัญเป็นที่สุดอยู่แล้ว เพราะมีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ

 

“คิดไม่ถึงว่าข้าผู้อยู่ที่เมืองเล็กอันห่างไกลอย่างเช่นเมืองจวิ้นซานนี้ จะมีวันที่ต้องรับผิดชอบบันทึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพด้วย” ประมุขหอสิงก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง จดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ไปพลาง บันทึกความคิดเห็นของตนลงไปพลาง

 

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินมีเคล็ดร่างกายอันล้ำเลิศ รวดเร็วกว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่มากนัก ครองการริเริ่มอย่างสิ้นเชิง เคล็ดวิชามากมายร้ายกาจเร้นลับ แต่ก็ทำอะไรนายท่านแห่งสมาคมจิตมารมิได้ ขณะนี้ถึงแม้ว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดกำลัง พลังคุกคามแข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่กลับมิอาจตีถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินได้เลย…”

 

จักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่โชคดีหนีไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนได้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันเหินบินไปถึงบนเรือใหญ่ แล้วยืนอยู่บนเรือใหญ่มองลงมายังการต่อสู้เบื้องล่าง

 

“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว” พวกเขาสามคนประสานสายตากัน ต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าค่ายกลรบมิได้มีผลอันใดต่อจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เลย! เคล็ดวิชาการโจมตีของจักรพรรดิเทพหิมะเหินมิได้แยแสการป้องกัน แต่แทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายโดยตรง พวกเขาก็มิกล้าลองเสี่ยงดูแม้สักครั้งเดียว

 

*******

 

ทุกฝ่ายกลั้นหายใจชมดูการต่อสู้

 

ทว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาบ้างเสียแล้ว

 

“โฮก…” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่สูงตระหง่านสิบกว่าลี้อ้าปาก แต่ในปากกลับพ่นลูกกลมที่มีน้ำแข็งและเพลิงกระหวัดรัดเกี่ยวกันออกมา

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยแล้วร่นถอยอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นหอกยาวก็ขยับเล็กน้อย

 

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปะทะลงบนทรงกลมน้ำแข็งเพลิงนั้นจากระยะทางไกลๆ เสียงปังเสียงหนึ่ง ซึ่งก็คือการระเบิดครั้งใหญ่อันน่าหวาดหวั่น!

 

“ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย ถึงแม้ว่าร่างกายจะแปรเปลี่ยนจนถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าจะสามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่ามากพอสมควรออกมาได้ แต่กลับไม่สามารถปะทะถูกเขาได้เลย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลหาใดเปรียบ เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ลื่นไหลเกินไปแล้ว หลังจากที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งยากที่จะรับได้มากขึ้นไปอีก

 

เขาเศร้าโศกและหงุดหงิด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบบ่นพึมพำเช่นกัน “ดูท่าทาง ด้วยร่างกายของระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น คิดอยากจะโจมตียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่ง ก็คงจะยังทำมิได้กระมัง”

 

ก็ถูกต้องอยู่

 

ทั่วทั้งโลกเทพก็ไม่มีใครสามารถทำได้!

 

แน่นอนว่าถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เช่นนั้นก็มิใช่พลังยุทธ์วิถีอากาศของตนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ตัวของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาลภายใต้เคล็ดวิชาเขตลวงของตน เกรงว่าก็ไม่มีทางจ่อมจมได้โดยง่าย! ขอเพียงแค่รักษาสติตื่นรู้เอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงสามารถทำให้ข่าวคราวของ ‘เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียม’ ของตนแพร่ออกไปถึงโลกภายนอกได้

 

ดูอย่างหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่อแสดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนออกไปก็ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักสั่นสะเทือน

 

ที่โลกแห่งนี้ ถ้าหากเคล็ดวิชาวิญญาณของตนเปิดเผยก็เกรงว่าคงยากที่จะมีชีวิตอันสงบสุขต่อไปได้อีก! นอกจากนี้ผู้แกร่งกล้าของโลกนี้ก็มีอยู่มากยิ่งกว่า เขาก็ยังไม่อยากจะเปิดเผยเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนเป็นการชั่วคราว

 

“พรึ่บ”

 

ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารหดเล็กลงอย่างฉับพลันในทันใด เพียงพริบตาก็กลับมาเป็นรูปลักษณ์ดังเดิม

 

เขากวาดตามองไปยังอวี้เฟิงจวิ้นซานที่อยู่ไกลออกไปพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “อวี้เฟิงจวิ้นซาน เจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่คราวนี้มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งเต็มใจจะช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าก็อยากจะเห็นเหลือเกินว่าผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้จะอยู่คุ้มครองเมืองจวิ้นซานของเจ้าไปได้ชั่วชีวิตเลยหรือไม่!”

 

อวี้เฟิงจวิ้นซานหัวใจสั่นสะท้านในทันใด

 

ใช่แล้ว

 

ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้จะมาหยุดชะงักอยู่ที่เมืองเล็กจ้อยอันห่างไกลอย่างเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไปตลอดกาลได้อย่างไรกัน

 

“ยังมีจักรพรรดิเทพหิมะเหินอีก” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ดีมาก ข้าทำอะไรเจ้ามิได้เลย ความแค้นนี้ ข้า จิตมาร ได้จดจำเอาไว้แล้ว หึๆ”

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารแยกเขี้ยวอย่างเดือดดาลแล้วหมุนกายหมายจะจากไป

 

“คิดจะหนีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากพูดขึ้น “กลัวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

 

“กลัวหรือ”

 

นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง เขาหันหน้ามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง การต่อสู้ในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งเหนือธรรมดา เพียงแต่ว่าผู้เหินทะยานผู้นี้ลื่นไหลเกินไปเท่านั้นเอง

 

แต่จากนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

 

เพราะว่ากลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพุ่งทะยานขึ้น! ก่อนหน้านี้ก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ชัดๆ แต่ขณะนี้เห็นเพียงว่าท่อนแขนทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มหนาขึ้น นอกจากนี้พื้นผิวของท่อนแขนก็มีเนื้อเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏชัดขึ้นมา กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านและไม่มั่นคง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีท่อนแขนหนาใหญ่ก็กำยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอายพลุ่งพล่านแกร่งกล้า ทั้งยังเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก

 

“หรือว่าก่อนหน้านี้จะมิใช่พลังยุทธ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขากัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหัวใจสั่นสะท้าน

 

……………………………